หลินเยว่เอ๋อร์ได้ยินแล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
ความหดหู่ในอกของเธอค่อย ๆ โล่งใจ
เธอยกซุปเห็ดหูหนูขาวเม็ดบัวขึ้นมาแล้วยิ้มและพูด “แล้วเฉียวฉีรู้รึยัง?”
เสี่ยวถาวพูดอย่างยินดีปรีดา: “เสี่ยวเยว่โกรธจนหน้ามืดเลยค่ะ คงจะต้องกลับไปฟ้องเธอแน่ เธอจะต้องรู้แน่ ๆ ค่ะ”
หลินเยว่เอ๋อร์ได้ยินแล้วก็ยิ่งดีใจ
แต่พอหันไปนึกถึงอารมณ์เย็นชาของเฉียวฉี ดวงตาของเธอมืดลง
ก็ไม่รู้ว่าคนคนนั้นจะสนใจเรื่องเล็กๆ แบบนี้หรือเปล่า
บางทีเธออาจจะไม่ได้สนใจหรอก ที่สุดแล้วถ้าหากไม่ใช่อยากจะมั่นใจว่าเธอชอบกู้ซือเฉียนหรือไม่ เธอก็แทบจะไม่สามารถบอกได้ว่าเธอยังมีอารมณ์เหมือนปุถุชนคนทั่วไปหรือเปล่า
เมื่อคิดแบบนี้ก็ฮึดฮัดออกมา
ต่อให้เธอชอบกู้ซือเฉียนแล้วไง?
ทั้งคู่ยังไม่ได้คบกันไม่ใช่รึไง?
ขอเพียงพวกเขายังไม่ได้คบกันจริงๆ ตนเองก็ยังมีโอกาส พูดไปแล้วถ้าหากกู้ซือเฉียนกับเฉียวฉีเป็นอย่างที่เขาพูดจริง จิตใจแน่วแน่ งั้นทำไมถึงไม่เปิดใจแล้วกลับมาคืนนี้กันไปเลย?
แต่จะต้องมาตีวัวกระทบคราดใช้ตนเองไปสืบหาหลักฐานให้เขาว่าในใจของเฉียวฉียังมีเขาอยู่รึเปล่า
เมื่อคิดถึงตรงนี้ดวงตาที่หรี่ลงของเธอกลับเปล่งประกายอีกครั้ง
เธอทำเสียงฮึดฮัดแล้วใช้ช้อนตัวซุปเข้าปากคำหนึ่ง
ไม่ต้องพูดถึง มันคู่ควรกับซุปที่แย่งมาจากเฉียวฉี
เพียงแค่กินไปคำหนึ่งซุปถ้วยนี้อร่อยกว่าถ้วยก่อนๆ ที่เคยกิน
ในความหวานนั้นยังมีความแปลกพร้อมทั้งกลิ่นหอมหวาน
หลินเยว่เอ๋อร์รับประทานเสร็จอย่างรวดเร็ว หลังจากรับประทานเสร็จแล้วเธอก็เลียมุมปากของเธออย่างตั้งใจและพูดว่า: “ตอนนี้พวกนั้นคงจะโมโหจนเป็นบ้าแน่ ๆ สินะ? ไป เราไปดูอะไรสนุกๆ กัน ต่อให้ทำอะไรเธอไม่ได้ ก็ไปเรื่องให้เธออารมณ์เสียก็ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่”
พูดจบก็วางถ้วยลงแล้วลุกขึ้น
เสี่ยวถาวเห็นดังนั้นก็ปลื้มปริ่ม
รีบหยิบของใช้จำเป็นออกมา ท้ายที่สุดเพื่อไม่ให้หลินเยว่เอ๋อร์ตัวเองเสียเปรียบต่อหน้าเฉียวฉี แม้ว่าทุกครั้งที่ออกจากห้องเดินไปในปราสาทก็ยังต้องแต่สวยเลิศ ราวกับกำลังจะไปงานเลี้ยงแบบนั้น
ครั้งนี้ก็เป็นอย่างนั้นเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม เธอไม่ได้คาดหวังว่าทันทีที่เธอหยิบกระเป๋าถือให้หลินเยว่เอ๋อร์เธอก็เห็นใบหน้าของเธอเปลี่ยนไปและก้มลง
เธอตกใจและรีบเข้าไปพยุงเธอไว้
“คุณหลิน เป็นอะไรไปคะ?”
เพียงแค่เห็นสีหน้าของหลินเยว่เอ๋อร์ที่จู่ ๆ ก็เปลี่ยนไปเป็นซีดขาวและดูไม่ดีมาก ๆ อีกทั้งยังมีเหงื่อออกชุ่มที่หน้าผาก
อีกทั้งยังพูดจาติดๆ ขัดๆ เธอยื่นมือข้างหนึ่งออกมาด้วยความเจ็บปวดและสั่นเล็กน้อยและคว้าแขนเธอไว้
แรงบีบมหาศาลเหมือนจะฝังฝ่ามือเข้าไปในแขนของเธอ
“ฉันปวดท้อง!”
เธอพูดด้วยความลำบาก
ใบหน้าของเสี่ยวถาวเปลี่ยนไปในทันที เธอรู้สึกตื่นตระหนก
“ทำไมจู่ ๆ ถึงปวดท้องได้คะ? คุณไม่ต้องรีบนะคะ ไปนั่งก่อน”
หลังเธอรีบพยุงหลินเยว่เอ๋อร์ให้นั่งลงกลับเห็นว่าใบหน้าที่ซีดขาวของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดงในทันใด ริมฝีปากก็เริ่มเขียวคล้ำ
ภายในไม่กี่วินาทีหลินเยว่เอ๋อร์ก็รู้สึกเหมือนมีมีดในท้องของเธอพลิกไปมาอย่างปั่นป่วนราวกับว่ามีมือยักษ์จับลำไส้ของเธอและดึงมันอย่างดุเดือด
เธอเจ็บจนแทบจะเป็นลม เห็นสีหน้าหลินเยว่เอ๋อร์ผิดปกติจึงรับรู้ได้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องร้ายแรง
จึงรีบพูดขึ้น: “คุณหลิน คุณอดทนไว้ก่อนนะคะ ฉันจะไปเรียกหมอ คุณจะต้องอดทนนะคะ ฉันจะไปเรียกหมอให้มาเดี๋ยวนี้!”
พูดจบก็รีบวิ่งออกไป
ไม่นานหมอก็เข้ามา
ไม่เพียงแค่หมอ ลุงโอเองก็ตกใจและวิ่งเข้ามาด้วย
ตอนนี้หลินเยว่เอ๋อร์ปวดท้องจนสลบไปแล้ว
หมอเห็นสีหน้าเธอแล้วมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นทันทีและทำการตรวจและวินิจฉัยในทันที
เฉียวฉีก็ได้ยินเรื่องนี้จึงรีบมาดูก็เห็นเพียงภายในห้องของหลินเยว่เอ๋อร์มีคนอยู่เต็มไปหมด
เธอขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้
ในเวลานี้หมอได้ให้คนอุ้มหลินเยว่เอ๋อร์มาไว้ที่เตียงและการรักษาก็กำลังดำเนินไป
ส่วนลุงโอนั้นหันมาเจอเธอจึงได้รีบเดินไป
“คุณเฉียว”
เฉียวฉีขมวดคิ้วและถาม: “เกิดเรื่องอะไรขึ้นคะ?”
ลุงโอมีสีหน้าไม่สู้ดีและพูดเสียงขรึม: “ผมก็ไม่รู้ครับ เมื่อครู่ได้ยินว่าเกิดเรื่องขึ้นที่นี่ก็เลยรีบมาดู ได้ยินว่า…”
เขานิ่งไปแล้วขมวดคิ้วแน่น “ถูกวางยาพิษ”
“ถูกวางยาพิษ?”
เฉียวฉีพูดออกมาด้วยความประหลาดใจ
ลุงโอพยักหน้า
“ถูกวางยา แต่จะเป็นด้วยเหตุผลอะไรถึงโดนวางยาพิษยังตรวจสอบอยู่ หมอกำลังตรวจดู แต่เชื่อว่าผลคงจะออกมาโดยเร็วครับ”
เฉียวฉีพยักหน้า
เธอรู้สึกเคลือบแคลงใจเล็กน้อย ตามหลักแล้ว ปราสาทของกู้ซือเฉียนน่าจะได้รับการตรวจตราอย่างเคร่งครัด ทำไมถึงเกิดเหตุวางยาแบบนี้ได้?
ยิ่งกว่านั้นยังเป็นหลินเยว่เอ๋อร์
ถึงแม้หลินเยว่เอ๋อร์จะไม่ได้รู้ความมากมาย แต่คร่าว ๆ แล้วเธอก็รู้ เรียกได้ว่าเป็นดอกไม้สวยไร้สมองที่ปักอยู่ในแจกัน เธออยู่ที่นี่ก็ไม่ได้คุกคามหรือเป็นอันตรายต่อผลประโยชน์ของใคร
เป็นใครกันที่จู่ ๆ ก็คิดจะทำร้ายเธอ?
เฉียวฉีรู้สึกงงงวย ไม่เพียงแต่เธอเท่านั้น แต่คนอื่นๆ ก็ไม่เข้าใจเช่นกัน
แต่เรื่องก็เกิดขึ้นแล้ว ตอนนี้คิดถึงเรื่องพวกนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร
เฉียวฉีมองดูหลินเยว่เอ๋อร์ที่นอนหลับตาทั้งสองข้างและใบหน้าซีดขาวอยู่บนเตียงแล้วถาม: “ช่วยได้ไหมคะ?”
ลุงโอพยักหน้า
“หมอบอกว่าได้ ถึงแม้ว่าพิษจะแรงแต่เพราะพบเร็ว ดังนั้นน่าจะไม่มีปัญหาครับ”
เฉียวฉีจึงได้วางใจ
ถึงแม้หลินเยว่เอ๋อร์จะหาเรื่องเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า และเธอก็ไม่ชอบผู้หญิงเจ้าเล่ห์คนนี้
แต่ก็ไม่ได้อยากจะเห็นใครตายไปต่อหน้าต่อตา
เธอเงียบอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดขึ้น: “แจ้งกู้ซือเฉียนเถอะค่ะ เรื่องนี้เขาควรจะรู้โดยเร็ว”
และไม่รู้ว่าเธอจะคิดไปเองหรือเปล่า แต่เธอก็รู้สึกว่าเรื่องที่หลินเยว่เอ๋อร์ถูกวางยานั้นดันมาเกิดในวันพิเศษเช่นวันนี้ มันคงจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่
ไม่แน่ว่าอาจจะพุ่งเป้าที่กู้ซือเฉียน
ดังนั้นจึงจะต้องแจ้งให้เขาทราบ
ลุงโอพยักหน้า: “ผมก็คิดอย่างนั้นครับ เพียงแต่เมื่อครู่มัวแต่ยุ่งเลยไม่ได้ใส่ใจ ผมจะให้คนไปแจ้ง”
พูดจบก็ออกไปโทรศัพท์
ส่วนทางนี้เฉียวฉีนั่งมองอยู่ครู่หนึ่งจนกระทั่งหมอประกาศว่าไม่มีอันตรายอะไรแล้ว แค่ต้องย้ายคนไปที่ห้องพยาบาลอีกด้านของอาคารหลักเพื่อล้างท้อง ไม่มีอะไรมาก เธอจึงหันหลังเดินจากไป
เมื่อกลับถึงห้องเฉียวฉีก็ขมวดคิ้วแน่น
ความรู้สึกกระวนกระวายในใจยิ่งรุนแรงขึ้น และไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร
ดีที่ไม่นานต่อมาลุงโอก็ใช้ให้คนมาบอกเธอ
บอกว่ากู้ซือเฉียนทราบเรื่องแล้วกำลังรีบกลับมา
เดิมทีเรื่องนี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเฉียวฉี แต่ลุงโอก็ยังให้คนมาบอกเธอเป็นกรณีพิเศษ
เห็นได้ว่าในสายตาของลุงโอนั้นให้ความสำคัญกับเฉียวฉีมาก
เปรียบได้กับนายหญิงของปราสาทแห่งนี้
เฉียวฉีได้ยินแล้วก็ไม่ได้แสดงออกอะไร
ดูแล้วเหมือนจะไม่ได้ใส่ใจอะไรเลย