คุณจะเห็นได้เพียงแค่ลำต้นที่ของที่โผล่พ้นขึ้นมาจากพื้นดิน แต่คุณจะมองไม่เห็นว่ารากของมันลึกมากแค่ไหน หนาแน่นมากเท่าไหร่ และมันจะถูกฝังลึกลงไปใต้ดินยาวมากแค่ไหน และตอนนี้ ถ้าหากว่าคุณต้องการที่จะเขย่าต้นไม้ต้นนี้ คุณจะต้องมีพละกำลังมากกว่าลมพายุนั่น แต่คุณมีมันรึเปล่าล่ะ?
ผมสามารถพูดได้เลยว่า บนโลกใบนี้ เว้นเสียแต่ว่ากลุ่มชาวจีนจะเข้าร่วมกองกำลังกับตระกูลจื่อจินและกลุ่มมังกรแล้ว ก็ไม่มีใครที่จะสามารถเขย่ามันได้ แต่มันจะมีทางที่กองกำลังนี้จะเข้าร่วมกันได้อย่างนั้นหรือ?
มันเป็นไปไม่ได้ใช่ไหมล่ะ? กลุ่มมังกรกลุ่มเล็กๆ ในสายตาของตระกูลหนานมันก็เปรียบเสมือนกับฝูงมดเพียงเท่านั้น
มดไม่มีทางที่จะเขย่าต้นไม้ได้ ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้ แต่เพียงต้องใช้กลยุทธ์และอาศัยจังหวะก็เท่านั้น ตอนนี้มันมีโอกาสที่สำคัญและมันก็หาได้ยากมากอยู่ตรงหน้า และบางทีเราก็อาจจะได้ผลลัพธ์ที่ดีจากการทำสิ่งที่เรียบง่าย อย่าเพิ่งไปพูดถึงซือเฉียนเลย เพราะถ้าเป็นคนอื่น ก็ไม่มีทางที่จะทิ้งโอกาสนี้ไปได้อย่างแน่นอน”
หลังจากที่ฟังจบ เฉียวฉีก็นิ่งเงียบทันที
เธอไม่รู้เลยว่า ตอนที่กู้ซือเฉียนตัดสินใจจะทำมัน เขาได้คิดเรื่องนี้เอาไว้แล้ว
แล้วทำไมเขาถึงไม่บอกเธอล่ะ?
เขาก็รู้แน่ชัดอยู่แล้วว่า เพียงแค่เขาบอกเธอ เพียงแค่เขาบอกถึงปัญหากับเธอ เธอจะต้องเข้าใจเขาและสนับสนุนมันอย่างแน่นอน
และทำให้เธอรู้ว่า เขาไม่ใช่คนที่ไม่มีหัวใจ และไม่ใช่คนที่ใช้วิธีการสกปรกแบบนั้นเพื่อให้ได้มาเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง และเป็นคนที่ไม่มีหลักการอะไรเลย
เพียงแค่ตอนที่เขาถูกเธอบังคับให้ถอย เพื่อที่จะปกป้องตัวเอง เขาก็เลยต้องตัดสินใจทำแบบนั้น
ทำไมเขาถึงไม่พูดมันออกมาล่ะ?
เมื่อเห็นท่าทางที่เธอแสดงออกมา หลินซงก็พูดออกไปอีกครั้งว่า “ความจริงแล้ว คุณไม่รู้หรือว่าหลินเยว่เอ๋อร์จะไม่ทราบถึงจุดประสงค์ของเขา แต่ถึงอย่างนั้นหล่อนก็ยังตกลง เพราะอะไรกันล่ะ?”
เฉียวฉีหันกลับไปมองเขา
หลินซงหัวเราะเยาะตัวเองออกมา “บางทีคุณก็อาจจะคิดว่า เพราะความรักของหล่อนที่มีต่อซือเฉียน ความรักสามารถทำให้ผู้หญิงสูญเสียตัวเองไปได้ และทำในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยคิดที่จะทำมันมาก่อน แต่เฉียวฉี นั่นคือคุณ ไม่ใช่หลินเยว่เอ๋อร์”
เฉียวฉีรู้สึกตกใจสุดๆ
รอยยิ้มบนใบหน้าของหลินซง เริ่มแปลเปลี่ยนกลายเป็นขมขื่นขึ้นมาเล็กน้อย
“เฉียวฉี คุณดูเป็นคนเย็นชา แต่ในความเป็นจริงแล้วความรักและความยุติธรรม ในหัวใจของคุณ ความรักนั้นยิ่งใหญ่กว่าทุกอย่างในใต้หล้า แต่ในสายตาของบางคน สิ่งที่เรียกว่าความรู้สึก มันก็เป็นเพียงแค่การชั่งน้ำหนักข้อดีและข้อเสียเพื่อช่วยให้ตัวเองตัดสินใจได้ดีที่สุดก็เท่านั้น”
“เป็นความจริงที่ หลินเยว่เอ๋อร์อาจจะชอบซือเฉียน และความรู้สึกของหล่อนที่มีต่อเขามันก็เป็นของจริง แต่เหตุผลที่หล่อนยอมตกลง มันก็ไม่ใช่เพราะหล่อนถูกบังคับให้ยอมตกลงสักหน่อย”
“ก่อนหน้านี้ ตอนที่ซือเฉียนพูดเรื่องนี้กับหล่อน ผมก็รู้เช่นกัน ซือเฉียนบอกเพียงแค่ว่า เขาไม่อยากให้หลินเยว่เอ๋อร์มาอยู่ข้างกายของเขา เพราะเขามีคนที่ชอบอยู่ในใจอยู่แล้ว ตอนนี้หลินเยว่เอ๋อร์จึงมีสองทางเลือกนั่นก็คือ เขาจะส่งหล่อนกลับไปที่ประเทศจีนและปล่อยให้หล่อนเดินไปตามเส้นทางในอนาคตของหล่อนเอง หรือไม่ หล่อนก็ต้องไปอยู่ข้างกายของหนานมู่หรง”
“คุณลองเดาดูสิว่าหล่อนจะพูดว่ายังไง?”
เฉียวฉีรู้สึกตกใจขึ้นมาทันที และในดวงตาของเธอก็เผยความงุนงงออกมา
หลินซงเหยียดยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “หล่อนเลือกหนานมู่หรง”
เฉียวฉีขมวดคิ้วมุ่นในทันที “ทำไมล่ะ? ไม่ใช่ว่าหล่อน…”
“ไม่ใช่ว่าหล่อนชอบซือเฉียนหรือ? ทำไมหล่อนถึงเต็มใจไปอยู่กับผู้ชายคนอื่น ทั้งๆ ที่ก็รู้ว่าผู้ชายคนนั้น จะทำอะไรกับหล่อนบ้าง”
หลินซงส่ายหัว “ผมก็พูดไปแล้วว่า ไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นเหมือนคุณ ที่คิดว่าความรักยิ่งใหญ่กว่าทุกอย่างในใต้หล้า บางทีหล่อนอาจจะชอบซือเฉียนจริงๆ แต่ตอนนี้ ซือเฉียนไม่ได้ให้ความหวังหล่อนแล้ว เขาพูดออกไปแล้วว่า เขาไม่มีทางชอบหล่อน และไม่มีทางยอมให้หล่อนมาอยู่ข้างกายเขา ในกรณีนี้ ทำไมหล่อนถึงไม่เลือกทางที่ดีที่สุดให้ตัวเองล่ะ? ถึงแม้ว่าหนานมู่หรงจะแก่กว่านิดหน่อย แต่เรื่องชาติตระกูล รูปร่างหน้าตาของเขา มีตรงไหนที่คู่ควรกับหลินเยว่เอ๋อร์อย่างนั้นหรือ?”
เฉียวฉีรู้สึกตกใจขึ้นมาอีกครั้ง
ต้องบอกเลยว่า หลังจากที่เธอได้ฟังการวิเคราะห์ของหลินซงแล้ว เธอก็พบว่าตัวเองนั้น ยังคงไร้เดียงสามากเกินไปจริงๆ
ในสายตาของบางคน ความเชื่อที่เธอยังคงยึดถือมาตลอดนั้น มันไม่ควรค่าแก่การกล่าวถึงเลยจริงๆ
ในใจของเธอรู้สึกสับสนขึ้นมา และเมื่อนึกไปถึงสิ่งที่เธอพูดกับกู้ซือเฉียนเมื่อวานนี้ เธอก็รู้สึกเศร้าขึ้นมาอีกครั้ง
สิ่งที่หลินซงอยากจะพูด เขาก็พูดออกมาหมดแล้ว เมื่อเห็นท่าทางของเธอ เขาก็รู้ได้ในทันทีว่าเธอเข้าใจเรื่องทุกอย่างแล้ว
ดวงตาของเขาลึกล้ำขึ้นมา และสุดท้ายเขาก็ถอนหายใจออกมา และลุกขึ้นยืน
เขามองมาที่เธอ และพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมว่า “เฉียวฉี ความจริงผมไม่ควรบอกเรื่องนี้กับคุณ แต่เมื่อเห็นว่าคุณแยกแยะมันไม่ได้ ผมก็เลยอดไม่ได้จริงๆ ที่จะพูดมันออกไป”
เขาหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง จนกระทั่งเฉียวฉีเงยหน้าขึ้นไปมองเขา เขาจึงพูดออกไปว่า “พวกคุณต่างก็เป็นคนที่เลียเลือดบนมีดหลังจากที่ฆ่าคน เป็นคนที่อายุสั้น มีชีวิตอยู่แค่วันนี้และไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าหากว่าคุณมีใจให้อีกฝ่ายจริงๆ ทำไมคุณถึงไม่ทิ้งอคติและความเข้าใจผิดเหล่านั้น และกลับมาคืนดีกันล่ะ? บนโลกใบนี้ คนรักกันถูกแยกออกจากกันด้วยเหตุผลต่างๆ นานา และรู้สึกเสียใจไปตลอดชีวิตจะกระทั่งเสียชีวิตในวัยชรา แล้วพวกคุณล่ะ พวกคุณรู้จักกันมาตั้งแต่เล็กจนโต พวกคุณควรจะเป็นคนที่รู้จักกันดีที่สุดไม่ใช่หรือ แต่แล้วทำไม ความเข้าใจผิดแบบนี้มันถึงเกิดขึ้นระหว่างพวกคุณทั้งสองคน?”
เฉียวฉีนั่งตกตะลึงอยู่ตรงนั้น ไม่รู้ว่าทำไม ขอบตาของเธอมันจึงรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมา
หลังจากที่หลินซงพูดจบ เขาก็ไม่คิดที่จะนั่งอยู่ตรงนี้ต่อ เขาจึงพูดออกไปว่า “คุณลองกลับไปคิดดูแล้วกันนะ”
หลังจากนั้น เขาก็หันหลังกลับ และเดินจากไป
หลังจากที่หลินซงเดินออกไปแล้ว เฉียวฉีก็ไม่ได้ขยับเขยื้อนตัวไปไหนเลยแม้แต่น้อย และเอาแต่นั่งอยู่ที่ระเบียง
เธอเอาแต่ครุ่นคิดอยู่นานสองนาน
ประตูแห่งกาลเวลาดูเหมือนว่ามันกำลังเปิดออกสู่สายตาของเธอ และลมที่พัดผ่านมาก็พัดพาความทรงจำของเธอกลับมาด้วย
ดูเหมือนเธอจะเห็นชายหนุ่ม ที่ดูตรงไปตรงมากำลังยืนส่งยิ้มมาให้เธอ เมื่อนานมาแล้ว
ในใจของเธอคิดว่า ใช่แล้ว ฉันเป็นคนที่รู้จักเขาดีที่สุด
แต่แล้วทำไม พวกเราถึงกลายมาเป็นอย่างทุกวันนี้ไปได้
พวกเราสองคนเป็นคนที่มีความเกี่ยวพันกันมากที่สุด บนโลกใบนี้ไม่ใช่หรือ พวกเราควรจะจับมือกันก้าวผ่านความทุกข์และยากลำบากนี้ไปด้วยกัน พวกเราควรจะเชื่อใจซึ่งกันและกันโดยที่ไม่ระแคะระคายอะไร แต่แล้วทำไม เราต้องปล่อยหนามไปทิ่มแทงร่างกายของอีกฝ่ายแบบนี้ด้วยล่ะ?
เฉียวฉียกมือขึ้นมาปิดหน้าของตัวเอง จากนั้นน้ำตาของเธอก็ไหลออกมา
กู้ซือเฉียนกลับมาถึงบ้านในตอนกลางคืน
หลังจากที่เขากลับมาถึงบ้าน เขาก็เห็นว่าห้องนอนของเฉียวฉีบนชั้นสอง ยังคงสว่างอยู่ เขาจึงไม่อาจหยุดยั้งฝีเท้าของตัวเองเอาไว้ได้
เขายกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลา ตอนนี้เป็นเวลา 23.00 น. แล้ว
ปกติเวลานี้ เธอน่าจะหลับไปตั้งนานแล้ว ทำไมวันนี้เธอถึงยังไม่นอน?
เป็นเพราะเธอยังโกรธเขาอยู่รึเปล่า?
โกรธที่เขาไม่ยอมฟังคำแนะนำของเธอ เห็นได้ชัดว่าเธอพูดอะไรกับเขาตั้งมากมาย แต่เขาก็ยังพาหลินเยว่เอ๋อร์ไปที่งานแต่งงาน
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ กู้ซือเฉียนก็หัวเราะเยาะตัวเองออกมา
เธอน่ะ เป็นอย่างนี้มาโดยตลอด ก็เห็นๆ อยู่ว่าเธออยู่ในแวดวงที่สกปรกที่สุด แต่ในใจของเธอก็ยังสามารถรักษาความบริสุทธิ์เอาไว้ได้ และก็ทำให้คนอื่นอดไม่ได้ที่จะเข้ามายุ่งกับมัน
ช่างเถอะ ถ้าเธอโกรธ งั้นเขาก็แค่พยายามหลีกเลี่ยงเธอหน่อย
ถึงยังไง เขาก็จะปล่อยให้เธอโกรธอยู่สักสองสามวันแล้วค่อยคุยกับเธออีกที
เมื่อคิดแบบนี้แล้ว เขาก็ผ่อนคลายฝีเท้าลง และเดินขึ้นไปที่ชั้นบนอย่างช้าๆ
แต่เมื่อเขาเดินไปได้แค่ครึ่งทาง จู่ๆ ฝีเท้าของเขาก็หยุดชะงักลง
เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นไป เขาก็เห็นร่างเล็กที่คุ้นตา กำลังรอเขาอยู่ตรงนั้น
เธอนั่งอยู่บนวีลแชร์ และจ้องมองมาที่เขาด้วยแววตาที่ลึกซึ้ง มองเพียงแค่แวบเดียว ก็ทำให้หัวใจของกู้ซือเฉียนเต้นแรง ราวกับว่าเขากำลังสูญเสียงความเป็นตัวเองลงไปทุกทีๆ