เธอกระตุกยิ้มเยาะเย้ยที่มุมปาก ทั้งๆที่กำลังยิ้ม น้ำตาไหลรินลงมาอย่างไม่ตั้งใจ
“กู้ซือเฉียน ตั้งแต่ต้นจนจบคุณก็ไม่เคยเชื่อใจฉันเลย ทั้งๆที่ไม่ใช่ฉันทำ แต่คุณกลับยัดข้อหาฆาตกรรมให้ฉัน แล้ววันนี้จะมาแกล้งทำดีคุยเมตตากรุณาอะไร?”
“ฉันรู้ ตราบใดที่ฉันยังอยู่ที่นี่ ก็จะเป็นกั้นขวางคอคุณกับหลินเยว่เอ๋อร์ ได้ฉันไปก็ได้ แต่ว่ากู้ซือเฉียน คุณอย่าลืม ว่าคุณติดค้างฉันเฉียวฉีอยู่ ชาตินี้คุณติดค้างฉันเฉียวฉี! ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป แม้ว่าฉันจะตกต่ำอีกครั้ง ไม่มีที่ไป ก็จะไม่มาหาคุณอีก ชาตินี้เราจะไม่เจอกันอีก!”
เธอพูดจบ ก็มองเห็นดวงตากู้ซือเฉียนสั่นแรงๆหนึ่งที
หลังจากนั้น ก็หัวเราะขึ้นมา
“ชาตินี้จะไม่เจอกันอีกหรือ?ดีมาก เฉียวฉี จำคำพูดของคุณไว้ ในเมื่อคุณต้องการจะไป ก็ให้ไปได้ดีแล้วกัน ออกไปให้พ้นจากสายตาของผม !ไม่ต้องกลับมาอีกจะดีที่สุด ไป!”
พูดจบ เหวี่ยงมือไปผลักชั้นวางดอกไม้ที่อยู่ใกล้ๆล้มลง จากนั้นเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง
ความขุ่นเคืองที่เขาทิ้งไว้ยังคงหลงเหลืออยู่ในห้อง จนกระทั่งเงาหลังของเขาจากไปแล้ว
ทุกคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี
กับเฉียวฉีนั้น อารมณ์ซับซ้อนมาก และก็เห็นอกเห็นใจอย่างมากด้วย
ในใจลุงโอนั้นเสียใจมากเช่นกัน ตอนแรกคิดว่า หลังจากคู่รักคู่นี้ผ่านอุปสรรคมามากมายแล้ว ในที่สุดจะคืนดีกันได้
แต่ว่าใครจะไปคาดคิดว่า ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นยังดีกันอยู่ จู่ๆก็กลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?
แต่ว่าในเวลานี้ เขาก็ไม่มีกะจิตกะใจจะมาคิดอะไรมากมาย
อารมณ์ร้อนของกู้ซือเฉียนนั้น วันนี้ได้พูดถึงขั้นนี้แล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะทำเรื่องอะไรที่เกินเลยได้ เขาจะต้องรีบไปคอยติดตามดูเขาก่อน
ดังนั้น จึงรีบพูดกับเฉียวฉีว่า “คุณเฉียว คุณชายเขาพูดเพราะอารมณ์ชั่ววูบ คุณอย่าไปใส่ใจ ผมจะออกไปดูเขาเดี๋ยวนี้เลย”
เฉียวฉีกัดริมฝีปากเย้ยหยัน
“ลุงโอ ขอบคุณที่ดูแลฉันในช่วงเวลานี้ แต่ว่าคุณก็เห็นแล้ว ไม่ใช่ว่าฉันไม่ยอมก้มหัว แต่ไม่ว่าฉันจะทำอย่างไร เขาก็ไม่เชื่อฉัน ในใจเขา ฉันไม่ใช่เฉียวฉีคนนั้นที่เคยเป็นแล้ว เช่นกันกับในใจของฉัน เขาก็ไม่ใช่กู้ซือเฉียนคนเดิมคนนั้นอีกต่อไป ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฉันจะไปจากที่นี่ อดีตที่ผ่านมา ก็ให้ถือว่ามลายหายไปหมด ปล่อยวางเถอะ ลุงโอ คุณไม่ต้องสนใจฉัน อีกสักพักฉันจะเก็บข้าวของ แล้วจากไปเอง”
เมื่อลุงโอได้ยินเช่นนั้น ขมวดคิ้วแน่น
ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เฉียวฉีกับกู้ซือเฉียน ทั้งๆที่ไม่ใช่คนประเภทที่ทำเรื่องต่างๆอย่างดื้อรั้นเพราะอารมณ์ใจร้อนชั่ววูบ
แต่ว่าปฏิกิริยาของทั้งสองคนในวันนี้ ใจร้อนเกินไปหรือเปล่า แปลกมากเหลือเกิน
แต่ว่า เขาก็ไม่มีเวลาคิดอะไรมาก เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว และก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาพ่อบ้านคนนี้จะสามารถเป็นกังวลได้มานานแล้ว
ดังนั้น เพียงแค่ก้มหัวเล็กน้อย กล่าวอย่างเสียใจว่า“ถ้าอย่างนั้น คุณเฉียวดูแลตัวเองด้วย หากมีอะไรจะให้ช่วยเหลือ ขอเพียงให้บอกผม แม้จะไม่อยู่ที่นี่ก็เช่นกัน”
คำพูดนี้ เทียบเท่ากับเป็นคำพูดที่ออกมาจากความสัมพันธ์ส่วนตัวแล้ว
อย่างไรก็ตาม เขาเป็นคนรับใช้ของกู้ซือเฉียน เป็นพ่อบ้านของปราสาทหลังนี้
หากเฉียวฉีออกไปจากที่นี่แล้ว มีเรื่องอะไรต้องขอความช่วยเหลือเขาอีก ถ้าหากเขาได้ช่วยเหลืออีกครั้ง หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะทำให้คนอื่นมีความรู้สึกประเภทที่ว่าเขาได้หักหลังกู้ซือเฉียนแล้ว
แต่หากเป็นเช่นนี้ ลุงโอก็ยังคงพูดแบบนี้กับเฉียวฉี ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความจริงใจและความทุ่มเทของเขาแล้ว
เฉียวฉีก็กระตุกริมฝียิ้มออกมาเล็กน้อย
“ขอบคุณลุงโอมาก”
เธอไม่ได้ปฏิเสธ และก็ทำใจปฏิเสธไม่ได้
ลุงโอจึงไม่พูดอะไรอีก แล้วหันหลังจากไป
เมื่อเขาไปแล้ว คนรับใช้คนอื่นก็ตามไปด้วยโดยปริยาย
ดังนั้น ไม่ช้าในห้องก็เหลือเพียงเสี่ยวเยว่กับเฉียวฉี
เวลานี้เสี่ยวเยว่ก็รู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย เมื่อกี้เธอยืนอยู่ข้างนอก แต่เธอได้ยินการสนทนาในห้องอย่างชัดเจน
ไม่เข้าใจจริงๆว่า ทั้งๆที่เมื่อกี้ยังดีๆอยู่ ทำไมแค่พริบตาทั้งสองก็กลายเป็นเช่นนี้?
เธอเดินเข้ามาด้วยสีหน้าน่าสังเวชแล้วพูดกับเฉียวฉีว่า“คุณเฉียว คุณโอเคไหม ?”
เฉียวฉีไม่พูดอะไร ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยใบหน้าเย็นชา ราวกับความโกรธยังไม่หายไป
เสี่ยวเยว่ใจร้อนจนเกือบจะร้องไห้แล้ว
เธอนั่งลง เงยหน้ามองดูเธอ กล่าวอย่างกังวลว่า“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?บอกว่าจะคุยกันไม่ใช่หรือ?ทำไมถึงคุยกันเป็นแบบนี้ได้?คุณเฉียว คุณจะไม่ย้ายออกไปจริงๆใช่ไหม?”
เฉียวฉีถึงก้มหน้าเหลือบมองเธอแวบหนึ่ง
เธอกล่าวเสียงเรียบๆ“ขอโทษ ที่ทำให้เธอตกใจ ”
เสี่ยวเยว่ส่ายหัวไปมา
“ฉันไม่เป็นไร แต่คุณ………”
เฉียวฉีฝืนยิ้ม
เธอกล่าวเสียงเคร่งขรึม “รบกวนคุณช่วยฉันเก็บข้าวของหน่อย ฉันจะไปช่วงบ่าย”
เสี่ยวเยว่เบิกตากว้างด้วยความตกใจ
ตอนที่ได้ยินจากปากพวกเขาว่าเฉียวฉีจะจากไป แต่เธอยังคิดว่า พวกเขาเพียงแค่พูดเพราะอารมณ์โกรธเท่านั้นเอง
ไม่ถึงกับว่าเธอจะไปจริงๆ
แต่ว่าตอนนี้ได้ยินเธอพูดเช่นนี้ จะจากไปเพราะความงอนจริงๆหรือ?
เสี่ยวเยว่รีบเกลี้ยกล่อม“คุณเฉียว คุณอย่างอนเลย ที่คุณชายพูดไปนั้นล้วนเป็นเพราะอารมณ์ชั่ววูบ คุณจะเอาจริงเอาจังกับเขาได้อย่างไร? ตอนนี้อาการบาดเจ็บของคุณยังไม่หายดี ตัวคนเดียวคุณจะไปไหนหรือ”
ต้องบอกว่า ถึงแม้ช่วงเวลาที่อยู่ในปราสาทนี้ คนอื่นๆนั้นเฉียวฉีล้วนไม่ได้เก็บมาใส่ใจ
แต่สำหรับเสี่ยวเยว่คนที่คอยดูแลปรนนิบัติเคียงข้างเธอมาตลอด เธอมีความรู้สึกบ้างเล็กน้อย
เวลานี้เห็นเธอร้องไห้ท่าทางกังวล ในใจก็รู้สึกอ่อนไหวเล็กน้อย
แต่ว่า เรื่องนี้มันใหญ่เกินไป เธอก็ไม่ได้เตรียมการจะบอกให้เสี่ยวเยว่รู้
ไม่ใช่เพราะว่าไม่เชื่อใจเธอ แต่ว่าไม่อยากจะดึงเธอเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
ขณะที่คิดเช่นนี้ เฉียวฉีก็ถอนหายใจเฮือก
“พูดด้วยอารมณ์หรือไม่นั้น ในใจฉันรู้ดี เสี่ยวเยว่ ขอบคุณมากสำหรับการดูแลฉันในช่วงเวลานี้ ต่อไปหากมีโอกาส เราค่อยเจอกันใหม่”
เสี่ยวเยว่ตะลึงไป เงยหน้ามองดูเธออย่างไม่เชื่อ
“คุณเฉียว คุณจะไปจริงๆหรือ?”
เฉียวฉีพยักหน้า
เสี่ยวเยว่ตื่นตระหนกขึ้นมาทันที“ถ้าอย่างนั้นก่อนหน้านั้นคุณพูดว่า คืนนี้จะไปงานโคมไฟกับคุณชายไม่ใช่หรือ?จะไม่ไปแล้วใช่ไหม?”
เมื่อพูดประโยคนี้ออกมา เฉียวฉีก็อึ้งไปครู่หนึ่ง
เสี่ยวเยว่เหมือนจะตระหนักว่าตัวเองเสียมารยาท จึงรีบอธิบายว่า “ฉันเพียงแต่รู้สึกว่า เป็นโอกาสที่ดี ไม่แน่ว่าพวกคุณทั้งสองจะถือโอกาสครั้งนี้คืนดีกันเหมือนเดิม ไม่เพียงเท่านี้ ยังสามารถจับคนพวกนั้นที่คิดจะทำร้ายคุณ………..”
เฉียวฉียิ้ม
ในสายตานั้น ดูเหมือนมีประกายจางๆไหลเวียนอยู่
เธอยิ้มเบาๆแล้วกล่าว“เราจะไม่คืนดีกัน สำหรับเรื่องของคืนนี้……เดิมทีฉันคิดจะล่องูออกจากรูจริงๆ แต่ว่าตอนนี้ ดูเหมือนจะไม่มีโอกาสนั้นแล้ว ช่างเถอะ ฉันก็ไม่อยากจะติดหนี้บุญคุณเขา ฉันจะคิดหาวิธีตรวจสอบคนพวกนั้นอีกครั้ง ส่วนฉัน ฟ้าดินกว้างใหญ่ ที่ไหนไม่ใช่ที่หลบภัยของฉัน คนกลุ่มนั้นคิดจะจับฉัน ก็ต้องดูว่าพวกเขามีความสามารถนี้หรือไม่”
พูดจบ บนใบหน้าเธอเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น ช่างแตกต่างจากท่าทางที่หดหู่ก่อนหน้านั้นอย่างสิ้นเชิง