หลังจากที่เฉียวฉีพูดจบประโยค ใบหน้าที่ซีดเซียวของหลินซงอยู่ ๆ ก็แดงขึ้นมาทันที
เขาได้แต่อึกอัก ไม่รู้จะยอมรับหรือปฏิเสธดี
เพราะกลัวว่าถ้ากระโตกกระตากเกินไป จากที่จิงจิงจะเขินอาจกลายเป็นโกรธ แล้วหนีเขาไปเลยก็ได้
ต่อไปแม้แต่ความเป็นเพื่อนก็อาจจะมีให้กันไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
เพราะงั้น เขาก็เลยรู้สึกร้อนรนขึ้นมาทันทีหลังจากที่ได้ยินเฉียวฉีพูดออกมาตรง ๆ
เขารีบหันกลับไปมองหน้า จิงจิงก่อนจะเห็นว่าเธอไม่ได้มีสีหน้าโกรธเคืองเลยสักนิด ตรงกันข้ามเธอกลับยิ้มออกมาเบา ๆ พร้อมกับมองเขาอย่างเจ้าเล่ห์
“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เองพี่เฉียวเฉียวไม่บอก ฉันก็ไม่รู้เลยนะคะเนี่ย”
พอเห็นว่าเธอไม่ได้โกรธ เลยถอนหายใจออกมาเบา ๆ อย่างโล่งอก ก่อนจะพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “จิงจิงพี่…ไม่ใช่ว่าพี่จะจีบเธอพี่ถึงให้ของเธอนะ พี่ พี่คิดว่าเธอน่ะดีจริง ๆ ขนาดของที่ดีที่สุดยังไม่คู่ควรกับเธอเลย พี่……”
เขาพูดไปพูดมา ก็แทบอยากจะกัดลิ้นตัวเองให้ขาดเสียตรงนั้น
ปกติพูดเก่งไม่มีใครเกิน แต่พอถึงช่วงสำคัญ ทำไมมาพูดติด ๆ ขัด ๆ แบบนี้นะ?
เขานี่มันโง่จริง ๆ !
“ฮ่าฮ่า” พอเห็นท่าทางลุกลี้ลุกลนของเขาจิงจิง ก็ทนไม่ไหว สุดท้ายก็หลุดขำออกมา
“เอาเถอะ ฉันรู้สิ่งที่อยู่ในใจพี่แล้ว”
เธอหยุดไปชั่วครู่ ก่อนจะพูดต่อด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มว่า “ฉันก็ยังไม่ได้ว่าอะไรเลย จะร้อนรนไปทำไม? ไว้ดูความประพฤติของพี่แล้วกันนะ”
พูดจบ เธอก็หันหน้ากลับไป แล้วก็ไม่มองเขาอีกเลย
หลินซงมึนงงไปชั่วขณะ
รู้สึกเหมือนกับยังตามไม่ทันความหมายที่เธอสื่อ
เฉียวฉีเห็นแล้วก็แอบหงุดหงิดเบา ๆ คนคนนี้ ปกติก็ดูมีสติดี แต่ทำไมพอถึงช่วงสำคัญกลับกลายเป็นคนซื่อบื้อแบบนี้ไปได้นะ?
เธอรีบสะกิดไปที่ข้อศอกเขาเบา ๆ หลังจากที่รอให้เขาหันมาสบตาแล้ว เธอก็ส่งสายตาไปให้ทันที
หลินซงกับเฉียวฉีถือว่ารู้จักกันมานาน เพียงแค่มองตากัน เขาก็เข้าใจได้ทันทีว่าเธอหมายถึงอะไร
ความสุขอันมากล้นพุ่งขึ้นมาในใจเขาทันที
ท่าทางแบบนั้นของเธอ หมายความว่า เธอไม่ได้ปฏิเสธเขา?
แค่เพราะพวกเราเพิ่งจะรู้จักกันไม่นาน ดังนั้นก็เลยยังอยู่ในช่วงศึกษากันอยู่?
ยังมีหวัง!
หลินซงยิ้มออกมาด้วยความยินดี ราวกับเขาได้กินยาที่ทำให้ใจสงบ ก่อนจะนั่งตัวตรงอย่างผ่อนคลาย
วินาทีนั้น เขาอดไม่ได้ที่จะก้มหน้าลงแล้วเอนตัวไปทาง จิงจิงพร้อมกับพูดกับเธอว่า “เธอไม่ต้องห่วง พี่จะพยายาม”
จิงจิงไม่ได้ตอบอะไร
แต่ถ้ามองจากมุมมองของเฉียวฉีจะเห็นได้ชัดเลยว่า มุมปากของเด็กสาวยกขึ้นมาเบา ๆ อย่างมีความสุข
เธอแอบพยักหน้าเล็กน้อย ดูท่าแล้ว ความรู้สึกที่เธอมีต่อหลินซงคงไม่ใช่ว่าไม่มีความหมายเลยสินะ
มีใจตรงกัน ดั่งกิ่งทองใบหยก ดีจริง ๆ
ในใจแอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ จากนั้นเฉียวฉีก็หันหน้ากลับมา พร้อมกับนั่งตัวตรง เพ่งความสนใจไปทางเวที
ก่อนจะเห็นว่ากำไลหยกบนเวทีคู่นั้นเพิ่งถูกประมูลไป
ราคาก็ถือว่าไม่ได้ต่ำมาก แต่ก็ไม่ได้สูงเช่นกัน การซื้อกำไลหยกคู่ละสิบหกล้านนั้น ไม่ใช่จะดูแค่คุณภาพความบริสุทธิ์ เพราะส่วนที่สำคัญจริง ๆ คือเรื่องราวเบื้องหลังของกำไลต่างหาก
เธอมองดูด้วยความสงบ แต่ทันใดนั้น อยู่ ๆ ก็มีมือมือหนึ่งยื่นมาที่ด้านข้างของเธอ
ทันทีที่เธอร่างกายเธอรับรู้ เธอก็เตรียมหดมือเข้าหาตัวทันที แต่อีกฝ่ายกลับเคลื่อนไหวเร็วกว่า เขารีบคว้ามือเธอเอาไว้
เฉียวฉีขมวดคิ้ว ก่อนจะหันไปมองกู้ซือเฉียนพร้อมกับกระซิบกับเขาเบา ๆ ว่า “จะทำอะไร?”
สีหน้าของกู้ซือเฉียนดูไม่ค่อยดี
แลดูบูดบึ้ง หากมองดี ๆ ก็อาจจะเห็นความน้อยใจเล็ก ๆ ที่แฝงเอาไว้ในแววตาคู่นั้น
คิ้วของเฉียวฉีขมวดแน่นกว่าเดิม
ผู้ชายคนนี้นี่ ตอนแรกก็ยังดี ๆ อยู่เลย จะมาน้อยใจอะไร?
เธอแอบสังเกตเห็นว่า ตั้งแต่งานวันเกิดของหลินซงครั้งก่อน หลังจากที่ชายหนุ่มได้เข้ามาอ้อนเธอ เขาก็รู้แล้วว่าวิธีนี้ค่อนข้างได้ผล เพราะงั้นเขาเลยเหมือนจะชอบมันเข้าแล้ว
คงคิดจริง ๆ ว่าเธอจะใจอ่อนไม่ทุบเขาแล้วรึไง?
มือของเฉียวฉีถูกเขากุมเอาไว้ แทบจะขยับไม่ได้ ส่วนมืออีกข้างก็แอบกำหมัดเล็ก ๆ เบา ๆ
ดวงตาคู่สวยจ้องมองเขาอย่างดุดัน
แต่ทว่า ชายหนุ่มกลับไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย
ในแววตาเริ่มมีน้ำใส ๆ รื้นขึ้นมา เพิ่มความน้อยอกน้อยใจเข้าไปอีก
เฉียวฉี “……”
เอาเถอะ เธอยอมรับ เธอแพ้ลูกไม้แบบนี้ เธอไม่กลัวผู้ชายโวยวาย แต่กลัวผู้ชายขี้อ้อนต่างหาก
ถึงอย่างไร ก็คงไม่มีใครรับความรู้สึกที่เสือร้ายตัวหนึ่งเข้ามาอ้อนอยู่ในอ้อมกอดไหวหรอก
เฉียวฉีสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ พยายามข่มไฟที่กำลังสุมอยู่ในใจ ก่อนจะเอ่ยถามเขาเสียงต่ำว่า “เป็นอะไร?”
กู้ซือเฉียนตอบกลับด้วยความน้อยใจว่า “ทำไมคุณคุยแต่กับหลินซงไม่คุยกับผมเลย?”
เฉียวฉี “???”
เธอรู้สึกตลกขึ้นมานิดหน่อย ก่อนจะถามเขาว่า “คุณจะให้ฉันคุยอะไรด้วย?”
กู้ซือเฉียนชะงักไป นัยน์ตามีประกายของความตกใจผ่านไปแวบหนึ่ง
“อะเฉียว ที่แท้ในสายตาคุณ สำหรับผมมันถึงขั้นที่ไม่มีอะไรจะพูดด้วยแล้วเหรอ?”
เฉียวฉี “……”
ไม่ได้ ยังไงเธอก็ยังอยากทุบคนอยู่ดี
โชคดี ขณะที่หญิงสาวกำลังพยายามข่มอารมณ์ ทันใดนั้นของประมูลชิ้นใหม่ก็ถูกนำขึ้นมาบนเวทีพอดี
แสงไฟในห้องโถงสว่างขึ้นเล็กน้อย สายตาของทุกคนถูกดึงดูดให้มองไปยังเบื้องหน้าทันที
ก่อนจะเห็นว่าสิ่งที่ถูกเข็นขึ้นมาบนเวทีช้า ๆ คือเกราะผ้าไหมสีทองอร่ามที่มีลวดลายโบราณและเก่าแก่นูนขึ้นมา
ถ้าบอกว่าเป็นเสื้อเกราะ ก็คงผิดไปหน่อย เพราะถ้าพูดให้ถูกก็มันน่าจะเป็นเสื้อกั๊กผ้าไหมสีทองมากกว่า
จากนั้นพิธีกรสาวบนเวทีก็แนะนำเสื้อตัวนี้อย่างเป็นมืออาชีพว่า “เสื้อเกราะแบบอ่อนสีทองอร่ามนี้ถูกค้นพบในราชวงศ์หมิง มีคุณสมบัติในการป้องกันคมดาบและกระสุนปืน ถือเป็นสมบัติส่วนตัวของจักรพรรดิในสมัยโบราณ ในช่วงที่สำคัญที่สุดของชีวิต มันจะสามารถปกป้องคุณไว้ได้”
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ในวินาทีนั้นเฉียวฉีรู้สึกราวกับการรอคอยนั้นมาถึงเวลาที่เหมาะสมแล้ว
ทันทีที่เริ่มประมูล เธอก็หยิบป้ายหมายเลขขึ้นมาแล้วก็เริ่มเสนอราคาทันที
แต่ทว่า กลับมีอีกหนึ่งคนที่เสนอราคาขึ้นมาพร้อมกับเธอเช่นกัน
เสียงที่ดังมาจากข้าง ๆ ลอยเข้ามาในหูเธอ “สิบล้าน”
เธอหันไปมองก่อนจะสบตาเข้ากับกู้ซือเฉียน
ทั้งสองมองหน้ากันเงียบ ๆ อยู่เพียงไม่กี่วิ ในที่สุดเฉียวฉีก็ค่อย ๆ วางป้ายหมายเลขลง
เพราะสำหรับคนธรรมดาทั่วไปเสื้อเกราะอ่อน ๆ ตัวนี้ เหมาะแก่การชื่นชมมากกว่าใช้งานจริง เวลาปกติใครที่ไหนจะใส่เสื้อเกราะอ่อน ๆ ไปทำงานกัน
ดังนั้น ต่อให้ทุกคนจะรู้ว่าของสิ่งนี้มีค่ามาก นอกจากจากนักสะสมของบางคนที่สู้ราคาแล้ว ก็ไม่มีใครต่อรองราคาเพิ่มอีกเลย
และแน่นอนว่า ถ้าเข้ามาสู้ราคากันแล้ว ยังไงก็สู้กู้ซือเฉียนไม่ได้อยู่ดี
ดังนั้น เสื้อเกราะอ่อนในราคาสามสิบล้านตัวนี้ จึงถูกกู้ซือเฉียนประมูลไปได้
ของถูกส่งไปยังด้านหลังเวที รองานจบเพียงครู่เดียว หลังจากหักเงินกันเรียบร้อยของก็จะถูกส่งจากในงานเข้ามาสู่มือเขาทันที
บรรยากาศกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง
ด้านบนเวที พิธีกรได้เริ่มเรียกของประมูลอีกชิ้นขึ้นมาแล้ว
แต่ในใจของเฉียวฉีกลับรู้สึกสับสนอย่างประหลาด
อันที่จริง เมื่อครู่เธอรู้สึกเหมือนหัวใจกระตุกไปเล็กน้อย ที่เธอเข้าร่วมการประมูลเพราะเธอคิดว่าสมบัติชิ้นนั้นทั้งยิงทั้งฟันไม่เข้า ถึงแม้ว่าจะไม่มีประโยชน์สำหรับคนทั่วไป แต่มันคงจะเป็นประโยชน์มากสำหรับคนอย่างกู้ซือเฉียน
เพราะถึงอย่างไร ตัวตนของเขาก็ถือว่าค่อนข้างซับซ้อน แถมยังต้องเผชิญหน้ากับอันตรายตลอดเวลา
ใครจะไปรู้ว่าตลอดหลายปีมานี้ ศัตรูที่ซ่อนตัวแล้วคอยชี้ปลายมีดมาทางเขาทั้งจากข้างหลังและรอบตัวจะมีกันสักกี่คน?
ถ้าจะให้เปรียบเทียบ ก็คงเหมือนกับตอนนั้นตอนที่เธอกับกู้ซือเฉียนยังคบกัน ตอนที่กลุ่มมังกรกำลังยิ่งใหญ่ เธอถึงกับเคยเห็นกู้ซือเฉียนถูกลอบสังหารถึงสี่ครั้งด้วยตาตัวเองมาแล้ว