เสี่ยวเยว่เห็นเช่นนั้นแล้วก็ฝืนยิ้มออกมา
“แต่ว่า ก่อนหน้านั้นได้ตรวจเจอแล้วว่ามีคนวางยาพิษในน้ำซุปให้คุณดื่มไม่ใช่หรือ?มีคนพยายามจะทำร้ายคุณ แล้วทำไมจู่ๆคุณชายถึงคิดว่าคุณเป็นคนวางยาพิษหลินเยว่เอ๋อร์?”
เมื่อเฉียวฉีได้ยินเช่นนั้น นวดขมับราวกับปวดหัวเล็กน้อย
เธอกล่าวเสียงเรียบว่า“บางที…….นี่อาจเรียกว่าดอกไม้พรานตาจนทำให้คนหลงใหล แม้หลักฐานอยู่ตรงหน้าเขาก็ไม่เชื่อ แต่ไปเชื่อคำพูดหลินเยว่เอ๋อร์ข้างเดียว แล้วฉันจะทำอะไรได้อีก?”
พูดจบก็ถอนหายใจอีก
“ฉันไม่ควรจะมีความหวังในตัวเขามานานแล้ว ไม่ใช่หรือ?เหตุการณ์ตกน้ำในครั้งก่อน และเหตุการณ์หกล้ม ฉันก็ควรจะดูออกแล้วว่า ที่จริงฉันจะทำหรือไม่นั้นไม่สำคัญ เขาเกลียดฉัน ต้องการให้ฉันเศร้าใจ เขาถึงจะมีความสุข”
“ดังนั้น ความจริงจะเป็นเช่นไรนั้นสำคัญที่ไหน ? สำหรับเขาแล้ว สามารถทิ่มแทงใจของฉันอย่างเจ็บๆถึงจะสำคัญที่สุด”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ก็ยิ้มอย่างเศร้าสร้อย
“ช่างมันเถอะ ฉันก็ไม่อยากจะยุ่งกับเขาอีกแล้ว เสี่ยวเยว่ หลังจากที่ฉันจากที่นี่ไปแล้ว คุณจะต้องดูแลตัวเองดีๆ หลินเยว่เอ๋อร์เกลียดฉัน เพราะว่าคุณอยู่ข้างกายฉันในระยะเวลาช่วงนี้ หลังจากที่รอให้ฉันไปแล้วเธออาจจะโกรธคุณไปด้วย ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ลาออกไปหางานที่อื่นทำเถอะ ใต้ฟ้าที่กว้างใหญ่ ไม่มีที่ไหนที่คุณไปไม่ได้”
ในดวงตาของเสี่ยวเยว่ฉายแววหวั่นไหวเล็กน้อย
“คุณเฉียว………”
เฉียวฉีโบกไม้โบกมือ“ไม่ต้องพูดอีกแล้ว ฉันได้ตัดสินใจแล้ว ”
ในที่สุดเสี่ยวเยว่ก็หักห้ามไว้ แล้วถามว่า“ถ้าอย่างนั้นคุณจะไปที่ไหน?”
เฉียวฉีครุ่นคิด แล้วกล่าวว่า“ข้างนอกตอนนี้มีคนพยายามจะทำร้ายฉัน ฉันไปที่อื่นก็ไม่ปลอดภัย ดังนั้น คิดว่าจะกลับไปอยู่เมืองบ้านเกิดสักระยะหนึ่ง ถึงแม้ว่าปู่คณบดีจะเสียไปแล้ว แต่ว่าบ้านที่เขาทิ้งไว้ให้ยังอยู่ ฉันไปอยู่สักพักเชื่อว่าคงไม่มีใครพูดอะไร ”
เสี่ยวเยว่จึงพยักหน้า
“งั้นคุณจะต้องระวังตัวให้ดี”
เฉียวฉีพยักหน้า“ฉันรู้”
ทั้งสองคุยกันต่อสักพัก เสี่ยวเยว่ถึงไปช่วยเธอเก็บข้าวของอย่างอาลัยอาวรณ์
บ่ายสี่โมงเย็น
เฉียวฉีนั่งอยู่ในรถคนเดียวออกจากประตูใหญ่ปราสาทไป
แน่นอนว่า เพราะว่าตอนนี้สุขภาพของเธอไม่ดี ก็ไม่สามารถจะเดินออกไปได้จริงๆ
ดังนั้น กู้ซือเฉียนยังจัดรถให้เธอหนึ่งคันอย่างมีน้ำใจ แน่นอนว่า รถคันนี้ก็ไม่ใช่รถดีอะไรแน่นอน เป็นเพียงรถออดี้ธรรมดาคันหนึ่ง
และคนขับรถนั้น แน่นอนว่าก็ไม่เหมือนเมื่อก่อน ที่ไม่ก็ฉินเยว่หรือไม่ก็คนข้างกายเขาที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษ
แต่เป็นเพียงโชเฟอร์ทั่วไปคนหนึ่งเท่านั้น
รถเคลื่อนออกจากประตูปราสาทอย่างช้าๆ ด้านหลัง มีหลินเยว่เอ๋อร์กระตุกมุมปากยิ้มอย่างได้ใจ
ส่วนกู้ซือเฉียนนั้น ดวงตาเคร่งขรึม จ้องมองไปทางรถที่จากไปอย่างเนิ่นนานไม่ขยับ
ในรถ
อารมณ์เฉียวฉีนั้นสงบนิ่ง
แผนการครั้งนี้ เธอกับกู้ซือเฉียนตกลงกันลับๆแล้ว ดังนั้น เธอจึงไม่กลัวอะไรทั้งนั้น
เพราะว่าจะต้องแสดงให้เห็นว่าเธอจะไม่กลับมาอีกหลังจากที่เธอจากไปแล้ว ดังนั้นตอนที่จากไป จึงให้เสี่ยวเยว่ช่วยเก็บข้าวของ มองดูเธอเก็บข้าวของที่เธอใช้เป็นประจำพวกนั้นแล้ว เฉียวฉีก็ไม่ได้ห้าม
จากเรื่องการวางยาพิษในครั้งนี้ ทำให้เธอรู้ว่า ในปราสาทนี้จะต้องมีคนของอีกฝ่ายอย่างแน่นอน
ดังนั้นจะต้องทำให้เหมือนจริงมากที่สุด อีกฝ่ายถึงจะยิ่งจะเชื่อมากเท่านั้น ว่าตอนนี้เธอตัวคนเดียวแล้ว สามารถลงมือได้แล้ว
ที่จริง ตอนแรกเฉียวฉีอยากจะแสดงเป็นคู่รักที่กลับมาคืนดีกันกับกู้ซือเฉียน แล้วไปเที่ยวดูโคมไฟในเทศกาลชีเฉี่ยวกัน
ความคิดนี้ สอดคล้องกับกู้ซือเฉียน
แต่ว่า ขณะที่เธอได้พบกับกู้ซือเฉียน เมื่ออีกฝ่ายผลักเธอกลับเข้าไปในห้องนอน ความคิดของเธอก็เปลี่ยนไปทันที
จู่ๆเธอก็คิดได้ว่า เมื่อเทียบกับการที่ตัวเองกับกู้ซือเฉียนไปงานโคมไฟด้วยกันอย่างรักใคร่นั้น สู้เธอกับกู้ซือเฉียนทะเลาะกันแล้วเธอจากไปคนเดียวยิ่งจะสามารถทำให้คนอื่นเชื่อง่ายกว่าหรือไม่
อย่างไรก็ตาม หลินเยว่เอ๋อร์ถูกวางยางพิษ ก็ได้ให้วัสดุที่ดีที่สุดกับพวกเขาแล้ว
ขณะนั้นทางตึกรองถึงแม้จะมีคนเป็นจำนวนมาก แต่ว่าคนเหล่านั้นแม้จะฟังพวกเขาวิเคราะห์เรื่องการวางยางพิษในสวน ในความเป็นจริงล้วนเป็นการคาดเดาที่ไม่มีความกระจ่าง
ยังไม่ทันได้ตรวจสอบให้ชัดเจน ว่าใครเป็นคนวางยาพิษกันแน่น
เพียงแต่หลังจากนั้น คนที่กู้ซือเฉียนส่งออกไปตรวจสอบ ได้สิ่งของมานิดหน่อย สิ่งของนี้เป็นหลักฐานที่ชี้ไปทางเฉียวฉี
ดังนั้นเขาก็มีเหตุผลที่จะโมโหใส่ตัวเอง จากนั้นตัวเองก็จะโต้ตอบกลับไปอย่างมีเหตุผล ทำให้กู้ซือเฉียนโกรธจนไล่เธอไป
เมื่อเป็นเช่นนี้ อีกฝ่ายก็จะรู้สึกเพียงว่า เธอกับกู้ซือเฉียนทะเลาะกันเพราะการมีอยู่ของมือที่สาม จะไม่คิดเป็นอย่างอื่นอย่างแน่นอน
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เฉียวฉีอดไม่ได้ที่จะหันหน้า มองไปนอกหน้าต่างแวบหนึ่ง
คนเหล่านั้น จะต้องลงมือในวันนี้อย่างแน่นอน!
อย่าพลาดโอกาสครั้งนี้ไปเด็ดขาด เธอรออยู่ เชื่อว่าพวกเขาจะต้องมาอย่างแน่นอน
รถได้ขับเคลื่อนออกจากประตูใหญ่ไป
เฉียวฉีรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย หลับตาพักผ่อนในรถไปครู่หนึ่ง
จนกระทั่งเวลาสองทุ่ม ก็ถึงในเมืองเล็กๆ
เธอลืมตาขึ้น พบว่ารถได้จอดอยู่ข้างทาง
คนขับรถหันหน้ามามองดูเธอ แล้วถามว่า“คุณเฉียว ถึงที่อยู่ที่คุณบอกก่อนหน้านั้นแล้ว คุณดูว่าใช่ที่นี่หรือเปล่า?”
เธอหันกลับไปมองแวบหนึ่ง เห็นเพียงอาคารสีเทาหลังเล็กปรากฏตรงหน้า มันเป็นที่พักอาศัยก่อนหน้านั้นของปู่คณบดี
เธอพยักหน้า ตอบรับ“ใช่ ที่นี่แหละ”
พูดจบ จับประตูรถแล้วลงจากรถไปอย่างยากลำบาก
เมื่อคนขับรถเห็นเช่นนั้น รีบเอารถวีลแชร์จากกระโปรงหลังรถออกมา หลังจากให้เธอนั่งลงแล้ว ช่วยเธอนำสัมภาระออกมา
จริงๆแล้วแม้จะนำของใช้ชีวิตประจำวันทั้งหมดของเธอมาด้วย สัมภาระของเฉียวฉีก็มีไม่เท่าไหร่ อย่างมากก็กระเป๋าเดินทางสองใบเท่านั้นเอง
เธอยิ้มเล็กน้อย แล้วกล่าวคำว่าขอบคุณ
คนขับรถมองดูลานหน้าบ้านสีเทาตรงหน้าแล้วถามว่า“จะให้ผมส่งคุณเข้าไปไหมครับ?”
เฉียวฉีส่ายหัว“ไม่ต้อง คุณไปเถอะ ฉันเข้าไปเอง”
เมื่อคนขับรถเห็นเช่นนั้น ก็ไม่พูดอะไรอีก จึงหันหลังขึ้นรถจากไป
เฉียวฉีไม่ได้เร่งรีบที่จะเข้าบ้าน มองดูรถจากไป จากนั้นถึงก้มหน้ามองดูกระเป๋าเดินทางที่ข้างเท้า
ขณะที่จะหันหลังกลับเข้าไปในบ้าน ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครมดังมาจากฝั่งตรงข้ามถนน
ตามด้วย คนทั้งหมดล้วนวิ่งไปทางทิศทางนั้น
เธออึ้งไปครู่หนึ่ง หยุดความเคลื่อนไหวในมือไปโดยปริยาย
เห็นทุกคนบนถนนวิ่งไปทางทิศทางนั้น เธอรีบยกมือขึ้น คว้าไว้คนหนึ่งแล้วถามว่า“เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ?”
เพราะว่าเธอจากเมืองนี้นานเกินไป คนอื่นก็ไม่รู้จักเธอ เห็นผู้หญิงตัวคนเดียว ดูเหมือนยังพิการ นั่งรถวีลแชร์อีก
ดังนั้นจึงอธิบายอย่างใจดีว่า“ทางนั้นมีคนตาย ได้ยินว่าขุดศพขึ้นมาหนึ่งศพ ทุกคนล้วนจะไปดูความครึกครื้นกันทั้งนั้น คุณเป็นผู้หญิงรีบกลับเข้าบ้านเถอะ อย่าไปดูเลย ระวังจะทำให้คุณกลัว ”
พูดจบก็ดึงแขนเสื้อแล้ววิ่งหนีไป
เฉียวฉีอึ้งไปเล็กน้อย
คนตายหรือ? ศพหรือ?
ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ทันใดนั้นในใจเธอรู้สึกมีลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา
ทั้งๆที่ตามหลักการแล้วน่าจะไม่เกี่ยวกับตัวเอง แต่ก็อดไม่ได้ จึงนำกระเป๋าเดินทางไว้ข้างประตู แล้วบังคับรถวีลแชร์ตามขึ้นไป