บทที่ 83 เธอไม่ยอมรับ
หร่วนเจียวเจียวอยากจะเถียงกลับ แต่ก็ถูกผอ.ยกมือห้ามไว้
เขาขมวดคิ้ว สายตาได้มองไปยังผู้คนรอบๆ สุดท้ายก็ได้มาหยุดที่หัวเหยา
“หัวเหยา เธอพูด นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?”
หัวเหยาได้เล่าเรื่องไปแบบไม่ดัดแปลงอะไร
คนอยู่เยอะขนาดนี้ เธอก็ได้พูดออกมาแบบเป็นกลาง ไม่ได้ตีไข่ใส่สีเลยแม้แต่น้อย แล้วก็ไม่ได้แต่งเติมอะไร
ยู่เจี่ยนซิวฟังจบ ก็ขมวดคิ้ว
“ถ้าเป็นแบบนั้น จิ่งเสี่ยวหย่ารู้สึกว่าจิ่งหนิงได้ขโมยต้นฉบับงานออกแบบของเธอเมื่อห้าปีก่อนไป อยากจะล้างความผิดของตนในคืนนี้ แล้วก็ใส่ร้ายความผิดให้เธอ เพราะงั้นเธอถึงได้ให้ หร่วนเจียวเจียวมาขโมยต้นฉบับ?”
จิ่งเสี่ยวหย่านิ่ง
ผ่านไปสักพัก ได้สูดหายใจเข้าลึก
รู้ว่าเวลานี้แล้ว จะแก้ตัวก็ไม่มีประโยชน์อะไร
ทำได้แค่พูดว่า “หนูยอมรับ ว่าก่อนหน้านั้นหนูได้เอ่ยเรื่องนี้ขึ้นต่อหน้าเธอจริง พี่ได้เอาต้นฉบับนั้นของหนูไป เป็นไปได้สูงว่าจะเอางานนั้นมาใส่ร้ายหนู แต่หนูไม่ได้ให้เธอมาช่วยหนูขโมยนะ
ที่เธอทำแบบนี้ในคืนนี้ หนูก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน ถ้าหนูรู้ตั้งแต่แรก หนูไม่ยอมให้เธอทำแน่ๆ”
ผอ.ได้ยกมือเป็นการขัดจังหวะการพูดของเธอ
เขาได้หันไปมองจิ่งหนิง “เธอล่ะ? ว่าไง?”
จิ่งหนิงได้เหยียดยิ้มอย่างประชดประชัน
“ว่าฉันขโมยต้นฉบับงานออกแบบเธอ…… จิ่งเสี่ยวหย่า งั้นเธอบอกหน่อย ว่าฉันไปขโมยตอนไหน?”
จิ่งเสี่ยวหย่าขมวดคิ้ว
“ฉันจะไปรู้ได้ยังไง?”
“เรื่องที่เธอก็ไม่รู้ แล้วก็บอกกับคนอื่นแบบนี้ จะใส่ร้ายฉัน?”
จิ่งเสี่ยวหย่า “……”
สักพัก เธอก็ได้สูดหายใจ อยู่ๆ ก็ได้แสดงรอยยิ้มออกมา
“ได้ ต่อให้เรื่องนี้ฉันไม่คิดให้รอบคอบเอง เข้าใจผิดพี่ไป ฉันก็ขอโทษพี่ตรงนี้เลยละกัน แต่ว่าเรื่องเมื่อห้าปีก่อน พี่เป็นคนทำจริงไหม! ฉันก็เป็นเพราะเรื่องเมื่อตอนนั้นถึงได้สงสัยในตัวของพี่ กลัวว่าพี่จะเป็นเหมือนเมื่อก่อน ใส่ร้ายฉันโดยไม่สนวิธีการ ก็เลยได้คิดเยอะไปหน่อย หรือว่านี่พี่ก็จะโทษฉัน?”
จิ่งเสี่ยวหย่าพูดจบ นัยน์ตาก็ได้มีความได้ใจเล็กน้อย
ต่อให้จิ่งหนิงกดดันให้หร่วนเจียวเจียวพูดเรื่องที่เธอนั้นได้สอดมือเข้าไปในความสัมพันธ์เขาและมู่ยั่นเจ๋อแล้วจะทำไม?
ในโลกของความรัก คนที่ไม่ถูกรักต่างหากที่เป็นมือที่สาม!
พูดถึงตรงนี้ ตอนนี้เธอก็มองออกชัดเจนแล้ว
คำที่จิ่งหนิงได้พูดกับเธอที่โถงงานก่อนหน้า ก็แค่อยากจะหลอกล่อเธอเท่านั้น
เหอะ! ต้นฉบับนั้นเธอได้ทำลายไปตั้งนานแล้ว ในโลกยังจะไปมีต้นฉบับอะไรนี้อีก?
ขอแค่เธอกัดเรื่องเหมือนห้าไปก่อนไม่ปล่อย ต่อให้จิ่งหนิงฉลาดขนาดไหน ก็ยากที่จะพลิกเกมได้
เป็นไปอย่างที่คิด ได้ยินเสียงนินทาที่เปลี่ยนไปของคนรอบข้าง
“ที่พูดมันก็จริงนะ ถ้าเกิดเมื่อก่อนฉันถูกคนทำแบบนั้น ต่อจากนั้นก็จะกังวลอยู่ตลอดแน่ ถ้าจะสงสัยคนคนนี้มากไปหน่อยก็ปกติ”
“นี่ที่เขาเรียกว่าโรควิตกจริตหลังจากโดนทำร้าย?”
“คนบ้านเดียวกัน นี่มันเรื่องอะไรบ้างเนี่ย ยิ่งพูดยิ่งวุ่นวาย”
ผอ.ได้ยิน ก็ได้ขมวดคิ้ว
เรื่องเมื่อปีนั้นเขาก็รู้ แต่ตามหลักการแล้วเรื่องมันผ่านไปหลายปีแล้ว ต่อให้ผลที่ที่ได้รับมันหนักขนาดไหนก็รักษาหายแล้วหรือเปล่า!
แต่เขาก็ไม่ได้พูด ก็แต่มองไปที่จิ่งหนิง
จิ่งหนิงกระตุกมุมปาก ค่อยๆ พูดออกไปทีล่ะคำว่า “ฉันจำได้ว่า เหมือนว่าฉันไม่เคยที่จะยอมรับ ว่าเรื่องเมื่อห้าปีก่อนฉันเป็นคนทำนะ”
รอบข้างได้เงียบไปทันที
เหมือนว่าจะขอเวลา ในการมาย่อยคำที่เธอพูด
สีหน้าจิ่งเสี่ยวหย่ากลับเปลี่ยนเล็กน้อย
จิ่งหนิงได้พูดออกไปอย่าหนักแน่น “ฉันไม่เคย ที่จะยอมรับมาก่อน ว่าฉันขโมยงานของจิ่งเสี่ยวหย่า แล้วก็ได้ตีเธอจนสลบ เพื่อที่จะเอารายชื่อในการเข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยศิลปากรรอยัลแทนเธอ ใช่ไหม?”
สี่ทิศได้ฮือฮาทันที
หมายความว่าอะไร?
เรื่องนี้มันผ่านมาห้าปีแล้ว ทุกคนต่างก็รู้ เรื่องเมื่อปีนั้นเธอเป็นคนทำ
ตอนนี้ทำไม……
ทุกคนได้อึ้งไป นี่ถึงได้นึกได้ว่า ที่เธอพูดนั้นเหมือนจะจริง
ห้าปีก่อน เรื่องได้ดังไปทั่ว คนทั้งสองสถานศึกษาต่างรู้กันหมด จิ่งหนิงขโมยผลงานของจิ่งเสี่ยวหย่า แล้วยังติดเธอจนสลบ ก็เพื่อที่จะได้โควตาที่จะเขาศึกษาที่มหาวิทยาลัยศิลปากรรอยัล
จากนั้น เจ้าตัวของเรื่อง ก็ไม่ได้โผล่ออกมาให้เห็นอีก
หลังจากจิ่งหนิงถูกพาตัวออกไปจากสถานที่สอบนั้น ก็ไม่ได้โผล่มาให้เห็นต่อหน้าผู้คนอีกเลย ยิ่งอย่าพูดว่ายอมรับหรืออธิบายอะไรเลย
ก่อนหน้า ทุกคนคิดว่า เธอนั้นรู้สึกอับอาย ไม่กล้าที่จะออกมาพูด
แต่ตอนนี้พอมาคิดอยู่ เหมือนว่าจะไม่ใช่
คนคนหนึ่งถ้าอับอาย ซ่อนตัวได้ช่วงหนึ่ง ซ่อนตัวไม่ได้ตลอดไปใช่ไหม
หลังจากนั้นต้องมีข่าวของเธอบ้างสิ!
แต่ที่น่าแปลกก็คือ หลังจากวันนั้น จิ่งหนิงก็เหมือนว่าจะระเหยหายไปเลย ไม่มีร่องรอยของเธอแม้แต่น้อย
นี่……มันเรื่องอะไรกันแน่เนี่ย!
จิ่งหนิงเห็นสายตาที่ดูตกใจของคนรอบข้าง ก็ได้ค่อยๆ พูดไปทีละคำว่า “ห้าปีก่อน ฉันไม่มีโอกาสที่จะพูดความจริงออกไป ห้าปีให้หลังในวันนี้ ฉันไม่มีทางให้คนมาใส่ร้าย ทำให้ตนอับอายอีกครั้ง ฉันได้สาบานต่อหน้าหลุดศพของแม่ตัวเองแล้ว คนที่ติดหนี้ฉัน ฉันต้องเอาคืนทั้งหมด คนที่ได้ราดน้ำสกปรกมาให้ฉัน! พวกเขาเก็บคืนไม่ได้ ฉันก็จะให้พวกเขาคุกเข่าลงกับพื้น ค่อยๆ เลียให้มันสะอาด! ”
สายตาของเธอได้มองผ่านคนข้างหน้าด้วยความน่ากลัว น้ำเสียงหนักแน่น มีพลังมากๆ
ทุกคนได้ถูกบรรยากาศที่เกรงขามแล้วไม่ยอมใครทำเอาตกใจ
ในนั้นมีไม่กี่คน ถึงขั้นได้มีสายตาที่นับถือแสดงออกมา
คุณพระ! นี่มันน่าเกรงขามเกินไปแล้วหรือเปล่า!
ทำไมยิ่งฟัง ก็รู้สึกว่าที่เธอพูดนั้นเป็นความจริงล่ะ?
ยังไงซะ คนที่ไม่เคยเจอความเจ็บปวดแบบนี้จริง นั้นไม่มีทางที่จะมีแววตาที่น่ากลัวและหนักแน่นแบบนั้น และก็ไม่มีทางที่จะพูดอะไรที่มันน่าเกรงขามแบบนั้นออกมาจริงไหม!
ได้เริ่มมีคนเอียงตาชั่งที่อยู่ในใจแล้ว
จิ่งเสี่ยวหย่าพูดด้วยความโมโห “เธอหมายความว่าอะไร?”
จิ่งหนิงยิ้มอย่างเยือกเย็น
“ความหมายของฉันก็คือ คนที่ขโมยงานออกแบบเมื่อปีนั้นไม่ใช่ฉัน เป็นเธอ! คนที่ใส่ร้ายก็ไม่ใช่ฉัน ยังเป็นเธอ! คนที่อิจฉาในความสามารถของพี่สาว ไม่สนว่าตัวเองจะเจ็บตัว ของที่ตัวนั้นได้มาไม่ได้ ก็ไม่ให้คนอื่นได้ไปเหมือนกัน! ”
ทุกคนได้ตกใจทั้งหมด
“อะไร? เธอหมายความว่า ตอนนั้นจิ่งเสี่ยวหย่าใส่ร้ายเธอ?”
มีคนอดไม่ได้ที่จะไม่ออกเสียง
จิ่งหนิงพยักหน้า
“วันสอบนั้น เขาได้เห็นว่างานของฉันได้ดีกว่าอย่างไม่ได้ตั้งใจ เพราะงั้นในเช้าวันต่อมา ก็ได้จงใจตีหัวตัวเองให้แตก แล้วยังขโมยต้นฉบับงานออกแบบในโน๊ตบุ๊คของฉัน แล้วโทรไปที่โรงเรียน ใส่ร้ายว่าฉันเป็นคนขโมยงานไป แบบนี้ ทุกคนก็จะพากันคิดว่า เป็นฉันที่ขโมยงานของเธอไป และเธอ คนที่โดนพี่สาวแท้ๆ ทำร้าย คนน่าสงสารที่เสียสิทธิ์ในการเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยศิลปากรรอยัล ก็จะสามารถได้ความเห็นใจจากผู้คนได้อย่างง่ายดาย เธอว่าจริงไหม?”
สีหน้าของจิ่งเสี่ยวหย่าได้ซีดไป
เธอได้ส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้ ข้างๆ มู่ยั่นเจ๋อได้ขมวดคิ้วแน่น
“จิ่งหนิง เสี่ยวหย่าไม่ใช่คนแบบนั้น……”
“” นายหุบปาก!
จิ่งหนิงได้พูดอย่างเย็นชา “เธอไม่ใช่คนแบบนั้น เพราะงั้นฉันใช่? เธอทำเรื่องที่จะทำร้ายตัวเอง ใส่ร้ายพี่สาวของตัวเองออกมาไม่ได้ ฉันสามารถที่จะทำเรื่องทำร้ายน้องสาว ขโมยผลงานเธอออกมาได้? มู่ยั่นเจ๋อ นายเบิกตาของดูดีๆ วันนี้คนที่แอบเข้ามาในห้องฉัน อยากจะขโมยต้นฉบับนั้นไม่ใช่ฉัน เป็นหร่วนเจียวเจียว! และหร่วนเจียวเจียวกับจิ่งเสี่ยวหย่าเป็นอะไรกัน นายเข้าใจดียิ่งกว่าฉัน! ”