คนอื่นก็พยักหน้าเห็นดีด้วย
“ใช่ มันต้องเป็นอย่างนี้”
“ไม่มีกุญแจ ใครจะเข้าไปได้ คงจะไม่ได้บินเข้าไปนะ”
“ถ้าพูดเช่นนี้ ก็น่าจะไม่ใช่คนในห้องครัวเราเป็นคนทำแล้วล่ะ”
เมื่อเห็นเช่นนั้น มีอยู่คนหนึ่งที่ค่อนข้างมีสติสัมปชัญญะ ก็พูดออกมาอย่างรวดเร็ว
“มีคนขโมยกุญแจไปแล้ววางกลับไปให้คุณใหม่หรือเปล่า”
เมื่อชายหนุ่มผู้รับผิดชอบกล้องวงจรปิดได้ยินเช่นนั้น ก็รีบส่ายหัว
“เป็นไปไม่ได้ กุญแจของผมเก็บไว้ที่ตัวตลอดเวลา ไม่เคยห่างจากตัวผมเลย จะถูกขโมยไม่ได้แน่นอน”
ทันทีที่พูดคำนี้ออกมา ทุกคนต่างรู้สึกสงสัยเล็กน้อย
ไม่มีใครขโมยกุญแจไป แต่ภาพในกล้องวงจรปิดถูกคนตัดต่อจริงๆ หรือจะเป็นผีทำ
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ มีคนสีหน้าเปลี่ยนไป
เฉียวฉีไม่เชื่ออยู่แล้วว่าบนโลกนี้มีผี
เธอสีหน้าเคร่งเครียด แววตาเย็นชา กวาดสายตาไปที่ใบหน้าของแต่ละคนที่อยู่ตรงหน้า
สุดท้าย สายตาไปตกอยู่ที่หญิงสาววัยรุ่นคนหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงมุมห้องตลอด
เด็กผู้หญิงคนนั้นดูไปแล้วอายุน้อยมาก ท่าทางน่าจะประมาณสิบหกเจ็บปี ตามหลักแล้ว อายุยังไม่ถึงวัยทำงาน
แต่เฉียวฉีจำได้ว่า ก่อนหน้านั้นมีอยู่ครั้งหนึ่งตอนที่เดินผ่านสวนดอกไม้ ได้ยินคนรับใช้คุยกันโดยไม่ตั้งใจว่า เธอได้อยู่ที่นี่มาสามปีแล้ว
ตอนนี้น่าจะอายุประมาณสิบหกสิบเจ็บปี ถ้าสามปีก่อน ก็แค่สิบสามสิบสี่ปีเอง
ยกเว้นเรื่องที่กู้ซือเฉียนปล่อยให้เด็กผู้หญิงที่เด็กขนาดนี้มาเป็นหญิงรับใช้ที่นี่แล้ว ตอนนั้นที่ เฉียวฉีได้ยิน ในใจยังรู้สึกเศร้าและเห็นอกเห็นใจเล็กน้อย และก็เป็นเพราะเหตุนี้ จึงให้ความสนใจเธอมากเป็นพิเศษ
เวลานี้ เห็นเธอก้มหน้าอยู่ตลอดเวลา หัวแทบจะมุดเข้าไปที่หน้าอกแล้ว
และสองมือที่วางอยู่ข้างหน้าขยี้ชายเสื้อตัวเองอยู่ตลอดเวลาเหมือนอยู่ไม่สุข ดูแล้วท่าทางประหม่าและกลัวมาก เฉียวฉีอดไม่ได้ที่จะสงสัยขึ้นมา
“คุณเป็นอะไรไหม”เธอถามกะทันหัน
ทุกคนตะลึง พร้อมกับหันไปทางหญิงสาวคนนั้นตามสายตาของเธอ
น่าจะรับรู้ได้ถึงสายตาที่มองมา หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมา เผยให้เห็นใบหน้าที่ซีดเซียวและละอายใจ
“ฉัน ฉันไม่เป็นไร………”
ถึงแม้จะปฏิเสธ แต่น้ำเสียงสั่น เห็นได้ชัดว่าประหม่า
ดวงตาเฉียวฉีขรึมลง
เวลานี้ หลินเยว่เอ๋อร์ก็ดูออกถึงความไม่ชอบมาพากล
เธอไม่ได้โง่ แค่กลอกตาครุ่นคิดก็เข้าใจแล้ว รีบเดินขึ้นไป ดึงเด็กหญิงคนนั้นออกมาจากในกลุ่ม
“พูดมา เธอขโมยรังนกไปใช่ไหม”
น้ำเสียงเธอค่อนข้างแหลมเพราะความโกรธ เด็กผู้หญิงตกใจจนสั่นไปทั้งตัว ไม่แม้แต่ดิ้นรนขัดขืน“ตุ๊บ”คุกเข่าลงไปทันที
“ฉันไม่ ฉันไม่ได้ขโมย รังนกพวกนั้นฉันเก็บได้ที่สวนดอกไม้”
ทันทีที่พูดคำนี้ออกมา ทุกคนต่างตกตะลึง
เสี่ยวเยว่เหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ สายตาที่เย็นชา หันหลังแล้วเดินไป
เฉียวฉีก็ไม่ได้ขวางไว้ เป็นไปตามคาด ไม่นานเธอก็เอากล่องรังนกชั้นเลิศหลายกล่องมา
สีหน้าดูไม่ได้เลย
“คุณเฉียว หาเจอแล้วค่ะ”
เธอนำรังนกหลายกล่องส่งให้เฉียวฉี
เมื่อเฉียวฉีรับมาดูแล้ว ส่งต่อให้จางเฟิ่ง
“ป้าจาง คุณดูว่าใช่กล่องพวกนี้หรือเปล่า”
เมื่อป้าจางรับมาดูแล้ว สีหน้าเปลี่ยนไปทันที
รีบพยักหน้ารับ“ใช่ค่ะ ใช่พวกนี้ค่ะ”
ขณะที่พูด พลางหันหน้ามองไปทางเด็กผู้หญิงคนนั้นแบบไม่อยากจะเชื่อ “ที่แท้เป็นแก ทำไมแกถึงทำเรื่องโง่ๆแบบนี้ รังนกพวกนี้แม้จะมีค่าขนาดไหน จะมีค่าเท่าชื่อเสียงของแกไหม ทำไมแกถึงต้องขโมยสิ่งของ”
เด็กผู้หญิงคนนี้ชื่อเสี่ยวอวี้ เพราะอายุน้อย ปกติจะได้รับการดูแลเป็นพิเศษจากป้าจางและคนอื่นๆทางนี้
ทุกคนเห็นอกเห็นใจเธอเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว บวกกับเธอก็ปากหวานและขยันด้วย ดังนั้นแทบจะเห็นเธอเป็นน้องสาวไปเสียแล้ว
แต่ไม่คิดว่า ปกติต่อหน้าพวกเขาเป็นน้องสาวที่น่ารักและเชื่อฟัง ลับหลังกลับทำเรื่องขโมยเช่นนี้ และยังเกือบจะทำให้จางเฟิ่งต้องตกงานปีเพราะข้อกล่าวหานี้ ทุกคนจึงรู้สึกโกรธและผิดหวัง
เมื่อเสี่ยวอวี้เห็นเช่นนั้น จึงส่ายหัวไปมา และบนหน้าเต็มไปด้วยน้ำตาไปนานแล้ว
“ไม่ใช่ฉันจริงๆ ป้าจาง ฉันไม่ได้ขโมยรังนก รังนกพวกนี้ฉันเก็บมาจากสวนดอกไม้ ”
หลินเยว่เอ๋อร์กรีดร้องแล้วกล่าวว่า“ไร้สาระ ทั้งๆที่ของนี้อยู่ในตู้ใส่วัตถุดิบอาหารของห้องครัว แกจะไปเก็บได้จากที่สวนดอกไม้ได้อย่างไร จะพูดโกหกก็หาข้ออ้างให้มันดีกว่านี้บ้าง”
เมื่อเสี่ยวอวี้ถูกเธอพูดใส่เช่นนี้ ชั่วขณะนั้น ก็ไม่รู้ว่าควรจะอธิบายอย่างไร ได้แต่คุกเข่าร้องไห้อยู่ตรงนั้น
ขณะเดียวกัน ก็มีคนรับใช้คนหนึ่งยืนออกมาพูดว่า“ ในเมื่อพูดมาถึงตรงนี้แล้ว ฉันก็จะขอพูดตามตรงบ้าง”
ขณะที่พูด มองเสี่ยวอวี้ด้วยสายตาอึดอัดเล็กน้อย
อาจจะเป็นเพราะความรู้สึกผิดชอบชั่วดี เธอจึงกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “พวกเรากลุ่มคนรับใช้ ล้วนไม่มีการศึกษา แต่เสี่ยวอวี้ไม่เหมือนกัน เธอเคยเรียนมัธยมปลาย ค่อนข้างจะเข้าใจในเรื่องคอมพิวเตอร์อะไรพวกนี้ ยังใช้คอมพิวเตอร์แต่งภาพเป็นวิดีโออะไรพวกนี้ได้ ฉันรู้สึกว่าถ้าจะให้เธอตัดต่อวิดีโอจริงๆ ก็ไม่น่าจะเป็นไปไม่ได้”
เมื่อเธอพูดคำนี้ออกมา คนข้างกายหลายคนก็ออกเสียงเห็นดีด้วย
เมื่อหลินเยว่เอ๋อร์เห็นเช่นนี้ ก็ยิ่งได้ใจ
“ถ้าอย่างนั้นก็ใช่แล้ว รังนกอยู่ในมือแก และแกก็เป็นคนเดียวในกลุ่มคนทั้งหมดนี้ที่ตัดต่อวิดีโอเป็น ถ้าอย่างนั้นสิ่งของนี้ไม่ใช่แกเป็นคนสับเปลี่ยนแล้วจะเป็นใครสับเปลี่ยน หรือว่าฉันกับเฉียวฉีสับเปลี่ยนแล้วจงใจใส่ร้ายแกหรือ”
ขณะที่พูดประโยคนี้ เธอยังเอียงหัวเล็กน้อยไปมองเฉียวฉีแวบหนึ่ง
เห็นได้ชัดว่า เกี่ยวกับเรื่องที่เอาเธอกับตัวเองดึงมาอยู่พวกเดียวกันเช่นนี้ รู้สึกไม่คุ้นเคยเล็กน้อย
เมื่อเสี่ยวอวี้เห็นเช่นนั้น ถึงแม้จะยังคงส่ายหัวอยู่ตรงนั้น แต่นอกจาก“ฉันไม่ได้เอา ”กับ“ไม่ใช่ฉัน”แล้วก็ไม่มีอะไรพูดออกมาโต้แย้งได้
อย่างไรก็ตามการโต้แย้งเช่นนี้ ดูจากสถานการณ์ในเวลานี้ ไม่มีประโยชน์ใดๆเลย
เฉียวฉีมองดูสถานการณ์นี้ แล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย
ตามสัญชาตญาณของเธอ เธอรู้สึกว่า ที่เด็กผู้หญิงคนนี้พูดก็อาจจะไม่ได้พูดโกหกก็ได้
แต่หลักฐานอยู่ตรงหน้า เธอก็พูดอะไรไม่ได้
ทำได้เพียงเงยหน้ามองไปทางลุงโอ แล้วกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า“ลุงโอคะ เรื่องนี้ให้คุณจัดการเลยแล้วกัน”
เวลานี้ลุงโอก็สีหน้านิ่งไป แล้วพยักหน้า
แล้วกล่าวกับเสี่ยวอวี้ว่า“เห็นแก่ที่แกทำผิดครั้งแรก และอายุยังน้อยก็จะไม่แจ้งตำรวจส่งแกไปนั่งในคุก แต่ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป แกออกไปจากที่นี่ ต่อไปไม่ต้องมาปรากฏตัวแถวนี้ เข้าใจไหม”
พูดจบแล้ว มองไปที่กู้ซือเฉียนแวบหนึ่ง ราวกับขอคำแนะนำ
กู้ซือเฉียนไม่ได้เอ่ยปาก นั่นก็หมายความว่าเห็นด้วยแล้ว
จากนั้นลุงโอถึงสั่งการคนรับใช้สองคนว่า“พวกแกไปช่วยเธอเก็บข้าวของ แล้วส่งเธอไป”
คนรับใช้สองคนนั้นรับปากเสียงต่ำ เสี่ยวอวี้ยังหยุดร้องไม่ได้ ฟังจนป้าจางก็รู้สึกอดสงสารไม่ได้
ถึงแม้ว่าเธอจะทำผิด แต่ไม่ว่าอย่างไรเธอยังอายุน้อย อาจจะถูกผีเข้าสิงชั่วขณะก็ได้
ดังนั้น จึงเดินเข้าไป ตำหนิเสียงเย็นชาว่า“ยังจะร้องอีก ทำผิดแล้วร้องไห้เพื่ออะไร ถือเป็นโอกาสในการเรียนรู้ ต่อไปเมื่อไปถึงบ้านนายใหม่ ห้ามทำเรื่องผิดพลาดเช่นนี้อีกเข้าใจไหม”
เสี่ยวอวี้พยักหน้าด้วยท่าทางสะอึก กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “เข้าใจค่ะ”