แววตาเฉียวฉีสงบนิ่ง เงยหน้ามองดูเธอแวบหนึ่ง แล้วก็มองไปที่จางเฟิ่ง
จากนั้นถึงกล่าวเสียงเคร่งขรึมว่า“ภาพในกล้องวงจรปิดเคยถูกคนลบไปแล้ว คนที่แอบสับเปลี่ยนรังนก ไม่ใช่จางเฟิ่ง”
“อะไรนะ”
ทุกคนต่างตกตะลึง และประหลาดใจเล็กน้อย
ไม่ใช่จางเฟิ่งหรือ แล้วเป็นใครกัน
ทุกคนต่างประหม่าขึ้นมาทันที คุณดูฉัน ฉันดูคุณ ต่างพากันเดาว่าใครเป็นคนแตะต้องรังนกพวกนั้น
หลินเยว่เอ๋อร์ก็ขมวดคิ้วขึ้นมา
เพราะว่าเธอก็ยืนอยู่ในที่ที่ไม่ไกลจากเฉียวฉี ดังนั้น ภาพบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ตรงหน้าเฉียวฉี เธอก็มองเห็นอย่างชัดเจน
ทั้งๆที่ไม่เห็นมีใครแตะต้องตู้นั้นเลย จู่ๆทำไมเธอถึงสามารถตัดสินใจพูดว่าไม่ใช่จางเฟิ่งเอาไป
นี่เธอจะปั้นน้ำเป็นตัวหรือ
ดังนั้น เธอจึงเอ่ยปากอย่างไม่พอใจมาก
“เฉียวฉี ฉันรู้ว่าคุณหวังดี อยากจะช่วยแม่ครัวคนแซ่จางนี้ให้หลุดพ้นข้อกล่าวหา แต่การเกิดมาเป็นคน พื้นฐานเรื่องความผิดถูกต้องมีหรือเปล่า เห็นได้ชัดว่าบนจอคอมพิวเตอร์ไม่เคยมีใครปรากฏตัวเลย มีเพียงจางเฟิ่งที่เปิดตู้เอาสิ่งของเท่านั้น แล้วทำไมคุณถึงตัดสินว่ารังนกนั้นไม่ใช่เธอเป็นคนเอาไป ”
เฉียวฉีเงยหน้า มองดูเธอด้วยสายตาเย็นชาแวบหนึ่ง
ก็ไม่รู้ว่าหลินเยว่เอ๋อร์ตาฝาดไปหรือเปล่า ทันใดนั้นเธอรู้สึกว่า สายตาที่เฉียวฉีมองดูเธอ รู้สึกแปลกเล็กน้อย
เหมือน……กำลังมองคนปัญญาอ่อน
เมื่อรู้สึกตัวขึ้นมา ในใจหลินเยว่เอ๋อร์ก็เดือดขึ้นมาทันที
จากนั้น ยังไม่รอให้เธอออกอาการ เฉียวฉีก็พูดออกมาอย่างหนักแน่นว่า
“ภาพในกล้องวงจรปิดหลายวันมานี้ ตั้งแต่ต้นจนจบเห็นเพียงจางเฟิ่งเปิดตู้นั้นอยู่คนเดียวเท่านั้นจริง แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่ารังนกนั่นเธอเป็นคนสับเปลี่ยน”
หลินเยว่เอ๋อร์ไม่เข้าใจ“มีเพียงเธอคนเดียวที่สัมผัสกับตู้นั้น แล้วทำไมถึงไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเธอเป็นคนเปลี่ยน”
เฉียวฉีหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วก็มองไปที่เธอด้วยสายตาเบื่อหน่ายเล็กน้อย
เสี่ยวเยว่อดไม่อยู่แล้ว จึงเปิดปากพูดว่า“คุณหลิน ครั้งหน้ารบกวนคุณรอให้คุณเฉียวของฉันพูดจบก่อนแล้วค่อยถามได้ไหม คุณเฉียวยังพูดไม่จบเลย แล้วจะให้คนอื่นตอบคำถามคุณได้อย่างไร ”
หลินเยว่เอ๋อร์:“………….”
เธอกัดฟัน แล้วก็พึมพำเสียงเย็นชา“เธอพูดช้าขนาดนั้น ใครจะรู้ว่าเธอพูดจบหรือยัง จริงๆเลย อายุยังน้อยแต่การพูดการจาราวกับยายเฒ่า คนที่เขาไม่รู้อาจจะคิดว่าเป็นวัยทอง”
เมื่อพูดคำนี้ออกมา ไม่เพียงแต่เสี่ยวเยว่เท่านั้น แม้แต่ดวงตากู้ซือเฉียนก็เย็นชาเล็กน้อย
แต่ว่า เห็นได้ชัดว่า ทุกคนที่อยู่ที่นั่นไม่มีใครอยากจะไปสนใจเธอกับเรื่องแบบนี้
เฉียวฉีกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆว่า“ที่บอกว่าจางเฟิ่งไม่ได้เอาสิ่งของไปนั้น เป็นเพราะว่า ภาพในกล้องวงจรปิดชุดนี้มีคนเคยเตะต้องมันแล้ว ที่ฉันให้เสี่ยวเยว่หยุดชั่วคราวตรงนี้ ก็เป็นตรงที่ถูกคนลบไปแล้ว ถ้าพวกคุณไม่เชื่อ ลองขยับเข้ามาดูใกล้ๆได้ ”
เธอพูดจบ ทุกคนต่างประหลาดใจมาก จากนั้น คนทั้งหมดก็ขยับเข้ามาดู
กู้ซือเฉียนไม่จำเป็นจะต้องขยับเข้าไป เพราะสายตาเขาดีมาก ที่จริงเมื่อกี้ตอนที่เฉียวฉี เปิดดูหลายรอบ เขาได้สังเกตเห็นรายละเอียดตรงนั้นแล้ว
อาจจะเป็นเพราะว่าฝีมือของอีกฝ่ายยังไม่ดีพอ ดังนั้น ถึงแม้หน้าจอจะถูกตัดต่อแล้ว แต่ยังทิ้งให้เห็นร่องรอยเล็กๆ
ตรงตำแหน่งที่เฉียวฉีให้เสี่ยวเยว่หยุดชั่วคราวเมื่อกี้นี้ มีเงาของคนคนหนึ่งทั้งๆที่เพิ่งจะก้าวขาออกไปหนึ่งขา จะออกจากหน้าจอนี้ แต่วินาทีต่อมา ก็หายไปเลย
หายไปจากหน้าจออย่างสิ้นเชิง
ตรงนี้แปลกมาก
เพราะว่าตามหลักแล้วความเคลื่อนไหวของคนจะต้องมีร่องรอย การจากไปก็ไม่สามารถจะหายไปในทันที แต่จะต้องมีขั้นตอนในการก้าวเดิน
สถานการณ์ในตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าในระหว่างนี้ยังมีภาพตอนหนึ่งที่ถูกตัดทิ้งไปแล้ว แต่ตอนที่คนคนนั้นตัดทิ้ง ละเลยรายละเอียดตรงนี้ไป
เพียงเพราะเร่งรีบ จึงเอาภาพข้างหลังกับภาพก่อนมาประกบตัดต่อขึ้นมา ดังนั้นก็เลยกลายเป็นความผิดพลาดเช่นนี้
เมื่อเป็นเช่นนี้ ทุกคนต่างก็เข้าใจ
“พระเจ้า แล้วเป็นใครหรือ ใครจะเคยตัดต่อภาพวงจรปิดนี้”
“คนที่ตัดต่อภาพคนนั้นจะต้องเป็นคนที่สับเปลี่ยนรังนกอย่างแน่นอน”
“แต่พวกเราล้วนตัดต่อวิดีโอไม่เป็นเลยนี่ น่าจะไม่ใช่คนในห้องครัวของเราเป็นคนทำนะ”
ทันใดนั้นทุกคนต่างอดไม่ได้ที่จะซุบซิบกันขึ้นมา
เมื่อหลินเยว่เอ๋อร์เห็นเช่นนั้น ลึกๆในใจก็รู้สึกว่า เรื่องนี้เกรงว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับจางเฟิ่งจริงๆ
ทันใดนั้นเธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย เดิมทีเธอคิดจะแสดงความสามารถและความฉลาดของตัวเองต่อหน้ากู้ซือเฉียนสักครั้ง แต่ไม่คิดว่าจะกลับกลายเป็นว่าอวดโง่
เพื่อจะไม่ให้เฉียวฉีเด่นกว่าตัวเองต่อหน้ากู้ซือเฉียน ดังนั้น เธอจำเป็นจะต้องเดินทางสายมืดนี้ให้สุดทาง
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หลินเยว่เอ๋อร์รีบกล่าวว่า“ถึงแม้วิดีโอจะถูกคนตัดต่อแล้ว แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่า สิ่งของไม่ใช่จางเฟิ่งเป็นคนเอานี่ ไม่แน่ว่าเธอสับเปลี่ยนแล้วถึงนึกขึ้นได้ว่ามีวงจรปิด ดังนั้นจึงกลับไปทำการตัดต่อวงจรปิดล่ะ”
ทันทีที่พูดประโยคนี้ออกมา ทุกคนต่างอึ้งไป
ใช่แล้ว นี่ก็เป็นไปได้เหมือนกัน
และแล้ว จางเฟิ่งกลับรีบโบกไม้โบกมือ
“เป็นไปไม่ได้ ฉัน ฉันตัดต่อวิดีโออะไรนั้นไม่เป็นเลย และกล้องวงจรปิดทั้งหมดในปราสาทก็มีคนรับผิดชอบโดยเฉพาะ หากไม่มีคำสั่งของคุณชาย จะไม่มีใครสามารถเอาวงจรปิดนั้นมาได้”
คำพูดนี้เป็นเรื่องจริง
อย่างไรก็ตาม กู้ซือเฉียนเป็นคนสถานะพิเศษ และการรักษาความปลอดภัยในปราสาทนี้ก็เข้มงวดมาก
กล้องวงจรปิดที่เป็นสิ่งของสำคัญเช่นนี้ ย่อมจะไม่สามารถให้ใครที่อยากเตะต้องก็เตะต้องได้ที่ไหนล่ะ
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เฉียวฉีเงยหน้าขึ้น จ้องสายตาไปที่กู้ซือเฉียนที่ยืนดูอยู่ข้างๆอยู่ตลอดเวลา
กู้ซือเฉียนเลิกคิ้ว และรับรู้ความหมายของเธอแล้ว
ดังนั้น จึงหันหน้าไปเรียกคนที่รับผิดชอบกล้องวงจรปิดมา
เห็นเพียงคนที่ถูกเขาเรียกมานั้น เป็นชายหนุ่มที่ดูไปแล้วอายุน่าจะไม่มาก น่าจะประมาณยี่สิบกว่าปี ผมยุ่งเหยิงเล็กน้อย ใส่แว่นตา ดูไปแล้วเป็นคนสุภาพเรียบร้อยมีการศึกษาคนหนึ่ง
ระหว่างทางที่มา เขาได้รู้สาเหตุที่กู้ซือเฉียนเรียกตัวเองมาครั้งนี้แล้ว
ดังนั้น เมื่อมาถึง ก็จับไปที่แว่นตาที่อยู่บนสันจมูก แล้วสารภาพตามความจริงว่า“ผมเป็นคนรับผิดชอบติดตั้งกล้องวงจรปิดของตึกรอง แต่เนื่องจากห้องครัวห่างจากห้องควบคุมหลักค่อนข้างไกล เพราะฉะนั้นจึงติดตั้งห้องควบคุมแยกไว้ต่างหาก ซึ่งอยู่ในห้องพักผ่อนข้างๆห้องนั้น เพราะผมต้องรับผิดชอบทั้งตึกรองนี้ ไม่สามารถจะอยู่ทางนี้ได้ตลอดเวลา ดังนั้นห้องเครื่องทางนี้ปกติจะถูกล็อกไว้ ”
เมื่อเฉียวฉีได้ยินเช่นนั้น ก็ถามว่า“คุณเป็นคนเดียวที่มีกุญแจหรือ
คนคนนั้นพยักหน้า และล้วงเอากุญแจออกมาจากในกระเป๋า
“ใช่ครับ กุญแจทางนี้ มีเพียงผมมีคนเดียวเท่านั้น และมีเพียงดอกเดียวเท่านั้น”
เฉียวฉีรับกุญแจมาดู ดวงตาลุ่มลึกเล็กน้อย
เมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้ ก็รู้สึกแปลกประหลาดเล็กน้อย
และในเวลานี้ ก็ไม่รู้ว่าเสี่ยวเยว่คิดอะไรขึ้นมาได้ จู่ๆก็กล่าวว่า“หากพูดแบบนี้ ป้าจางก็ยิ่งจะเป็นคนที่แอบเปลี่ยนรังนกคนนั้นไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไร คนที่แอบเปลี่ยนรังนกก็คือคนที่ตัดต่อวิดีโอ และยังไม่พูดถึงว่าป้าจางตัดต่อวิดีโอเป็นหรือไม่เป็น แค่ห้องเครื่องนั้น เธอไม่มีกุญแจก็เข้าไปไม่ได้แล้ว ”
คำพูดของเธอ ถือได้ว่าเป็นคำพูดที่ปลุกคนให้ตื่นจากฝัน