ทันใดนั้นเฉียวฉี ก็นึกถึงทฤษฎีนางสนมที่เสี่ยวเยว่พูดเมื่อกี้นี้ และประกายความเยาะเย้ยลอยขึ้นจางๆในดวงตาของเธอ
“มีเรื่องอะไรหรือ”
เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
วันนี้ดูเหมือนหลินเยว่เอ๋อร์มีความสุขเป็นพิเศษ บิดเอวเดินมาถึงตรงหน้าเธอ แล้วกล่าวว่า“ก็ไม่มีเรื่องอะไร ก็คือซือเฉียนเพิ่งให้คนส่งของดีมามากมาย และฉันก็เห็นว่าเธออยู่ทางนี้พอดี ของดีเช่นนี้ฉันไม่สามารถจะรับไว้เพียงคนเดียวได้ ดังนั้นจึงให้คนส่งมาให้คุณสองอย่าง คุณดูนี่ ”
ขณะที่เธอพูด โบกไม้โบกมือ ให้เสี่ยวถาวถือถาดหนึ่งถาดเดินเข้ามา
หลินเยว่เอ๋อร์เอาสิ่งของในถาดขึ้นมา วางลงบนโต๊ะตรงหน้าเธอ
“โสมเก่าแก่ชั้นดีของภูเขาฉางไป๋ หากตุ๋นน้ำซุบดื่มไม่เพียงจะทำให้ผิวสวย ยังสามารถช่วยยืดอายุได้ คุ้มเลยนะ”
สายตาของเฉียวฉีจ้องไปที่โสมต้นที่ถูกวางทิ้งอยู่บนโต๊ะ
ขณะเดียวกัน เสี่ยวเยว่ที่เพิ่งจะเก็บถาดอาหารลงไป แล้วกลับขึ้นมาพอดี เมื่อเห็นภาพนี้ สีหน้าเปลี่ยนไปทันที
เธอก้มหน้า รีบเดินเข้ามา แล้วยืนข้างๆเฉียวฉี
“คุณเฉียว………..”
ขณะที่เธอกำลังคิดว่า เฉียวฉีจะตอบโต้กลับไปด้วยความโกรธ
เห็นเพียงเธอยิ้มจางๆ
แล้วเฉียวฉียกมือขึ้นไปหยิบโสมต้นนั้นมาดู แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เป็นของชั้นดีจริงๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ต้องขอบคุณมาก”
ขณะพูด ก็ยกมือขึ้นเอาโสมส่งให้เสี่ยวเยว่
“เสี่ยวเยว่ เอาไปเก็บไว้”
เสี่ยวเยว่ตะลึงไป เบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ
“คุณเฉียว นี่……..”
เฉียวฉียิ้มเล็กน้อย“เป็นน้ำใจของคุณหลิน จะปฏิเสธความหวังดีของคนอื่นได้อย่างไรกัน”
ท่าทางสงบจิตสงบใจเช่นนี้ของเธอ เหมือนกับสายน้ำใสสะอาด จนทำให้ความโกรธในใจของเสี่ยวเยว่ดับหายไปทันที
เธอก้มหน้าเล็กน้อย รับสิ่งของมา แล้วกล่าวเสียงเบาว่า“ค่ะ”
หลินเยว่เอ๋อร์ที่อยู่ตรงข้ามเมื่อเห็นเช่นนี้ ก็ไม่รู้ว่าทำไม จู่ๆก็รู้สึกเหมือนหมัดทุบไปที่สำลีเช่นนั้น ทำให้เธอหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย
เธอกล่าวเสียงเย็นชา“เฉียวฉี คุณยังไม่รู้ใช่ไหม ฉันกับซือเฉียนจะแต่งงานกันแล้ว ”
ปลายนิ้วเฉียวฉีชะงักไป
มองดูเธอด้วยแววตาสงบนิ่ง “ฉันรู้ คุณเคยบอกแล้ว”
หลินเยว่เอ๋อร์“………..”
เธอกัดฟัน ก้มตัวลงกระซิบเสียงต่ำว่า“คุณไม่หึงหรือ”
เฉียวฉียิ้มจางๆ
ปลายนิ้วค่อยๆกำเข้าในฝ่ามือ เหมือนกับจะทิ่มไปในเนื้อ แต่บนใบหน้ากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเช่นนั้น
“พวกคุณแต่งงาน ฉันจะหึงทำไม ฉันไม่ได้รักเขา”
อะไร
หลินเยว่เอ๋อร์ตะลึงงัน และขณะเดียวกัน หางตาก็มองไปเห็นที่ไม่ไกลออกไปมีเงาคนที่คุ้นเคยเข้าใกล้มา
ทันใดนั้น เธอก็หัวเราะออกมา แล้วลุกขึ้น เสียงหัวเราะเบาๆและมีเสน่ห์กล่าวว่า“ก็ถูก ถึงแม้ฉันจะเคยได้ยินมาว่า คุณกับซือเฉียนเป็นคู่รักหมั้นหมายกันมาตั้งแต่เด็ก และเมื่อก่อนยังเติบโตมาด้วยกันช่วงหนึ่ง แต่ว่าเรื่องของความรู้สึก ก็เป็นเช่นนี้ เวลารัก ก็รักจะเป็นจะตาย เมื่อไม่รักแล้วก็เหมือนคนแปลกหน้าที่เดินอยู่บนถนนเดียวกัน ดังนั้นความคิดของคุณตอนนี้ ฉันก็เข้าใจ ”
ขณะที่พูด ก็ชายหางตามองไปทางปากบันไดอยู่ตลอดเวลา
เห็นเพียงคนคนนั้นยืนอยู่ตรงนั้น ไม่ขยับอีกเลย
เนื่องจากเฉียวฉีหันหลังให้กับประตูทางเข้า ดังนั้นจึงไม่ได้เห็นฉากนี้
เธอรู้สึกเพียงเหมือนในใจถูกสิ่งของอะไรทิ่มเล็กน้อย ไม่ถือว่าเจ็บ แต่ทำให้คนรู้สึกไม่สบายอย่างบอกไม่ถูก
ตามหลักแล้ว ตอนนี้เธอไม่ควรจะไปสนใจชีวิตส่วนตัวของกู้ซือเฉียน
ไม่ว่าอย่างไร ความสัมพันธ์ของทั้งสอง ได้จบลงไปตั้งแต่เมื่อสี่ปีก่อนแล้ว
จบลงในวันที่เขาส่งตัวเองเข้าไปในคุกด้วยมือของเขาเอง
แต่ว่าจิตใจคนเรา ไม่ฟังคำสั่งการเลย คุณยิ่งไม่อยากไปสนใจอะไร ในใจก็ยิ่งไปสนใจสิ่งนั้น แม้แต่ในวันนี้ รู้ทั้งรู้ว่าหลินเยว่เอ๋อร์อาจไม่ได้พูดความจริง แต่จงใจทำให้เธอโกรธ ในใจก็ยังอดไม่ได้ที่จะหงุดหงิดขึ้นมา
เฉียวฉีสูดหายใจลึกๆ พยายามระงับอารมณ์ในใจ แล้วกล่าวเสียงเคร่งขรึมว่า“คุณเข้าใจก็ดีแล้ว อย่างนี้ต่อไปไม่ต้องมาหาเรื่องฉันอีก ต้องรู้ว่า แมลงวันบนโลกนี้ถึงแม้จะไม่กัดคน แต่บินไปมาอยู่ข้างหูก็ทำให้คนรำคาญมาก ”
ประโยคนี้พูดมาแบบไม่เกรงใจ ทันใดนั้นสีหน้าหลินเยว่เอ๋อร์เปลี่ยนไปทันที
แต่อาจจะเป็นเพราะคำนึงถึงอะไรบางอย่าง เธอไม่แสดงออกว่าโกรธออกมา แต่ยิ้มเล็กน้อย
“สิ่งที่คุณพูด ไม่เหมือนกับว่าไม่สนใจ”
เฉียวฉีกล่าวเสียงเย็นชา“คุณหมายความว่า ฉันจะต้องอวยพรให้พวกคุณรักกันชั่วนิรันดร์ถึงจะถือว่าไม่สนใจหรือ”
“มันต้องอย่างนั้นอยู่แล้ว”
หลินเยว่เอ๋อร์ยิ้มจางๆแล้วเดินเข้าไปใกล้เธอทีละก้าว ยืนอยู่ข้างเธอแล้วกระซิบเสียงเบาว่า“ไม่ว่าอย่างไร ต่อไปหากฉันกับซือเฉียนแต่งงานกันแล้ว ฉันก็จะเป็นคุณผู้หญิงของปราสาทนี้ ส่วนคุณเป็นเพียงแขกคนหนึ่ง ถ้าหากทำให้ฉันรู้สึกว่าในใจคุณยังปรารถนาเฉียน ฉันก็จะไม่มีทางวางใจได้”
เมื่อเฉียวฉีได้ยินเช่นนั้น ก็หัวเราะออกมาเหมือนได้ฟังเรื่องตลกขบขัน
“ปรารถนาหรือ ฉันปรารถนาเขาหรือ”
เธอยิ้มเย็นชา กล่าวเสียงหนักแน่นว่า“หลินเยว่เอ๋อร์ บนโลกใบนี้ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเหมือนคุณ เก็บเศษเหล็กอะไรได้ก็ถือเป็นสิ่งของล้ำค่าไปหมด”
หยุดไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า“หากฉันปรารถนาเขาจริง ช่วงหลายปีมานี้ปรารถนาไปนานแล้ว คุณคิดว่าตอนนี้ยังจะมีเรื่องของคุณอยู่อีกหรือ”
หลินเยว่เอ๋อร์ชะงักไป
ไม่คิดว่ามาถึงขั้นนี้แล้ว เธอยังปากดีอีก
ดวงตาเธอเป็นประกายแวบหนึ่ง ทันใดนั้นก็ยกมือขึ้นจับไปที่รถเข็นของเธอ
“ทางด้านโน้นวิวทิวทัศน์สวยกว่า ฉันจะเข็นคุณไปรับลมทางโน้น”
ขณะพูด ก็เข็นรถเข็นของเธอ เดินไปทางขอบระเบียง
เฉียวฉีขมวดคิ้ว
ปฏิเสธไปตามเรื่อง“ไม่ต้องหรอก ฉันอยู่ตรงนี้ก็ดีมากแล้ว”
“อย่าเลย ฉันจะบอกคุณให้นะ ครั้งก่อนฉันก็ยืนดูวิวกลางคืนอยู่ทางโน้น วิวสวยมาก คุณอยู่ทางนี้มองไม่เห็นผิวทะเลสาบเลย”
ขณะที่หลินเยว่เอ๋อร์พูด ก็เข็นเธอเดินไปโดยไม่ตั้งใจ
เพราะว่าเสียงคุยกันของทั้งสองนั้นเบามาก คนรับใช้ที่ยืนอยู่ข้างๆไม่ได้ยินว่าพวกเธอคุยอะไรกันเลย และนับประสาอะไรกับกู้ซือเฉียนที่ยืนอยู่ไกลๆ
เมื่อเสี่ยวเยว่เห็นเธอเข็นเฉียวฉีเดินไป ก็อ้าปากโดยปริยาย อยากจะขวางไว้
แต่วินาทีต่อมา ก็ถูกเสี่ยวถาวขวางไว้
หันหน้ามาก็เห็นสีหน้าเยาะเย้ยของเสี่ยวถาว
“คุณเฉียวของแกยังไม่พูดอะไรเลย ทำไมแกถึงเรียกอย่างตื่นตระหนก พวกเธอสองคนแค่พูดคุยกัน หรือแกคิดว่าจะกินคุณเฉียวของพวกแกได้หรือ”
เสี่ยวเยว่ชะงักไป คิดไปคิดมาก็ใช่
ไม่พูดอย่างอื่น แค่เรื่องตบตีกัน หลินเยว่เอ๋อร์สิบคนก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเฉียวฉี
ดังนั้น จึงวางใจลง แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก
ส่วนอีกด้านหนึ่ง ที่จริงในใจเฉียวฉีก็ต้องการจะดูว่าหลินเยว่เอ๋อร์คิดจะทำอะไรกันแน่ ดังนั้นในปากบอกว่าไม่ยินยอม แต่ไม่ได้ปฏิเสธจริงๆที่จะให้เธอเข็นตัวเองเดินไปข้างหน้า
ไม่นานทั้งสองก็มาถึงตรงขอบระเบียง
ราวระเบียงทางนี้ค่อนข้างต่ำ ถ้าคนยืนอยู่ ก็ถึงแค่เหนือขาเท่านั้น
เฉียวฉีมองดูแสงจันทร์ในทะเลสาบ แล้วถามว่า“คุณต้องการจะพูดอะไรกันแน่”
หลินเยว่เอ๋อร์ยิ้มเล็กน้อย“ดูไปแล้วคุณก็มองออก ว่าฉันเข็นคุณมาทำไม คือมีเรื่องบางอย่างอยากคุยกับคุณเพียงลำพัง”