เขาพูดจบและไม่สนใจเธอแล้วหันหลังเดินออกไปข้างนอก
หลินเยว่เอ๋อร์อึ้งอยู่ที่นั่นอย่างสมบูรณ์ และหลังจากนั้นไม่นาน เธอก็ได้สติและใบหน้าของเธอเปลี่ยนไปอย่างมาก
เฉียวฉีนอนไม่ค่อยหลับ
และไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นหรือเป็นเพราะจิตใจของเธอนั้นกำลังสับสนวุ่นวาย เธอนอนหลับตาอยู่บนเตียงและพยายามอยู่นานแต่ก็นอนไม่หลับ
เมื่อลืมตาขึ้น เบื้องหน้าเธอมืดสนิท เธอหันศีรษะเล็กน้อย หยิบรีโมทคอนโทรลจากข้างเตียง เปิดม่าน และเห็นแสงจันทร์สีเงินส่องลงมา
ทันใดนั้นก็คิดถึงเรื่องสมัยที่ยังอยู่ที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าเมื่อนานมาแล้ว
มันคือค่ำคืนเหมือนเช่นคืนนี้ กลางฤดูร้อน พระจันทร์กระจ่างและดาวเต็มฟ้า
เธอนอนไม่หลับและแอบเข้าไปขโมยเมล็ดแตงโมกำหนึ่งจากในห้องครัว จากนั้นก็ปีนขึ้นไปบนหลังคาสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าเพื่อนั่งดูดาว
เธอนั่งแทะเมล็ดแตงโมและดูดาวไปพลาง สายลมยามค่ำคืนพัดผ่านหน้าราวกับว่าแม้แต่สายลมก็ยังแสนหวาน
ตอนนั้นเองก็มีเสียงเย็นๆ ของเด็กผู้ชายลอยออกมาจากภายในสถานรับเลี้ยงเด็ก
“เฮ้ เธอทำอะไรน่ะ?”
เธอตกใจและคิดว่าเป็นท่านผู้อำนวยการเธอแค่อยากจะลุกขึ้นวิ่งหนี ส่งผลให้เธอเหยียบกระเบื้องที่แตกซึ่งมีตะไคร่น้ำอยู่ใต้ฝ่าเท้า แล้วเธอก็ล้มลงทันที
เด็กชายก็คงตกใจเช่นกัน เขาเห็นเธอตกลงมาจึงได้แต่ยืนอึ้งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับไปไหน
ปรากฏว่าหล่อนล้มตรงที่เขายืนอยู่ “กุก ๆ” ทั้งสองคนล้มลงพร้อมกัน
เด็กผู้ชายถูกเธอทับเจ็บไปทั้งตัวจนกระดูกแทบแหลกไปทั้งตัวและไม่ง่ายเลยกว่าทั้งคู่จะลุกขึ้นมาจากพื้นได้
เมื่อเธอเห็นว่าเป็นเขาก็โมโหทันทีและชกไปที่ไหล่ของเขา
“นายจะแหกปากทำไม? ตกใจหมด ฉันคิดว่าท่านผู้อำนวยการมาเสียอีก”
กู้ซือเฉียนตัวน้อยกุมไหล่บริเวณที่ถูกต่อยและมีสีหน้าโกรธ
“ดึกๆ ดื่นๆ เธอไม่นอนหนีไปบนหลังคาแล้วยังจะมาโทษคนอื่นว่าไม่ควรจะเรียกเธองั้นเหรอ?”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้เฉียวฉีก็รู้สึกผิดเล็กน้อย
ได้แต่พูดเสียงอ่อยๆ “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับนายด้วย?”
กู้ซือเฉียนโกรธมากแต่ก็ยังทำอะไรเธอไม่ได้จึงได้แต่ถอนใจอย่างเย็นชา
“ถ้าเธอทำแบบนี้อีกฉันจะไปฟ้องท่านผู้อำนวยการ ให้เขาสั่งสอนเธอ”
เฉียวฉีได้ยินแล้วก็กลัว
กว่าเธอจะให้ที่พักพิงแบบนี้ได้มันไม่ง่ายเลย มีเสื้อผ้าให้ใส่ มีข้าวให้กิน อีกทั้งยังได้เรียนหนังสือ เธอไม่อยากจะถูกไล่ออก
เธอรีบดึงเขาไว้แล้วพูดเอาใจ “เอาล่ะๆ ถือว่าฉันผิดไม่ได้รึไง? นายอย่าไปฟ้องท่านผู้อำนวยการนะ”
กู้ซือเฉียนจึงได้ส่งเสียงฮึดฮัดอย่างเย็นชา ครั้งนี้ช่างมันเถอะ
ทั้งสองยืนอยู่ในสวนเล็กๆ เขาเงยหน้าขึ้นมองบนหลังคา จู่ ๆ ก็เกิดความสงสัยขึ้นเล็กน้อย
“ข้างบนนั่น มันสบายขนาดนั้นจริงเหรอ?”
เฉียวฉีพูด: “แน่นอนสิ ในบ้านน่ะอุดอู้จะตาย แถมร้อนก็ร้อน ไม่เหมือนกับบนหลังคา ทั้งเย็นสบายแถมยังได้ดูดาว นายอยากจะลองดูไหมล่ะ?”
กู้ซือเฉียนเรียนรู้กฎเกณฑ์ตั้งแต่ยังเด็ก และโตมาอย่างตรงไปตรงมา เขาไม่เคยลองทำอะไรแบบนี้เลย
เขาจึงส่ายหน้าโดยที่แทบจะไม่ต้องคิดเลย
“ฉันไม่เอาหรอก”
ไม่คาดคิดว่าจะทำให้เฉียวฉีคึกคัก
เธอดึงเขาแล้วพูด “เฮ้ อย่าเพิ่งรีบปฏิเสธสิ นายลองดู ไม่แน่นะลองแล้วอาจจะชอบก็ได้นะ? ฉันพานายขึ้นไปเอง”
เขาไม่ค่อยเต็มใจแต่กลับไม่สามารถจะปฏิเสธเธอได้ สุดท้ายจึงได้ปีนบันไดตามเธอขึ้นไปอย่างอิดออด
โลกบนหลังคานั้นแตกต่างจากพื้นดินจริงๆ
ท้องฟ้าดูเหมือนจะอยู่เหนือหัว และสามารถสัมผัสได้เพียงยื่นมือออกไป
ถึงแม้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าจะไม่ใช่ตึกที่สูงที่สุด แต่สำหรับเมืองที่แร้นแค้นแล้ว มันก็ถือว่าเป็นอาคารที่ค่อนข้างสูงทีเดียว
ดังนั้นเมื่อนั่งอยู่บนหลังคาจึงทำให้มองเห็นทัศนียภาพโดยรอบ ท้องฟ้ากว้างใหญ่และทะเลกว้าง และให้ความรู้สึกปลอดโปร่งและสดชื่น
เขาจึงอารมณ์ดีขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ในที่สุดก็เข้าใจว่าทำไมเธอถึงได้ชอบปีนขึ้นมาบนหลังคา
ในตอนนั้นเองเฉียวฉีควานหยิบเมล็ดแตงโมออกมาจากกระเป๋าแล้วส่งให้เขา
เขาตกตะลึงแต่ยังไม่ทันที่จะมีปฏิกิริยาก็ได้ยินเสียงคมชัด เด็กหญิงหยิบเมล็ดแตงโมเม็ดหนึ่งเข้าปากแล้วแทะมันอย่างออกรสออกชาติ
เธอหันมาและเห็นเด็กชายยังงงอยู่จึงเลิกคิ้ว
“งงอะไร? แทะสิ จะมานั่งตากลมอย่างเดียวไม่ได้นะ ไม่สนุกหรอก”
เขาเห็นดังนั้นจึงได้เลียนแบบเธอ หยิบเมล็ดแตงโมโดยนเข้าปากแล้วแทะมัน
เด็กชายลูกคุณหนู เขาไม่เคยลองทำอะไรแบบนี้มาก่อน
นั่งอยู่บนหลังคากลางดึก แทะเมล็ดแตงโม ดูดาว
ถึงในใจจะปฏิเสธ แต่ไม่รู้ทำไม เมื่อเห็นดวงตาที่สุกสกาวของเธอแล้ว ร่างกายก็ไปตามการตัดสินใจของเธอโดยไม่รู้ตัว
ต่อมากู้ซือเฉียนน้อยก็แอบหงุดหงิด
ยายเด็กนี่มีเวทมนตร์อะไร? ทำไมตนเองจึงได้เปลี่ยนไปทำตัวผิดเพี้ยนเหมือนกับเธอได้?
เรียกว่ามีอย่างที่ไหนกัน!
อย่างไรเสีย ถึงในใจจะคิดอย่างแต่การกระทำกลับไปอีกทาง
ช่วงเวลาหลังจากนั้น ภายใต้การนำของเฉียวฉี เขาได้ทำสิ่งที่พิเศษหลายอย่างกับเธอ
แทบจะทุกครั้งที่ปากบอกว่าไม่ แต่ขากลับเดินตามไปอย่างว่าง่าย
ทั้งสองคนค่อยๆ เติบโตขึ้น
และไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่จากเธอเป็นผู้นำในการทำเรื่องเกเรและมีเขาคอยตาม กลายเป็นเขาเองที่เป็นคนนำแล้วมีเธอคอยตาม
คงจะ…เริ่มตั้งแต่กู้ซือเฉียนออกจากสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าและได้กลายเป็นคุณชายสามแห่งตระกูลกู้?
เฉียวฉีเองก็ไม่รู้ เธอรู้แต่เพียงว่าเมื่อได้พบกันอีกครั้งแล้วแอบรู้สึกว่าผู้ชายที่อยู่ตรงหน้านั้นไม่ใช่เด็กชายแสนบริสุทธิ์ที่หยอกล้อกับเธอทั้งวันอีกแล้ว
ความคิดของเฉียวฉีลอยไปไกลเมื่อลมกลางคืนพัดผ่านใบหน้าของเธอ
ราวกับย้อนกลับไปในช่วงเวลาเหล่านั้นและกลับไปยังช่วงบ่ายที่มีแสงแดดอบอุ่น
เด็กชายนั่งอยู่ใต้โครงองุ่นในสวน เธอเดินเข้าไปและพบกับเขาโดยบังเอิญ และประหลาดใจกับช่วงวัยเยาว์ทั้งหมด
……
นี่ก็ดึกแล้ว
เฉียวฉีก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองจะหลับไปตอนไหน
กลางดึกเธอสะลึมสะลือและฝัน
ในฝันมีเงาสะท้อนของดาบ เลือดและศพจำนวนมาก และเสียงตะโกนและเสียงของการเข่นฆ่านับไม่ถ้วนปะปนกัน ก่อให้เกิดโลกที่วุ่นวายและน่าสังเวช
ผมของเธอสยายและเดินไปอย่างไร้จุดหมาย เธอเห็นคนที่เดินอยู่ข้างๆ ล้มลงทีละคนๆ และอยากจะยื่นมือเข้าไปดึงพวกเขาไว้ แต่เมื่อยื่นมือออกไปกลับทะลุผ่านตัวพวกเขาและไม่สามารถจะดึงพวกเขาไว้
ในตอนนั้นเอง กระสุนนัดหนึ่งพุ่งตรงมาที่เพื่อนร่วมทางของเธอ
เธอเบิกตาโพลงและคิดจะร้องตะโกนบอกให้เขาระวังแต่พอเปิดปากกลับไม่สามารถจะเปล่งเสียงได้
สุดท้ายจึงทำได้เพียงมองเขาถูกยิงแสกหน้าเข้ากลางระหว่างคิ้ว ด้วยดวงตาที่ไม่เต็มใจและเจ็บปวด
“กรี๊ด—!”
เฉียวฉีตกใจตื่นขึ้นในทันใด
เมื่อลืมตาขึ้นมันก็มืดสนิทและนาฬิกาแขวนข้างๆ เดินดังติ๊กตอก ๆ แต่มันแค่ตีสี่
เธอหลัยตาพักหนึ่งแล้วจึงลืมตา จากนั้นก็ลุกขึ้นนั่ง
ตัวเธอมีเหงื่อโทรมกายเพราะฝันร้ายจนชุดนอนเปียกชื้นและเกาะติดกับตัวจนรู้สึกอึดอัด
เฉียวฉีนั่งอยู่ครู่หนึ่งและหลังจากรอให้ความฝันนั้นหายไปจากห้วงความคิดแล้จึงเลิกผ้าห่มแล้วลงจากเตียงและเดินไปที่ห้องน้ำ