แล้วทุกคนจึงส่งเสี่ยวอวี้จากไป
การลงโทษของลุงโอ ไม่ว่าใครก็มองว่า ถือเป็นความเมตตาแล้ว
แต่ในใจเฉียวฉียังรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไม เธอรู้สึกว่า เด็กตัวเล็กคนหนึ่งอย่างเสี่ยวอวี้ น่าจะไม่ใช่เป็นคนทำเรื่องนี้
แต่เวลานี้ หลักฐานทั้งหมดชี้ไปที่เธอ แล้วเธอเองก็ไม่สามารถหาเหตุผลมาหักล้างได้ ดังนั้น เรื่องนี้จึงทำได้เพียงให้มันจบไปแบบนี้
ในที่สุดเรื่องวุ่นวายก็จบลง
เฉียวฉีรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย จึงให้เสี่ยวเยว่ส่งเธอกลับห้องนอน
ขณะที่ผ่านตรงระเบียงทางเดิน เห็นจางเฟิ่งกับหญิงรับใช้อีกหลายคน พาเสี่ยวอวี้เดินออกมาจากทางห้องคนรับใช้ กำลังจะเดินไปทางประตูใหญ่
ในมือเสี่ยวอวี้ถือกระเป๋าเดินทางธรรมดาหนึ่งใบ ข้างหลังสะพายเป้หนี่งใบ น่าจะเป็นสิ่งของทั้งหมดของเธอที่นี่
เธอยังร้องไห้อยู่ ร้องไห้ไปด้วย แล้วใช้หลังมือข้างหนึ่งเช็ดน้ำตาไปด้วย
และก็พยักหน้าไปด้วย เหมือนกับรับปากคำสั่งเสียอะไรของป้าจางและคนอื่นต่อเธอ
เฉียวฉีมองดูแล้วก็ถอนหายใจเฮือก
หันหลัง กลับเข้าไปทางห้องนอนตัวเอง
ถูกพวกเธอเอะอะเช่นนี้ เวลาพักผ่อนกลางวันของเธอก็ต้องปล่อยทิ้งไปโดยปริยาย
ช่วงบ่าย ฝึกฝนปาลูกดอกอยู่ในห้องนอนสองชั่วโมง จนกระทั่งได้เวลาอาหารเย็น ถึงเดินออกมาจากห้องนอน
ตอนนี้เป็นฤดูร้อนแล้ว ฟ้ามืดช้า เนื่องจากปราสาทสร้างอยู่ริมทะเลสาบ และเป็นที่ราบสูง จึงไม่รู้สึกร้อน
ตอนเย็นหลังจากพระอาทิตย์ตกดินแล้ว น้ำในทะเลสาบพัดโชยลมกลางคืนมา ทำให้รู้สึกเย็นสดชื่น
วันนี้เฉียวฉีมีความสุขมาก ไม่ได้ทานข้าวในห้องนอน แน่นอนว่า เธอก็จะไม่ไปที่ห้องอาหารของตึกรองเพื่อร่วมรับประทานอาหารกับหลินเยว่เอ๋อร์ ดังนั้น จึงเรียกให้เสี่ยวเยว่ จัดอาหารเย็นรับประทานที่ดาดฟ้าชั้นสอง
ดาดฟ้าชั้นสองหันไปทางทะเลสาบพอดี เวลานี้แค่ทุ่มหนึ่งเอง ฟ้าพลบค่ำ แสงไฟได้ส่องสว่างขึ้นแล้ว
แสงจันทร์บนท้องฟ้าได้ค่อยๆโผล่ออกมา พระจันทร์เสี้ยวจางๆ สะท้อนไปบนผิวทะเลสาบ แสงระยิบระยับเหมือนอ่างเกร็ดเงิน
เฉียวฉีขี้เกียจย้ายที่นั่ง ก็เลยนั่งบนรถเข็น หันหน้าไปทางทะเลสาบและแสงจันทร์ รับประทานอาหารค่ำขึ้นมาอย่างอารมณ์ดี
เสี่ยวเยว่ไม่ได้ร่วมทานด้วย เธอได้ทานไปก่อนนานแล้ว เวลานี้ เพียงแค่ยืนปรนนิบัติอยู่ข้างๆ
ปกติเฉียวฉีก็ไม่ชอบการวางมาดอยู่แล้ว และยิ่งไม่ชอบขนบธรรมเนียมที่กู้ซือเฉียนตั้งขึ้นแบบคุณชายใหญ่สมัยโบราณนี้เลย
ดังนั้น เดิมทีก็ให้เธอมาร่วมนั่งด้วย ถึงแม้จะไม่ทานอาหาร ขอเพียงดื่มน้ำและคุยเป็นเพื่อนก็ยังดี
แต่เสี่ยวเยว่ยืนกรานไม่ยอม บอกเพียงว่าถ้าจะคุย เธอยืนอยู่ก็คุยได้เหมือนกัน
เมื่อเฉียวฉีเห็นเช่นนั้น ก็ไม่ได้บังคับ
ลมกลางคืนพัดโชยกลิ่นอาหารออกมาเบาๆ บรรยากาศดีและเงียบสงบมาก
เฉียวฉีรับประทานอาหารค่ำไปคุยกับเสี่ยวเยว่ไปเรื่อยเปื่อย พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดในปราสาทในช่วงนี้ และฟังเสี่ยวเยว่คุยเรื่องคนในครอบครัวของเธอบ้าง
เฉียวฉีถึงรู้ว่า ที่แท้เธอเป็นเด็กกำพร้า
ตั้งแต่เล็กเสี่ยวเยว่ก็เติบโตมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ส่วนพ่อแม่ของเธอนั้น เธอจำไม่ได้แล้วว่าหน้าตาเป็นอย่างไร
จำได้เพียงว่า ตอนเด็กที่บ้านยากจนมาก ประเภทที่ยากจนมากจนไม่มีแม้แต่ข้าวสารจะกรอกหม้อ
มีอยู่วันหนึ่ง เธอไม่สบาย เป็นไข้ตัวร้อนมาก แม้แต่หัวสมองก็เบลอๆไม่รู้สึกตัวแล้ว
ในจิตใต้สำนึกรางๆ แม่นั่งร้องไห้อยู่ที่หัวเตียงตลอดเวลา ร้องไห้ไปเต็มๆหนึ่งคืน เช้าวันรุ่งขึ้น ก็แบกเธอไปในเมือง วางไว้ที่ประตูสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า
ตอนนั้นเธอยังเล็กมาก เพียงแค่สามสี่ขวบ ตามหลักแล้วเรื่องส่วนใหญ่น่าจะเลือนรางจำไม่ได้แล้ว
แต่เงาหลังสุดท้ายของแม่ก่อนจากไปยังฝังลึกอยู่ในหัวของเธอ จนตายก็ไม่มีวันลืม
ต่อมา เธอก็เติบโตอย่างปลอดภัยในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า และต่อมาอีก เรียนหนังสือได้ครึ่งทาง เพราะเกรดไม่ดี ดังนั้นก็ไม่ได้เรียนต่อ จึงออกมาทำงาน
เรื่องจริงไม่ถือเป็นความพิเศษอะไรของชีวิต เมื่อเฉียวฉีฟังไป ก็ค่อยๆนึกถึงตัวเองขึ้นมา
ที่แท้ เป็นคนที่มีเคราะห์กรรมเหมือนกันหรือ
หลังจากที่คุณแม่เฉียวเสียไป ญาติสนิทคนเดียวของเธอก็เหลือเพียงถังชีชี แต่วันนี้ถังชีชีก็ได้เสียไปแล้ว
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ รู้สึกเจ็บจี๊ดในหัวใจ
เสี่ยวเยว่ฝืนยิ้มแล้วกล่าวว่า“ที่จริงถ้าปลงได้ก็ดีแล้ว ไม่มีญาติก็ไม่มีห่วง เวลาที่เจอปัญหามากมาย ก็ตัดสินใจได้ง่ายและเด็ดขาดมากขึ้น ไม่ต้องกังวลว่าจะทำให้ที่บ้านเดือดร้อนไปด้วย”
เฉียวฉีพยักหน้า“ใช่”
น้ำเสียงเบามาก ราวกับถอนหายใจ
แล้วทั้งคู่ต่างเงียบไปโดยไม่พูดอะไร
และในเวลานี้ จู่ๆก็ได้ยินเสียงอ้อนแอ้นแว่วมาจากชั้นล่าง
“พวกแกอย่าพูดมั่วนะ กู้ซือเฉียนไม่ได้เป็นคนประเภทที่พวกแกพูด ที่เขาส่งสิ่งของพวกนี้มาก็เพื่อชดเชยฉันเท่านั้น มีอะไรเกินจริงอย่างที่พวกแกพูดที่ไหน ”
“ได้ หรือคุณยังไม่รู้จักนิสัยของคุณชายหรือ ถ้าในใจเขาไม่มีคนคนไหน จะส่งสิ่งของให้เธอได้อย่างไร”
“ก็ใช่ เมื่อรู้ว่ารังนกของคุณถูกแอบเปลี่ยนไปแล้ว ก็รีบให้คนส่งรังนกชั้นเลิศมาชดเชยให้ ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีอาหารเสริมอื่นๆอีกหลายตัว เมื่อกี้ฉันกับเสี่ยวถาวดูแล้ว ล้วนเป็นสิ่งของดีเลิศ”
คำนี้ ยิ่งทำให้น้ำเสียงหลินเยว่เอ๋อร์ไพเราะอ่อนหวานมากขึ้น
“ได้ พวกเธอปากไว พาฉันไปดูหน่อย ของดีอะไรที่ทำให้พวกแกดีใจได้ขนาดนี้ ”
กลุ่มคนหัวเราะออกมาทันที “ดีค่ะ จะพาคุณไปเดี๋ยวนี้เลย”
คนกลุ่มนั้นเจี๊ยวจ๊าวกันเดินไปทางห้องครัว
เสี่ยวเยว่ที่มองดูอยู่ ใบหน้ามีความดูถูกเหยียดหยาม แล้วพึมพำว่า“นางสุนัขจิ้งจอกไร้ยางอาย”
เฉียวฉีไม่พูดอะไร และคิ้วของเธอก็ราบเรียบ
เมื่อเสี่ยวเยว่มองดูสีหน้าเธอ แล้วกล่าวอย่างระมัดระวังว่า“คุณเฉียว คุณอย่าไปคิดมาก คุณชายเขาไม่เพียงส่งให้หลินเยว่เอ๋อร์หรอก ส่งมาให้คุณด้วย เพียงแต่พวกเราคิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่ไม่เคยมี ดังนั้นจึงไม่ได้ตีกลองโพนทะนาเหมือนพวกเขา”ขณะที่พูด ก็ยิ้มเยาะเย้ย
“เป็นเพียงส่วนผสมวัตถุดิบบำรุงสุขภาพเป็นปกติอยู่แล้ว ก็เหมือนกับนางสนมได้รับการโปรดปรานในสมัยโบราณเช่นนั้น หลินเยว่เอ๋อร์ที่มีโลกทัศน์เพียงเท่านี้ ก็ไม่เหมาะที่จะขึ้นเป็นตำแหน่งคุณนายกู้”
เฉียวฉีกล่าวเรียบๆ“เธอเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม ก็ไม่เกี่ยวกับเรา”
ขณะพูดก็ก้มหน้าดื่มน้ำชาไป
เมื่อเสี่ยวเยว่เห็นเช่นนั้น ก็ไม่แน่ใจว่าเธอไม่สนใจจริงๆหรือว่าแกล้งทำเป็นไม่สนใจกันแน่
ได้เพียงกล่าวเสียงต่ำ“คุณพูดถูก”
เมื่อเฉียวฉีดื่มชาหมดแล้ว ก็ให้เสี่ยวเยว่เก็บข้าวของไป
ตอนแรกคิดจะนั่งต่ออีกสักพักแล้วค่อยกลับห้องไปพักผ่อน ไม่คิดว่า เสี่ยวเยว่เพิ่งจะไป หลินเยว่เอ๋อร์ก็บิดเอวอ้อนแอ้นรอยยิ้มเต็มหน้าเดินเข้ามา
“เอ้า หาตั้งครึ่งวัน ที่แท้คุณอยู่นี่เอง”
ตอนนี้เป็นเวลากลางคืน เธอได้เปลี่ยนชุดเป็นชุดกระโปรงยาวสีฟ้าครามสวยงาม และดูออกว่าทรงผมกับใบหน้าได้ผ่านการจัดแต่งมาแล้ว จะบอกว่าแต่งมาเต็มยศก็ไม่เกินจริง