เฉียวฉีรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ยังไงนี่ก็ถือว่าเป็นงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของคนอื่น ก่อนหน้านี้ตอนทานอาหาร ยังพอมีหลินซงอยู่ด้วย แต่หลังจากที่รับโทรศัพท์ เขาก็บอกว่าต้องไปรับใครสักคนมา จากนั้นก็เดินออกไปเลย
ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาถึงพึ่งจะกลับมานี่เอง
ถ้าพูดตามหลักการแล้ว เธอกับกู้ซือเฉียนถือว่าเป็นแค่แขก ถ้าดาวเด่นของงานยังไม่กลับมา พวกเขาก็ไม่ควรที่จะออกไปก่อน
แต่ตอนนี้มีคนสองคนกลับออกไปก่อนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จะดูยังไงก็น่าอึดอัดอยู่ดี
หลินซงรีบท้วงขึ้นอย่างร้อนรนว่า “ไม่ได้ไปไหนนะ เราแค่ไปเดินดูรอบ ๆ มาเฉย ๆ”
หลังจากที่ชะงักไปชั่วครู่ สายตาของเธอก็เหลือบไปมองหญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านหลังเขา อีกฝ่ายสวมเสื้อลูกไม้เอวลอยสีขาว ด้านล่างสวมกางเกงยีนรัดรูป สะพายกระเป๋าใบเล็ก มัดผมหางม้าพร้อมกับถักเปียที่ปลายผม ดูแล้วช่างอ่อนเยาว์และสดใส
เธออดไม่ได้ที่จะถามพร้อมกับรอยยิ้มว่า “ หลินซงคนคนนี้คือ…..”
พอหลินซงเห็นดังนั้น เขาก็ยิ้มเบา ๆ แล้วตอบว่า “นี่คือ จิงจิงเป็น….”
เขาชะงักไปชั่วขณะ นัยน์ตามีประกายเกิดขึ้นชั่วครู่ ก่อนจะยิ้มแล้วพูดต่อว่า “เป็นลูกสาวของลุงฉันเอง”
จากนั้นจึงเริ่มแนะนำตัวเธอกับหญิงสาวที่ชื่อ จิงจิงว่า “ จิงจิงนี่คือเพื่อนสนิทพี่เฉียวฉีเรียกเธอว่าอะเฉียวก็ได้ ส่วนนั่นก็กู้ซือเฉียนพี่คงไม่ต้องแนะนำแล้วล่ะมั้ง”
จิงจิงก้าวออกมาข้างหน้าพร้อมรอยยิ้มกว้าง
“แน่นอนว่าไม่ต้องค่ะ ชื่อเสียงของ คุณชายสามกู้มีใครในโลกนี้ไม่รู้จักบ้างล่ะคะ”
หลังจากนั้น เธอก็เหลือบไปมองเฉียวฉีและกู้ซือเฉียนพร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ดูเหมือนเราจะมาไม่ถูกเวลาสักเท่าไร คงจะรบกวนเวลาสนุกของทั้งสองคนเข้าแล้ว”
หลินซงมึนงงไปเล็กน้อย ไม่ค่อยเข้าใจว่าเธอพูดเรื่องอะไร
แต่เฉียวฉีรู้ดีจิงจิง ก็ถือเป็นเด็กสาวคนหนึ่ง เธอย่อมมีจิตใจที่ละเอียดอ่อนกว่าเด็กผู้ชายเป็นธรรมดา
ถึงแม้ว่าตอนนี้เธอกับกู้ซือเฉียนจะไม่ได้ทำอะไร แต่จิงจิงก็ยังสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันลึกซึ้งที่อบอวลอยู่รอบ ๆ อยู่ดี
เพราะงั้นใบหน้าของจิงจิงเลยร้อนขึ้นมาทันที ก่อนที่เธอจะพูดขึ้นอย่างอึกอักว่า “เอ่อ งั้นถ้าไม่มีอะไรแล้วพวกเรากลับไปที่โต๊ะกันเถอะ พี่ยังไม่ได้ทานข้าวนี่ใช่ไหม?”
จิงจิง รีบพยักหน้ารัว “ใช่สิ ก็พวกเราต้องแอบออกมาจากบ้านนี่ ไม่ง่ายเลยนะกว่าจะหนีออกมาได้ ให้เอาเวลาไหนไปกินข้าว”
หลินซงที่เพิ่งจะมีปฏิกิริยาตอบกลับ รีบเสริมอย่างร้อนรนว่า “อ้าว พี่ก็ลืมไปเลย รีบไปกินข้าว มานี่ ๆ ๆ มานั่ง ๆ”
ดังนั้น คนทั้งสองจึงเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะด้านหน้าอีกครั้ง
เมื่อคนที่โต๊ะอาหารเห็นพวกเขาเดินกลับไปก็ไม่ได้รู้สึกแปลกอะไร
คนมีความรักก็เป็นแบบนี้เสมอแหละ เห็นลมเป็นฝน ถือเป็นเรื่องปกติ
และเพราะมีสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน ซึ่งที่จริงแล้วทุกคนต่างก็ได้ยินมาไม่มากก็น้อยว่า ที่หลินซงจัดงานฉลองวันเกิดในครั้งนี้ก็เพื่อเด็กสาวคนหนึ่ง
พอได้เห็นสาวสวยคนหนึ่งเดินเข้ามากับเขา จะให้มีอะไรข้องใจอีก
เพราะงั้นทุกคนเลยเริ่มซุบซิบและหยอกล้อกันขึ้นมาทันที
แต่ทว่า สิ่งที่พวกเขายังไม่รู้ก็คือหลินซงนั้นชอบพอเด็กสาว แต่ยังไม่ทันได้บอกให้เจ้าตัวรับรู้เลยน่ะสิ
ตอนนี้ความสัมพันธ์ของเขากับจิงจิง ยังถือว่าเป็นแค่เพื่อนกันทั่วไป เพราะเธอเป็นลูกสาวของคุณลุงด้วย เขาเลยกลัวว่าถ้าเกิดเรื่องอะไรที่ไม่ดีขึ้นมันอาจจะกระทบกับความสัมพันธ์ของทั้งสองครอบครัว เพราะฉะนั้นหลินซงเลยค่อนข้างจะระมัดระวังเวลาอยู่กับเธอ
และเพราะว่าเขารู้สึกรักและทะนุถนอมเธอจริง ๆ เลยกลัวว่าถ้ามีอะไรไม่ดีเกิดขึ้น อาจจะทำให้เธอรู้สึกไม่ชอบและไม่พอใจได้
ดังนั้น จนถึงตอนนี้เขาเลยยังไม่เคยบอกความในใจกับอีกฝ่ายเลยสักครั้ง
แต่ตอนนี้ ทุกคนล้วนให้ความสนใจพวกเขา อีกอย่างผู้คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนเคยเดินเที่ยวอยู่กลางทุ่งดอกไม้มานาน มีหรือที่จะเล่นมุกหยอกล้อกันไม่เป็น?
เพราะงั้นทั้งหนักทั้งเบา ทุกคนล้วนพูดหยอกล้อกันขึ้นมา ทำให้ตอนนี้หน้าของหลินซงก็เริ่มเปลี่ยนสี
เขาทำได้แค่ยกแก้วขึ้นดื่มเบา ๆ เพื่อเป็นการขอร้องแบบอ้อม ๆ ให้ทุกคนโปรดเมตตาเขาไว้หน่อย ซึ่งวิธีนี้ก็เป็นวิธีที่ผู้ชายด้วยกันพอจะเข้าใจได้
เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องแบบที่ยังไม่ทันได้เริ่มจีบ สาวน้อยก็ถูกเจ้าเพื่อนพวกนี้ทำให้ตกใจหนีไปเสียก่อน
แต่จริง ๆ แล้วสิ่งที่ทุกคนทำก็ไม่ใช่ว่ามีเจตนาไม่ดีอะไร
ความหมายก็คงประมาณว่าอยากจะช่วยเขาลองเชิงด้วยเช่นกันเท่านั้น
อย่างแรก คือทุกคนไม่รู้ว่าหลินซงรู้สึกกับเด็กสาวคนนี้มากน้อยขนาดไหน พวกเขาเลยอยากเห็นความรู้สึกของชายหนุ่มชัด ๆ ผ่านเรื่องที่พวกเขาหยอกล้อกัน แบบนี้จะได้รู้ว่าต่อไปพวกเขาควรจะใช้ท่าทีแบบไหนในการเผชิญหน้ากับเด็กสาวคนนี้
อย่างที่สอง ก็คือแค่อยากลองเชิงดูท่าทีเด็กสาวที่มีต่อหลินซงเฉย ๆ เพราะถึงอย่างไร คำพูดหยอกล้อคลุมเครือเหล่านั้น ส่วนใหญ่ก็หมายถึงเธอกับหลินซง
ถ้าอีกฝ่ายสนใจหลินซงขึ้นมาจริง ๆ บางทีนี่อาจจะกลายเป็นเรื่องดี ๆ ที่ช่วยหลินซงเลยก็ได้ แล้วทำไมพวกเขาจะไม่ทำล่ะ?
เพราะงั้น ทุกคนก็เลยกินข้าวกันแค่ประมาณหนึ่งชั่วโมง แต่เรื่องหยอกล้อกลับพูดกันไม่หยุด
ปกติพวกเขาหยอกล้อกันเก่งอยู่แล้ว ก็เลยมีมุกใหม่ ๆ ไม่ซ้ำมาหยอกล้อกันตลอด ทั้งหนักทั้งเบา ทำให้คนฟังถึงกับไปไม่เป็นเลยทีเดียว
พอเป็นแบบนี้ ข้าวมื้อนี้ก็เลยทานกันอย่างสนุกสนานและผ่อนคลาย
เฉียวฉีเองก็เฝ้ามองดูอยู่ด้านข้างอย่างเงียบ ๆ โดยที่ไม่ได้พูดแทรกอะไร
อันที่จริง จากความรู้สึกของเธอแล้ว เธอก็รู้สึกว่าเด็กสาวคนนี้ก็อาจจะชอบพอหลินซงอยู่เช่นกัน
ถึงแม้จะบอกไม่ได้ว่ารู้สึกมากขนาดไหน แต่ถ้าเป็นเรื่องความรู้สึกดี ๆ ยังไงก็มีแน่
แต่น่าเสียดาย นึกไม่ถึงเลยว่าผู้ชายซื่อบื้ออย่างหลินซงจะดูไม่ออก ถึงขนาดคิดว่าอีกฝ่ายจะไม่ยินยอม จนต้องใช้วิธีแบบมีเล่ห์เหลี่ยมเชิญเธอมา
เธอได้แต่ถอนหายใจ จากนั้นส่ายหน้าไปมาอยู่ในใจ
คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน
ถึงแม้จะบอกว่านี่เป็นวิธีที่ค่อนข้างโง่ แต่ก็ถือว่าได้แสดงความจริงใจออกมามากพอ
ไม่แน่ว่าอีกฝ่ายอาจจะชอบความรู้สึกจริงใจของเขาแบบนี้ก็ได้
ตัวเธอเองก็เป็นแค่คนนอก พออยู่ในสถานการณ์ที่ไม่จำเป็นแล้ว ก็ปล่อยให้ทั้งสองคนได้พัฒนากันต่อเองแล้วกัน เดี๋ยวถ้าเธอทำอะไรพลาดขึ้นมา กลายเป็นว่าไปเพิ่มปัญหาให้หลินซงอีกจะทำยังไง?
พอคิดได้ดังนี้เฉียวฉีก็เลยเก็บคำพูดที่คิดจะบอกหลินซงเหล่านั้นออกไปจนหมด
เธอยกแก้วขึ้นดื่มไปหนึ่งอึก คาดไม่ถึงว่าพอหันไปอีกทาง ก็เห็นกู้ซือเฉียนกำลังมองตัวเธออย่างเงียบ ๆ อยู่
สายตาแบบนั้น ทั้งลึกซึ้งทั้งเร่าร้อน มองแล้วทำให้ใจของเธอกระตุกขึ้นมาทันที
มือที่กำลังจะยกแก้วของเฉียวฉีเกร็งขึ้นมาทันที วินาทีนั้นสีหน้าของเธอเริ่มหม่นแสงลง
เธอขมวดคิ้ว ก่อนจะจ้องเขม่นไปที่เขาหนึ่งที
นัยน์ตาที่ปราดเปรียวคู่นั้นราวกับจะบอกเธอว่า มองอะไร? ถ้ายังมองอีกระวังผมจะกินคุณ!
ตอนแรกเธอนึกว่าด้วยสถานการณ์นี้ชายหนุ่มจะเก็บอาการสักหน่อย คาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายนอกจากจะไม่มีการเก็บอาการแล้ว ซ้ำยังส่งยิ้มอ่อน ๆ มาให้เธอด้วย
เฉียวฉีเริ่มโมโห
โชคดีที่ในที่สุดเขาก็ถอนสายตาจากเธอ จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดบางอย่างบนหน้าจอ
เฉียวฉีเหนื่อยใจเกินกว่าจะจัดการเขา
เธอหันหน้ากลับมา กำลังเตรียมตัวจะพูดกับ จิงจิงสักสองสามประโยค แต่ยังไม่ทันได้เริ่ม เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นพอดี
เธอขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ระหว่างที่ยกโทรศัพท์ขึ้นมาดูก็เห็นกู้ซือเฉียนกำลังจ้องเธออยู่ คิ้วของเธอเลยยิ่งขมวดแน่นกว่าเดิม
ตอนนี้เธอเริ่มจะรู้สึกไม่ชอบใจสายตาที่เอาแต่จ้องตัวเองแบบนี้แล้ว
แต่ถึงอย่างไร ตอนนี้เฉียวฉีก็เหนื่อยใจเกินกว่าจะจัดการเขาจริง ๆ
เธอเลยทำเพียงแค่หยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมาดู ทันใดนั้นนัยน์ตาของเธอก็เบิกกว้างขึ้น
หน้าจอโทรศัพท์ปรากฏแค่ข้อความที่เพิ่งส่งมาจากกู้ซือเฉียน
“แววตาแบบนี้ของคุณน่ารักจริง ๆ”
เฉียวฉี “……???”
ในตอนนี้เธอรู้สึกราวกับว่ามีก้อนเลือดกำลังจุกอยู่ที่อกเธอ จนเธออยากจะพ่นมันออกมาเสียเดี๋ยวนี้
พ่นใส่หน้าเขา!
เฉียวฉีรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้น่าเบื่อจริง ๆ พูดตรง ๆ คือน่าเบื่อที่สุดเลย
เธอจึงเหนื่อยใจที่จะตอบเขา ก็เลยถือโอกาสเก็บโทรศัพท์ไว้ที่เดิม ตั้งใจทำทีราวกับว่าไม่เห็นข้อความ
คาดไม่ถึงว่า อีกฝ่ายจะยังหยิบโทรศัพท์ออกมาพิมพ์อะไรบางอย่างต่อ