เขากล่าวเสียงหนักแน่น“เมื่อคืนนี้ผมได้บอกคุณแล้วว่า จะหาโอกาสส่งเธอออกไป เธอจะไม่ปรากฏตัวต่อหน้าคุณอีก และก็จะไม่เป็นภัยคุกคามใดๆกับคุณอีก ดังนั้นคุณไม่จำเป็นต้องใช้วิธีนี้มาทำร้ายเธอ คุณทำแบบนี้ทำให้รู้สึก……… ”
เขาหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก
ในใจเฉียวฉีรู้สึกเหมือนถูกคนใช้กำปั้นทุบที่หน้าอกอย่างแรง เจ็บแน่น จนเสียวสันหลังขึ้นมา
เธอหยุดพูด เม้มริมฝีปากแน่น จ้องมองดูเขาโดยไม่ขยับเขยื้อน
ทันใดนั้น ถามเสียงเคร่งขรึม“ทำให้คนรู้สึกอะไร พูดให้ชัดเจน กู้ซือเฉียน ฉันทำแบบนี้ทำให้คนรู้สึกอย่างไร”ดวงตากู้ซือเฉียนยิ่งอยู่ยิ่งเย็นชา
เขาไม่เกรงใจอีก กล่าวตรงๆว่า“ทำให้คนรู้สึกแปลกหน้า เบื่อหน่าย และเฉียวฉีคนก่อนไม่ใจน้อยเช่นนี้
คุณน่าจะรู้ เธอกับคุณไม่เหมือนกัน พวกคุณไม่ใช่คนในโลกเดียวกัน ไม่ว่าจะแง่ไหน เธอก็ไม่ใช่คุณต่อสู้ของคุณ สำหรับคนที่ไม่มีภัยคุกคามใดๆเช่นนี้ คุณจะหาเรื่องเขาทำไม ปล่อยให้เธอเป็นอิสระและปล่อยให้ตัวเองเป็นอิสระจะไม่ดีหรือ ” เฉียวฉีชะงักไป
ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เคยคิดว่า วันหนึ่งตัวเองจะได้ยินคำพูดเช่นนี้จากปากผู้ชายคนนี้
เธออ้าปากค้าง ไม่รู้จะพูดอะไรออกมา
ทันใดนั้นรู้สึกช่างน่าสมเพช
เธอเลิกคิ้วและมองดูกู้ซือเฉียนอย่างเยาะเย้ย“ที่แท้คุณคิดอย่างนี้นี่เอง ก็ดี กู้ซือเฉียน ให้จำที่คุณพูดในวันนี้ไว้ แล้วย้อนมองดูตัวเอง ว่าเวลานี้ตัวเองโง่เขลาขนาดไหน”
เธอพูดจบแล้ว ก็ไม่สนใจเขาอีก หันหลังเข็นรถเข็นจากไป
กู้ซือเฉียนยืนอยู่ที่เดิม ไม่ได้ตามไป
เพียงแต่มองดูด้านหลังที่จากไป ด้วยสายตาที่ครุ่นคิด
เฉียวฉีโกรธจนกลับไปห้องนอนโดยตรง
ประตูถูกเธอ“ปัง”ปิดลงแรงๆ ยังรู้สึกไม่สาแก่ใจ ก็ใช้แรงเตะไปที่ขาเตียงอีก
พอเตะออกไป ไม่ได้ทำให้เตียงสั่น กลับทำขาตัวเองเจ็บจนเข้าหัวใจ
คนที่สามารถทนความเจ็บปวดเช่นเฉียวฉี ยังกำขาไว้ แล้วร้องเสียงดัง“อ้า”
บัดซบ
ลืมไปว่าบนขายังมีอาการบาดเจ็บอยู่
นอกประตู เสี่ยวเยว่ไปทำธุระเสร็จกลับมาพอดี เมื่อเห็นเธอจับขาไว้แล้วกัดฟันนั่งอยู่ตรงนั้น สีหน้าเปลี่ยนไปทันที รีบวิ่งเข้ามา
“คุณเฉียว คุณเป็นอะไรหรือ ”
เฉียวฉีจับขาไว้ แล้วกลอกตาใส่ตัวเอง
ช่างโง่จริงๆ ทำไมถึงตัวเองเตะตัวเองได้
ปกติก็ไม่ได้เป็นคนเอาแต่ใจเช่นนี้ เป็นเพราะผลพวงมาจากความหายนะของกู้ซือเฉียนจริงๆ
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะกัดฟันด้วยความเกลียด เมื่อเสี่ยวเยว่เห็นเธอไม่พูด ก็กระวนกระวายขึ้นมาทันที แล้วรีบกล่าวว่า “คุณรอก่อนนะ ฉันจะไปเรียกคุณหมอมาค่ะ”
เธอลุกขึ้น วิ่งไปทางประตู
ยังไม่ทันได้ออกไป ก็ได้ยินเสียงตะโกนดังตามหลังว่า“กลับมา”
เธอหันหน้ามา ก็เห็นเฉียวฉีสีหน้าซีดเซียวนั่งอยู่ตรงนั้น
“คุณเฉียว………”
“ห้ามไป”
แล้วเฉียวฉีก็พูดว่า“ฉันไม่เป็นอะไร ก็แค่ถูกกระแทก”
พูดจบ ก็นวดตรงที่ตัวเองถูกกระแทกเจ็บ
เมื่อเสี่ยวเยว่เห็นเช่นนั้น ก็เดินกลับมาอย่างกึ่งเชื่อกึ่งสงสัย
“คุณเฉียว คุณเป็นอะไรหรือ”
คนที่สะเพร่าเช่นเธอ ก็รู้สึกได้ถึง เวลานี้สีหน้าและอารมณ์เฉียวฉีมีความผิดปกติเล็กน้อย
ปกติ ไม่ว่าจะเจอเรื่องอะไร เฉียวฉีนั้นอาจจะพูดไม่ได้ว่ากระตือรือร้นในการช่วยเหลือ แต่อย่างน้อยก็ไม่มีท่าทีเฉยเมย เวลาส่วนใหญ่จะเงียบๆ ยิ่งไม่เคยโกรธ แต่เวลานี้ เห็นได้ชัดว่าเธออารมณ์ขึ้นลงไม่ปกติเล็กน้อย หว่างคิ้วนั้นผสมปนด้วยอารมณ์โกรธเคืองและความวิตกกังวล ปกติเสี่ยวเยว่ไม่เคยเห็นเช่นนี้มาก่อน
แม้แต่ในตอนที่ถังชีชีตายไป เธอก็เพียงแค่โกรธ แต่ไม่ใช่สีหน้าซับซ้อน เหมือนสภาพในตอนนี้
เฉียวฉีเงยหน้ามองเธอแวบหนึ่ง
แววตานั้น บอกไม่ถูกว่าอยู่ในอารมณ์ไหน เธอเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า“ไม่มีอะไร”
หรี่ตาลง นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเผยให้เห็นถึงอาการไม่ได้รับความเป็นธรรมเล็กน้อย
เมื่อเสี่ยวเยว่เห็น ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสารมากขึ้น
เธอเดินไปนั่งลงข้างๆเฉียวฉี มองดูเธอด้วยความห่วงใยแล้วกล่าวว่า“คุณเฉียว ถึงแม้ว่าฉันรู้ว่าฉันเป็นเพียงคนรับใช้ ไม่มีสิทธิ์จะห่วงใยคุณ แต่หากคุณมีเรื่องอะไรที่ต้องการให้ฉันช่วยเหลือ จะต้องบอกฉันนะ ขอเพียงเป็นสิ่งที่ฉันสามารถทำได้ ฉันก็จะช่วยคุณทำค่ะ”
ขณะพูด ก็หยุดไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวด้วยเสียงต่ำว่า “หากคุณต้องการคนคนหนึ่งเพื่อระบายความในใจ ถ้าคุณไม่รังเกียจ ก็สามารถพูดกับฉันได้ ”
เฉียวฉีเงยหน้ามองเธอ
ทันใดนั้นก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย
แววตานั้น เป็นแววตาที่มีความอ่อนโยนและอ่อนหวานอย่างไม่เคยมีมาก่อน
“พูดไร้สาระอะไร อะไรรังเกียจไม่รังเกียจ ”
ขณะที่เธอพูด ก็ยื่นมือออกมาจับเสี่ยวเยว่ไว้เบาๆ เสี่ยวเยว่จึงลุกขึ้น
เธอเงยหน้ามองดูเธอ แล้วกล่าวว่า “แกคิดว่านี่เป็นสังคมสมัยเก่าหรือ คนรับใช้จะต่ำต้อยกว่าหนึ่งชั้นหรือ ใช้ความสามารถของตัวเองหาเงิน เป็นเพียงการทำงานธรรมดาอย่างหนึ่งเท่านั้น ถึงแม้ฉันไม่ต้องไปรับใช้ใคร แต่เมื่อพูดไปแล้ว ก็เป็นเพียงแขกที่พักอาศัยอยู่ที่นี่เท่านั้น ถ้าจะพูดขึ้นยังไม่เท่าแกเลย”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ เธอเงยหน้าขึ้นมองไปทางนอกหน้าต่าง และดูเหมือนจะมีความเศร้าอยู่ที่หว่างคิ้วของเธอ
เสี่ยวเยว่หรี่ตาเล็กน้อย กลอกตาไปมา ไม่แน่ใจว่าวันนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น และก็ไม่รู้ว่าเรื่องอะไรถึงทำให้เธอเป็นเช่นนี้
ดังนั้น จึงพูดอย่างทะนุถนอมว่า“คุณเฉียวคุณอย่าพูดเช่นนี้ คนอื่นอาจจะดูไม่ออก แต่คุณจะดูไม่ออกเลยหรือ ว่าคุณชายรู้สึกกับคุณไม่เหมือนกัน”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ หว่างคิ้วของเฉียวฉีก็ขมวดเข้มขึ้นมา
ใบหน้าที่สงบนิ่ง ทันใดนั้นปรากฏให้เห็นอารมณ์โกรธ
“อย่าพูดถึงเขา”
เสี่ยวเยว่ชะงักไป
เฉียวฉียิ้มเยาะเย้ยแล้วกล่าวว่า“ฉันไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเขาอยู่แล้ว ต่อไปก็ไม่อยากได้ยินชื่อของคนคนนี้อีก ดังนั้นเรื่องแบบนี้ต่อไปอย่ามาพูดต่อหน้าฉันอีก”
เสี่ยวเยว่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ตามที่รู้ ก่อนวันนี้ ทั้งคู่ยังดีกันอยู่นี่
พอกลับมาคิดอีกครั้ง ทันใดนั้นก็นึกถึงเรื่องที่เมื่อวานเฉียวฉีวิ่งไปหากู้ซือเฉียนที่โรงยิมมวย จึงเหมือนจะเข้าใจอะไรเล็กน้อย
ดังนั้นจึงยิ้มกล่าวว่า“ได้ค่ะ คุณไม่ให้พูดก็ไม่พูด ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่ต้องไปเสียใจกับเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องพวกนั้นอีก ฉันว่าใกล้ได้เวลากินยาแล้ว ฉันไปเอายามาให้คุณกินก่อนนะ”
เฉียวฉีไม่ปฏิเสธ พยักหน้ารับ
เสี่ยวเยว่เอายาของเธอมาให้อย่างเร็ว
ยาพวกนี้ ล้วนเป็นยาที่คุณหมอหญิงให้เธอไว้รักษาอาการบาดเจ็บ เน้นย้ำให้เธอต้องกินก่อนอาหารและหลังอาหารอย่างละชนิด
ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงแล้ว ควรจะต้องไปทานข้าวแล้ว ดังนั้นก็ต้องทานก่อนหนึ่งครั้ง
เฉียวฉีรับยาลูกกลอนสีชมพูขาวจากมือเธอมา โยนเข้าไปในปาก จากนั้นก็ดื่มน้ำตาม ยกหัวขึ้นกลืนลงไป
เสี่ยวเยว่มองดูท่าทางเธอกินยาด้วยดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย
หลังจากทานยาแล้ว เฉียวฉีก็ตามเธอไปทานข้าวที่ห้องอาหารด้วยกัน
หลังจากทานข้าวแล้ว เธอรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย ดังนั้นจึงกลับมาพักผ่อน
อากาศเช่นนี้ เหมาะสำหรับนอนกลางวันมาก
เฉียวฉีนอนลงที่เตียงสะลึมสะลือหลับไป แต่ขณะเดียวกันนี้ ที่ข้างนอกมีเสียงทะเลาะดังเข้ามา