แล้วได้ยินเธอพูดต่อไป: “ไม่ใช่เพราะฉันใส่ใจอะไรนายหรอกนะ แต่เพราะความสัมพันธ์ของเราในตอนนี้ นายยอมช่วยฉันหาคนพวกนั้นก็ถือว่าเป็นบุญคุณแล้ว ฉันไม่อยากจะเป็นหนี้บุญคุณนายมากกว่านี้ ใช้ยังไงก็ไม่หมด นายเข้าใจไหม?”
สิ่งที่เธอพูดคือความจริงและเป็นสิ่งที่อยู่ในใจของตน
แต่กู้ซือเฉียนกลับหัวเราะออกมาเพราะคำพูดนี้
“ไม่อยากเป็นหนี้ฉัน? เฉียวฉี เธอเป็นหนี้ฉันไปแล้ว แล้วเธอจะเอาอะไรมาพูดว่าไม่อยากจะเป็นหนี้บุญคุณฉัน?”
เฉียวฉีชะงักไป
เธอสูดลมหายใจลึกและพูดอย่างเรียบเฉย: “ได้ ฉันรับปาก กู้ซือเฉียน เรื่องนี้ทั้งสำคัญและอันตราย ฉันไม่เหลือใครที่พอจะเชื่อใจได้อีกแล้ว มีเพียงนาย นายเข้าใจไหม? ไม่ว่าเมื่อก่อนเราเดี๋ยวรักเดี๋ยวเลิก จะผิดหรือถูก แต่ฉันรู้ว่าในช่วงเวลาวิกฤต มีเพียงนายที่ไม่อาจจะนิ่งดูดายทิ้งฉันไปได้ ดังนั้นฉันมอบภาระให้นาย นายรับปากฉันได้ไหมว่าจะพาฉันกลับมาอย่างปลอดภัย จะจับคนพวกนั้นที่คิดจะฆ่าฉันให้ได้? นายจะไม่ทำให้ฉันผิดหวังใช่ไหม?”
ผ่านไปสี่ปี ผู้หญิงคนนั้นมองเขาอีกครั้งด้วยสายตาที่จริงใจและไว้วางใจ และกู้ซือเฉียนมีอาการสั่นที่หายไปนาน
เขามองไปที่เฉียวฉี ด้วยแววตาลึกล้ำและลูกกระเดือกที่กำลังขยับ
ผ่านไปครู่หนึ่งแล้วจึงพูดน้ำเสียงแหบพร่า: “ได้”
เฉียวฉียิ้มเล็กน้อย
“ถ้างั้นก็ให้ฉันไปคนเดียว ทำตามวิธีของฉัน เล่นละครและบอกทุกคนว่าฉันเป็นคนวางยาหลินเยว่เอ๋อร์ รอจนฉันออกไปในตอนหัวค่ำแล้ว นายก็ค่อยแอบพาคนออกไป จำไว้ว่าอย่าตามให้ใกล้เกินไป ฝั่งตรงข้ามมันเจ้าเล่ห์มาก ดูจากเรื่องวางยาครั้งนี้ก็รู้แล้ว พวกมันส่งคนเข้ามาในปราสาทแล้ว”
“หรือจะให้พูดว่าในปราสาทมีคนของพวกมันอยู่แล้ว ฉันรู้ว่าคนรอบตัวนายผ่านการตรวจสอบคัดเลือกที่เข้มงวด และเชื่อถือได้ แต่เมื่อเป็นแบบนี้ เรื่องนี้จะกระโตกกระตากมากไม่ได้ เรื่องที่แน่นอนไม่กลัว กลัวก็แต่อะไรที่ไม่แน่นอน”
เธอพูดอย่างหนักแน่น กู้ซือเฉียนเองก็เข้าใจได้ เรื่องเกี่ยวพันถึงชีวิตของคนสองคน มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ
เขาพยักหน้าอย่างหนักแน่น “ฉันเข้าใจแล้ว”
เฉียวฉียิ้มเล็กน้อยและหันศีรษะออกไป
“ไปสิ”
กู้ซือเฉียนหยุดกึก
เขารู้ว่าเธอให้เขาออกไปและเริ่มทำตามแผน
และรู้ด้วยว่า ตอนนี้ขอเพียงเขาก้าวออกจากประตูนี้ไป อย่างน้อยในเวลาอันสั้นหรือในคืนนี้ทั้งสองจะต้องได้เจอกับศัตรูและเกิดการปะทะกัน
ไม่รู้ทำไมจู่ ๆ ในใจของเขาก็เกิดรู้สึกทั้งหวานและขม
เขาจ้องมองเธอแล้วพูด: “เฉียวฉี หลังจากผ่านเรื่องนี้ไป เมื่อเจอคนพวกนั้นแล้ว เรามานั่งลงอย่างสงบและพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมาได้หรือเปล่า?”
หัวใจของเฉียวฉีสั่นไหวเล็กน้อย
แต่ก็ยังไม่หันกลับไปมองเขาและยังคงทอดสายตาออกไปไกลๆ นอกหน้าต่าง
ผ่านไปครู่หนึ่งเธอจึงพูดอย่างเรียบเฉย: “ได้”
กู้ซือเฉียนก้าวไปข้างหน้าอย่างพอใจ เอนตัวลง และก้มลงจูบที่ศีรษะของเธอ
เธอตัวสั่นเล็กน้อยและได้ยินเสียงแหบพร่าของเขา
“เฉียวฉี ฉันจะรอเธอกลับมา”
เฉียวฉี ฉันจะรอเธอกลับมา
คำพูดที่สุดแสนจะธรรมดานี้แต่ทำไมกลับทำให้ขอบตาเธอรื้นได้?
วันและคืนที่ครั้งหนึ่งเคยหวานและรื่นรมย์ ดูเหมือนจะย้อนกลับมาอยู่เบื้องหน้า ฉากแล้วฉากเล่าราวกับภาพที่ฉายอยู่บนจอภาพยนตร์
เธอกลอกตา พยายามยิ้มและพยักหน้า
“ได้”
กู้ซือเฉียนจึงได้หันกลับไปแล้วก้าวเดินไปที่ประตู
เมื่อถึงประตูก็หยุดลงแล้วโบกมือและแจกันที่วางอยู่บนตู้รองเท้าตรงประตูก็ตกลงมา
“เพล้ง!”
เสียงดังจนทำให้คนที่อยู่รอบ ๆ ต้องตกใจ
คนรับใช้ที่อยู่นอกบ้านได้ยินเสียงโกรธของผู้ชายจากในบ้าน “เฉียวฉี ที่แท้ก็เป็นเธอเอง! เธอวางยาหลินเยว่เอ๋อร์”
เสียงเย็นชาของเฉียวฉีมาจากภายในบ้าน
“ฉันบอกว่าฉันไม่ได้ทำ!”
“เธอยังจะมาแก้ตัวอีกเหรอ! เธอคิดจะทำร้ายเธอครั้งแล้วครั้งเล่า ฉันอดทนกับเธอมาหลายต่อหลายครั้งเพราะคิดว่าเธอจะเปลี่ยนไป แต่คิดไม่ถึงว่าเธอไม่แม้แต่จะคิดจะกลับตัว กลับยิ่งทำแรงขึ้น เธอทำให้ฉันผิดมากหวังมาก!”
น้ำเสียงของเฉียวฉีมีความโกรธและน้อยใจเป็นอย่างมาก
“ฉันทำให้นายผิดหวัง? สุดท้ายแล้วใครกันแน่ทำให้ใครผิดหวัง? หรือว่าในใจนายฉันจะสู้หลินเยว่เอ๋อร์ไม่ได้จริง ๆ? แค่เธอบอกว่าฉันทำก็กลายเป็นว่าฉันทำแล้วงั้นเหรอ? หรือว่าในความเข้าใจของนาย ฉันเป็นแค่วายร้ายที่สามารถวางยาพิษคนเพราะความหึงหวงเล็กน้อยงั้นเหรอ?”
เมื่อคำพูดนี้ถูกพูดออกไปทุกคนโดยรอบก็เงียบ
ภายในบ้าน
กู้ซือเฉียนจ้องมองเฉียวฉีเงียบๆ
อาจจะเพราะพูดแรงเกินไป ดวงตาที่เรียบเฉยของเฉียวฉีปลายหางตาก็แดงเล็กน้อย
เขาไม่รู้ว่าทำไม ทันใดนั้นเขาก็เกิดดุดัน
อย่างไรก็ตาม เขายังคงก้าวเท้าอย่างแรงและเตะเก้าอี้ข้างๆ เขา
เก้าอี้ถูกเตะลอยดัง “โครม” เสียงดัง
เขากัดฟันและพูดเสียงดัง: “หรือว่าไม่ใช่? เพื่อความปรารถนาที่เห็นแก่ตัวของเธอ เธอเกือบจะทำร้ายจนเยว่เอ๋อร์ตาย เรื่องนี้ฉันไม่มีทางปล่อยไปแน่”
เฉียวฉีหัวเราะเยาะ: “งั้นนายจะเอายังไง? ฆ่าฉันเพื่อแก้แค้นให้เธอ?”
“เธอคิดว่าฉันไม่กล้า?”
“นายกล้าก็ทำเลย หากนายไม่ฆ่าฉัน! นายไม่ใช่ลูกผู้ชาย”
“เฉียวฉี!”
เพียงได้ยินเสียงโครมครามในบ้าน กลุ่มคนงานที่อยู่ด้านนอกก็สีหน้าเปลี่ยน ในระหว่างที่พวกเขาตื่นตระหนกเมื่อเห็นลุงโอรีบวิ่งไป
เห็นได้ชัดว่าลุงโอก็ได้ยินเสียงเหล่านี้ เขามีสีหน้าย่ำแย่
เมื่อเห็นพวกเธอยังงงอยู่จึงพูดเสียงดัง: “งงอะไรกันอยู่? ยังไม่เข้าไปอีก!”
ทุกคนจึงได้สติและรีบผลักประตูเข้าไป
เมื่อเห็นความโกลาหลในห้อง เฉียวฉียังคงนั่งรถเข็นอยู่ ขณะที่กู้ซือเฉียนยืนอยู่ข้างหน้าเธอ เอนตัวและบีบคอเธออย่างแรง
ทุกตนต่างตกใจและสีหน้าเปลี่ยนแล้วรีบเข้าไปช่วย
ลุงโอก็เข้าไปแล้วกล่อมด้วยน้ำเสียงขมขื่น “คุณชายใจเย็นๆ นะครับ อย่าวู่วาม! ต่อให้คุณเฉียวจะผิดแค่ไหนแต่ก็เป็นหลานสาวของผู้อำนวยการ ผู้อำนวยการมีบุญคุณกับคุณมากนะครับ ถือว่าเห็นแก่หน้าเขา ขอให้คุณไว้ชีวิตเธอเถอะครับ”
เมื่อได้ยินคำนี้ ดวงตาของกู้ซือเฉียนก็คลายลง
เขากัดกระพุ้งแก้มแน่นและสุดท้ายก็ปล่อยเธอ
เฉียวฉีหายใจไม่ออกก็ผ่อนคลายลงและจับคอแล้วก้มลงไออย่างแรง
กลุ่มคนงานในบ้านตกใจจนอึ้งไป พวกเธอเพิ่งจะเคยเห็นกู้ซือเฉียนโกรธจนถึงขนาดนี้จึงไม่กล้าพูดอะไรออกมา
ส่วนกู้ซือเฉียนได้แต่ยืนอยู่ตรงนั้นและมองเขาจากด้านบน ออร่าที่เย็นยะเยือกแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายของเขาและเกือบทำให้ผู้คนหยุดนิ่ง
เขาพูดอย่างเย็นชา: “เฉียวฉี วันนี้ฉันไว้ชีวิตเธอไม่ใช่เพราะใจอ่อนฆ่าเธอไม่ลง แต่เพราะเห็นแก่ท่านผู้อำนวยการ ตั้งแต่วันนี้ไป หากให้ฉันรู้อีกว่าเธอคิดจะทำร้ายเยว่เอ๋อร์แม้แต่เพียงน้อยนิด ฉันจะให้เธอตายโดยไม่มีดินกลบหน้า!”
เฉียวฉีเงยหน้ามองเขาด้วยตาที่แดงก่ำ
เพราะเธอถูกบีบคอแรงมากจึงทำให้น้ำเสียงแหบพร่าเมื่อพูดออกมา