เพียงครู่เดียว โทรศัพท์มือถือของเฉียวฉีก็ดังขึ้นอีกครั้ง
เธอขมวดคิ้ว ตอนแรกก็ไม่อยากจะสนใจ แต่สุดท้ายเธอก็ทนสายตาแวววาวของชายหนุ่มข้าง ๆ ไม่ไหว เลยทำได้แค่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูอีกครั้ง
พอเปิดดู หน้าจอก็ปรากฏเป็นข้อความอีกอัน
“ผมผิดไปแล้ว”
เธอชะงักไปชั่วครู่
จากนั้นก็ขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม
เธอหันไปมองชายหนุ่ม ก่อนจะเห็นว่าเขากำลังมองมาทางเธออย่างเคร่งขรึม นัยน์ตาที่ปกติแลดูเย็นชาและเฉยเมย วินาทีนี้ถูกเขาเก็บซ่อนไว้จนหมด เหลือเพียงนัยน์ตาที่จ้องมองเธออย่างออดอ้อนและน่าสงสาร แวววาวราวกับลูกสุนัขตัวน้อยก็ไม่ปาน
หัวใจของเฉียวฉีกระตุก
รู้สึกแปลกประหลาดราวกับถูกขนนกเส้นหนึ่งพัดผ่านไปอย่างแผ่วเบา ทำให้หัวใจเธอคันยุบยิบเล็กน้อย
เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าชายหนุ่มหมายถึงอะไร หรือเขาแค่ต้องการจะแกล้งทำตัวน่าสงสารต่อหน้าเธองั้นเหรอ?
เหอะ เธอไม่มีทางหลงกลอะไรแบบนี้หรอกนะ
พอคิดได้ดังนี้เฉียวฉีก็เก็บโทรศัพท์กลับไปเหมือนเดิม ตั้งใจทำเป็นมองไม่เห็นอีกครั้ง
พอกู้ซือเฉียนเห็นว่าวิธีนี้ใช้ไม่ได้ผล คิดไปคิดมา ทันใดนั้นเขาก็หยิบเอาไม้จิ้มฟันที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมา แล้วก็ค่อย ๆ เรียงไม้จิ้มฟันตรงหน้าตัวเองทีละนิด
เพราะคนอื่น ๆ มัวแต่สนใจหลินซงกับจิงจิง อยู่ เลยไม่มีใครสังเกตเห็นท่าทีที่ผิดปกติของเขา
ถึงอย่างไรทุกคนก็รู้จักเขากันหมด แถมยังรู้ดีด้วยว่าบุคลิกเขาเป็นคนยังไง งานแบบนี้แค่ตัวเขามาร่วมด้วยก็ถือว่าเกินพอแล้ว ถ้าหวังจะให้เข้าไปร่วมวงสนทนาด้วยแบบนั้นคงจะเป็นไปไม่ได้
ดังนั้น จึงไม่มีใครสังเกตเห็นเลยว่าเขากำลังทำอะไรอยู่
แต่เฉียวฉีสังเกตเห็นแล้ว
เพียงแค่เพราะเธอเห็นแก่หน้าเขา จึงไม่ได้จ้องมองแบบจริงจังเท่าไร เธอทำเพียงแค่เหลือบมองเป็นระยะเท่านั้น
ก่อนจะเห็นว่าเขาไม่ได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความ แต่กำลังนั่งก้มหน้าก้มตาวางไม้จิ้มฟัน เธอเลยนึกว่าเขากำลังเล่นมันอยู่
ในใจจึงแอบยิ้มออกมาเบา ๆ ผู้ชายคนนี้ยิ่งโตแต่กลับยิ่งเด็กลง นึกไม่ถึงเลยว่าจะยังเล่นไม้จิ้มฟันอยู่ คิดว่าตัวเองเป็นเด็กสามขวบรึไงนะ?
ถึงอย่างนั้นเธอก็เหนื่อยเกินกว่าที่จะสนใจเขา ถ้าเขาอยากจะเล่นก็ปล่อยให้เขาเล่นไป ขอแค่ไม่มาก่อความวุ่นวายให้ตัวเธอ เธอจะต้องแคร์อะไรอีก?
เฉียวฉีคิดได้ดังนี้ ก็ไม่ได้สนใจเขาต่อ พลางปล่อยเขาไป
แต่ทว่า ผ่านไปสักพัก เธอก็รู้สึกว่ามีใครบางคนมาสะกิดเบา ๆ ที่ข้อศอก
เธอขมวดคิ้วขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว พร้อมกับจ้องเขม็งไปที่ชายหนุ่มอย่างเหลืออด พยายามเตือนเขาด้วยสายตาว่าอย่ามายุ่งกับเธออีก
คาดไม่ถึง ชายหนุ่มไม่ได้ทำอะไรเธอต่อ เขาเพียงแค่ชี้นิ้วไปยังไม้จิ้มฟันบนโต๊ะตรงหน้า เป็นท่าทางบอกให้เธอมองดู
เฉียวฉีมองตาม ทันใดนั้นตัวของเธอก็แข็งทื่อขึ้นมาทันที
บนโต๊ะปรากฏรูปไม้จิ้มฟันที่เขาจัดวางเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษเอาไว้ว่า G LOVE Q
คนอื่นอาจจะไม่รู้ว่า G LOVE Q หมายถึงอะไร แต่เธอจะไม่รู้ได้ยังไง?
G ก็คือกู้ซือเฉียน Q ก็คือเฉียวฉี?
ผู้ชายคนนี้…..
ในใจของเธอเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธ ราวกับเป็นลูกโป่งลูกหนึ่ง ที่ในวินาทีนั้นถูกเข็มเจาะจนเหี่ยวเฉาลงมากับตา
ตอนนี้เธอทั้งโกรธและตลกไปพร้อมกัน
กู้ซือเฉียนไม่เพียงแต่จะทำให้เธอยิ้มกว้างออกมาได้เท่านั้น แต่เขายังทำให้เฉียวฉีโมโหจนอย่างจะยื่นมือออกไปทุบเขาอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม เป็นเพราะสถานการณ์ที่ไม่อำนวย แถมยังมีคนอยู่เยอะ เธอเลยต้องข่มอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่านเอาไว้
ก่อนจะทำเพียงแค่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ข้อความเบา ๆ
“อย่าทำอะไรที่มันไร้ประโยชน์เลย ต่อให้คุณจะพยายามมากขนาดไหนฉันก็ไม่มีทางตอบตกลงหรอก เพราะฉะนั้นถอดใจไปเสียเถอะ!”
พิมพ์เสร็จเธอก็กดส่ง
ครู่เดียวเสียงโทรศัพท์ของกู้ซือเฉียนก็ดังขึ้น เขารีบหยิบออกมาเปิดดูทันที
ถึงแม้ว่าเฉียวฉีจะกดส่งข้อความออกไปแล้ว แต่หางตาของเธอก็ยังคอยสังเกตสีหน้าของเขาอยู่ตลอด
เธอเห็นสีหน้าของชายหนุ่ม ตั้งแต่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูอย่างอารมณ์ดี จนถึงตอนที่เขาเห็นเนื้อหาของข้อความ นัยน์ตาคู่นั้นค่อย ๆ หม่นแสงลง ไม่รู้ทำไม แต่อยู่ ๆ ในใจเธอก็รู้สึกเหมือนกับรับไม่ได้ขึ้นมา
เฉียวฉีมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อความรู้สึกนั้นทันที
เธอกำลังทำอะไรน่ะ?
ตอนนี้เธอรู้สึกเห็นใจผู้ชายคนนี้งั้นเหรอ?
เหอะ น่าขำชะมัด เขาน่ะเหรอต้องการความเห็นใจ?
ตอนนี้ผู้ชายคนนี้กำลังใช้แผนทำตัวน่าสงสารกับเธออยู่ ถ้าเธอหลงกลเขาไปจริง ๆ ทั้งเห็นใจเขา ให้อภัยเขา เธอก็คงได้กลายเป็นคนที่โง่ที่สุดจริง ๆ แน่
พอคิดมาถึงจุดนี้เฉียวฉีก็เก็บโทรศัพท์แล้วก็ไม่สนใจเขาอีก
อาจเป็นเพราะว่าโดนปฏิเสธซ้ำอีกครั้ง ทำให้หัวใจของชายหนุ่มนั้นเสียความรู้สึกไปไม่มากก็น้อย เพราะงั้น ในเวลาต่อมากู้ซือเฉียนก็เลยไม่ได้ก่อกวนอะไรหญิงสาวอีกเลย
หลังจากที่ทานอาหารกลางวันเสร็จ ช่วงบ่าย ทุกคนก็พากันเซ้าซี้ว่าอยากให้ไปร้องเพลงด้วยกันต่อ
หลินซงก็มีความกระตือรือร้นอยากจะไปเหมือนกัน แต่ติดตรงที่ยังมี จิงจิงอยู่ด้วย ถ้าตอบตกลงไปเลยก็อาจจะดูไม่ดี เพราะงั้นเขาเลยต้องถามความคิดเห็นเธอก่อน
คาดไม่ถึงว่าจิงจิง เองก็เป็นคนใจกว้างใช่ย่อย เธอสะบัดผมพร้อมกับตอบว่า “ไปสิ ทำไมจะไม่ไป? วันนี้วันเกิดพี่ไม่ใช่เหรอ? ถ้าไม่ฉลองกันตอนนี้จะรอไปจนถึงครั้งหน้ารึไง?”
หลินซงได้ยินแบบนั้น ก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุขทันที
พร้อมกับตอบรับเธออย่างรีบร้อนเลยว่า “ตกลง งั้นเดี๋ยวทางนี้พี่จัดการเอง”
ท่าทางราวกับสุนัขที่คอยวิ่งรับเจ้านายแบบนี้ ทำให้เพื่อน ๆ ที่อยู่โดยรอบถึงกับต้องส่ายหน้าไปตาม ๆ กัน
“จบแล้วหลินซงแต่ก่อนเป็นถึงนายน้อยของบ้านตระกูลร่ำรวย แต่ตอนนี้กลับกลายมาเป็นทาสรับใช้ใต้กระโปรงสาวงาม ใครมาเห็นก็คงได้แต่ทอดถอนใจล่ะนะ”
“เฮ้อ นี่ยังไม่เข้าใจกันอีกเหรอ? นิสัยที่เห็นของดีแล้วลืมทุกอย่างของพี่ซงนี่ มันคือการสืบทอดทางพันธุกรรมกันมาเลยนะ”
พอมีคนพูดขึ้นมาแบบนี้ ทุกคนก็พาลนึกไปถึงคู่สามีภรรยาผู้เป็นบุพการีของหลินซงจากนั้นก็พากันตัวสั่นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
ไม่ใช่อะไรหรอก แค่ต้องเหม็นความรักจนเอียนก็แค่นั้น
เนื่องจากเป็นกลุ่มคนท้องที่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นเกือบทุกคนที่นี่ล้วนมีการติดต่อไปมาหาสู่กันตลอด จะแตกต่างก็แค่ระดับความสนิทสนมเท่านั้นเอง
แต่ไม่ว่าจะสนิทมากหรือสนิทน้อย แค่ได้เจอกับบุพการีของหลินซงก็เป็นอันต้องมีอาการเหม็นความรักตาม ๆ กันไป
ซึ่งความรักที่ว่า ก็เป็นความรักของพวกเขาคู่สามีภรรยาที่มีให้กันมากว่าสามสิบปี ถ้าไม่บอกล่ะก็ คงนึกว่าเป็นคู่รักที่เพิ่งจะเริ่มจับมือกันเมื่อวานเสียอีก
พอคิดได้ดังนี้ ทุกคนก็พอจะรับได้บ้างกับท่าทางราวกับสุนัขวิ่งตามเจ้านายของหลินซงที่มีต่อ จิงจิง
ผ่านไปไม่นานหลินซงก็จัดการเสร็จเรียบร้อย ซึ่งห้องก็อยู่แค่ชั้นบนสุดของโรงแรมนี้นี่เอง
แน่นอนว่าคนอื่น ๆ อีกหลายคนไม่ได้ไปด้วย ที่ไปก็มีเพียงแค่กลุ่มเพื่อนสนิทที่ร่วมโต๊ะอาหารกับพวกเขาเท่านั้น
แต่เพราะเฉียวฉีทำได้แค่กินข้าวกับเพื่อน เธอดื่มแอลกอฮอล์ไม่ได้ ส่วน KTV ถ้าเธอไปแล้วไม่ดื่มอะไรเลยก็อาจจะทำให้หมดสนุก
อีกอย่างเพราะกู้ซือเฉียนเห็นว่าเท้าของเฉียวฉีตอนนี้ก็เริ่มบวมขึ้นมาแล้วเล็กน้อย ก็เลยยิ่งไม่อยากให้เธอต้องออกไปเดินข้างนอกต่อ ในใจก็คิดแต่จะพาเธอกลับไปโรงพยาบาลให้หมอตรวจ
ดังนั้นเขาเลยตัดสินใจปฏิเสธคำเชิญของหลินซงที่ชวนไป KTV
พอหลินซงเห็นดังนั้นก็ไม่ได้บังคับอะไร เขาทำเพียงแค่บอกลาคนทั้งคู่ จากนั้นก็พาคนอื่น ๆ ไปร้องเพลงและสังสรรค์ต่อ
กู้ซือเฉียนก็เลยพาเฉียวฉีกลับปราสาททันที
พอถึงปราสาทก็เป็นเวลาบ่ายสองโมงพอดี
เมื่อเฉียวฉีกลับมาถึงบ้าน พระอาทิตย์ด้านนอกกำลังส่องแสงเป็นประกาย แม้ว่าเธอจะนั่งอยู่แต่ในรถ แต่พอลงจากรถกลับเข้าห้อง เธอก็อดที่จะเหงื่อออกไม่ได้
กู้ซือเฉียนก็กลับเข้าห้องเขาตามปกติ เธอเองก็กลับเข้าห้องเธอ
ในใจก็คิดว่า เวลาก็ยังพอมี ตอนนี้ก็ยังไม่มีเรื่องอะไร น่าจะพอพักได้สักหน่อย
แต่เฉียวฉีเป็นคนที่รักษาความสะอาดอยู่เสมอ เธอมีเหงื่อออกจนเหนียวเหนอะหนะขนาดนี้ต้องนอนไม่ได้แน่ ๆ ดังนั้นเธอก็เลยเตรียมตัวที่จะไปอาบน้ำก่อน
เธอค่อย ๆ ถอดเสื้อผ้าออก จากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องน้ำ
ตอนนี้บาดแผลภายนอกตามร่างกายดีขึ้นมากแล้ว เพราะฉะนั้นการอาบน้ำก็เลยไม่ค่อยมีอุปสรรคเท่าไร
เฉียวฉีในตอนนี้กำลังแช่น้ำในอ่างอย่างใจจดใจจ่อ ปล่อยให้ร่างกายเพลิดเพลินไปกับความผ่อนคลายที่ถูกห่อด้วยน้ำอุ่น ๆ