ตลอดสี่ปีที่ผ่านมากลุ่มมังกรมีทั้งความวุ่นวายและพ่ายแพ้มาตลอดทาง ส่วนสถานการณ์ในประเทศก็ค่อนข้างซับซ้อนเพราะความขัดแย้งระหว่างตระกูลกู้และตระกูลลู่
เส้นทางของเขายิ่งต้องยากและอันตรายมากขึ้นอยู่แล้ว
เพราะงั้น ถ้าไม่พูดถึงอย่างอื่น แค่มีของชิ้นนี้อยู่ด้วย อย่างน้อยบางครั้งมันก็อาจจะช่วยรับประกันความปลอดภัยของเขาไว้ได้บ้าง
ในใจของเฉียวฉีกำลังคิดเรื่องนี้วกไปวนมา ทันใดนั้น ก็มีฝ่ามืออันอบอุ่นค่อย ๆ ยื่นออกมากุมมือเธอไว้เงียบ ๆ อีกครั้ง
ราวกับว่าหัวใจของทั้งสองกำลังสื่อถึงกัน ทั้งคู่หันหน้ากลับมาช้า ๆ ก่อนจะสบตากันอีกครั้ง
ในขณะเดียวกันก็มองเห็นสีหน้าที่แสดงออกทั้งอารมณ์และความรู้สึกผูกพันผ่านแววตาของอีกฝ่าย
เฉียวฉีชะงักไปชั่วครู่
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่ในวินาทีนั้น ราวกับมีกระแสความอบอุ่นบางอย่างไหลเข้ามาในหัวใจของเธอ
ความรู้สึกที่ต่างไปจากเดิมกำลังก่อตัวขึ้นในส่วนลึกที่สุดของหัวใจ ทำให้เธอรู้สึกสับสนขึ้นมาเล็กน้อย
เธอรีบดึงมือที่ถูกกุมอยู่อย่างร้อนรน ก่อนจะพูดเสียงต่ำว่า “อย่ามารุ่มร่ามนะ นี่มันที่สาธารณะ!”
การหลบเลี่ยงด้วยท่าทีเขินอายจากหญิงสาว ทำให้มุมปากของชายหนุ่มยกขึ้นมาอย่างมีความสุข
เธอไม่ได้บังคับอะไรเพิ่ม แต่เขาก็ไม่ได้เอามือออกไปจากที่เดิม ชายหนุ่มเพียงแค่วางมือไว้ตรงนั้นด้วยท่าทีสบาย ๆ เพียงเธอเอียงตัวไปเล็กน้อย ก็สามารถสัมผัสมือเขาได้แล้ว
ในใจเฉียวฉีรู้สึกสับสนเล็กน้อย เธอไม่กล้ามองไปที่เขาอีก เลยได้แต่หันหน้ามองไปทางเวที
ของประมูลชิ้นต่อ ๆ ไป ก็เป็นพวกเครื่องใช้ของจักรพรรดิในสมัยโบราณ หรือไม่ก็เป็นอัญมณีและหยกบางอย่างที่พวกพระสนม รวมถึงราชินีบางคนเคยสวม
กู้ซือเฉียนกับเฉียวฉีไม่ได้สนใจของพวกนี้เลยสักนิด เพราะงั้น พวกเขาเลยไม่ได้ลงมือประมูลอีก
ส่วนหลินซง สุดท้ายเขาก็ใช้ความหน้าใหญ่ใจโตประมูลชุดเครื่องประดับจากปะการังสีแดงชั้นดีมอบให้กับจิงจิง จนได้
และเพราะว่าวันนี้ของประมูลค่อนข้างเยอะ เพียงแค่พริบตาเดียว เวลาก็ผ่านไปเกือบสองชั่วโมงแล้ว
พิธีกรบนเวทีจึงประกาศว่าจะมีเวลาพักให้ยี่สิบนาที จากนั้นจึงจะมาเริ่มกันต่อในช่วงครึ่งหลัง
ทุกคนเริ่มแยกย้ายเดินออกไปด้านนอก เข้าไปในห้องโถงใหญ่อีกด้านเพื่อยืดเส้นยืดสาย พักผ่อนกันสักครู่
เฉียวฉีกับกู้ซือเฉียนก็เดินออกไปด้านนอกด้วยเช่นกัน
หลินซงกับ จิงจิงเดินตามพวกเขาออกมา อาจเป็นเพราะพวกเขาเริ่มคุ้นเคยกันบ้างแล้ว จิงจิงก็เลยไม่ได้ดูเขินอายเหมือนครั้งแรกที่เจอกัน เธอพูดคุยและหัวเราะกับหลินซงขณะเดินออกมา ทำให้บรรยากาศดูมีชีวิตชีวามากขึ้น
ทั้งสี่คนเดินออกมาถึงห้องโถงใหญ่ด้านนอก เพียงครู่เดียว ก็มีคนเข้ามาทักทายกู้ซือเฉียนเพื่อพูดคุยด้วย
อีกฝ่ายเป็นชายวัยกลางคนหัวโล้นแถมยังมีพุงใหญ่ ๆ เขาเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มพร้อมกับแก้วแชมเปญ “ยินดีด้วย คุณชายกู้ที่วันนี้ได้ของล้ำค่าไป ผมขอชนกับคุณสักแก้วนะ”
กู้ซือเฉียนเม้มริมฝีปากเบา ๆ ก่อนจะหยิบแก้วขึ้นมา แล้วก็ชนกับเขา
หลังจากดื่มเสร็จ อีกฝ่ายก็พูดพร้อมรอยยิ้มว่า “ไม่รู้ว่าคุณชายกู้ ได้ยินมาบ้างรึยัง ว่าวันนี้จะมีสมบัติล้ำค่าอีกชิ้น จะมาเผยโฉมออกมาเป็นของประมูลในงาน”
กู้ซือเฉียนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ปิดบังอะไร “ทราบแล้วครับ”
“คุณชายกู้ก็มาเพราะของชิ้นนี้เหรอครับ?”
นัยน์ตาของกู้ซือเฉียนดูมีความขี้เล่นเล็กน้อย เขาตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “คนส่วนใหญ่ที่ตัดสินใจมาที่นี่ เกรงว่าน่าจะเป็นเพราะของชิ้นนี้กันทั้งนั้นนะครับ”
เดิมทีเขานึกว่าอีกฝ่ายจะเห็นด้วยกับเขา
แต่คาดไม่ถึงว่า อีกฝ่ายส่ายหน้าพร้อมกับถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะเอนตัวมาพูดกับเขาด้วยท่าทีมีลับลมคนนัยว่า “พูดตรง ๆ เลยนะ ผมไม่ค่อยเชื่อเรื่องตำนานฟื้นคืนชีพอะไรนี่หรอก ของชิ้นนี้มันมีประโยชน์จริงรึเปล่าก็ยังตอบยากเลย แต่ตอนนี้ดูเหมือนทุกคนจะพยายามแย่งมันมาอย่างกับคนบ้า ผมว่ามันคงไม่ใช่ของนำโชคอีกต่อไปแล้ว”
ดวงตาของกู้ซือเฉียนหรี่ลงเล็กน้อย
ผ่านไปสักพัก เขาก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ประธานชีเป็นความคิดที่ดีมากเลยครับ”
ชายวัยกลางคนคนนี้ ที่หลายคนที่รู้จักกันในนาม ประธานชียิ้มออกมาอย่างเขินอาย “ผมมาที่นี่วันนี้ก็แค่อยากมาเห็นสมบัติในตำนาน ที่ว่ากันว่าก่อให้เกิดเหตุการณ์ร้าย ๆ จนกลายเป็นทะเลเดือด อยากรู้จริง ๆ ว่ามันจะหน้าตาเป็นยังไง พูดตามตรง ต่อให้ผมจะเคยเห็นรูปถ่ายของมันในอินเทอร์เน็ตแล้ว แต่ผมก็ยังอยากเห็นของจริงอีกอยู่ดี”
กู้ซือเฉียนพยักหน้ารับอย่างนิ่งเรียบ
พอชายคนนั้นคิดขึ้นได้ว่าเขาคงจะพูดมากเกินไป และอีกฝ่ายก็ไม่ได้มีท่าทีอยากจะคุยกับเขาลึกซึ้งขนาดนั้น
เขาจึงพูดต่ออีกเพียงแค่สองสามประโยค จากนั้นจึงเดินจากไป
เมื่อครู่ตอนที่เขายังอยู่หลินซงก็พา จิงจิงเดินออกไปชมภาพวาดอีกฝั่ง
เพราะถึงอย่างไร โรงแรมแห่งนี้ก็เป็นของตระกูลหลินภาพทุกภาพที่แขวนอยู่ล้วนเป็นของแท้ทั้งหมด ถึงแม้ว่าตัวเขาเองจะมาที่นี่บ่อยแล้ว แต่จิงจิงยังไม่เคยมา เขาก็เลยพาเธอไปเดินชมรอบ ๆ ก่อน
ขณะเดียวกัน พอหลินซงเห็นชายวัยกลางคนเดินออกไป เขาถึงได้ถือแก้วเดินเข้ามา
“ซือเฉียน ตาเฒ่าหัวโล้นคนนั้นคุยอะไรกับนายบ้าง?”
กู้ซือเฉียนเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง พร้อมกับตอบว่า “เขาบอกฉันว่าแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์นั่นเป็นของไม่ดี แล้วก็บอกว่าเขาแค่มีความสงสัยในสมบัติชิ้นนั้น ไม่ได้คิดจะมาแก่งแย่งอะไร”
พอหลินซงได้ฟัง ก็ยิ้มออกมาอย่างเยือกเย็น
ก่อนจะมองไปทางแผ่นหลังของคนที่เพิ่งเดินจากไป แล้วก็พูดขึ้นมาอย่างเย็นชาว่า “ถ้าเขาไม่ต้องการ ดวงอาทิตย์ก็คงจะขึ้นจากทิศตะวันตกแล้วล่ะ”
เฉียวฉีรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่ไม่พอใจของชายหนุ่ม ดูเหมือนว่าเขาจะมีปัญหากับคนคนนี้สินะ
หลินซงสังเกตเห็นสายตาเธอที่มองอย่างสงสัย จึงอธิบายเพิ่มว่า “เขาเป็นญาติทางแม่ฉันเอง พอรู้ว่ามีคนมาจองสถานที่ของทางเรา เพื่อจัดงานประมูลครั้งนี้ เขาก็คอยแอบฟัง พยายามสืบข่าวหาเบาะแสของสมบัติชิ้นนั้นตลอด ถึงขนาดที่มายืมมือพวกเรา เพื่อให้ของชิ้นนั้นตกไปอยู่ในมือเขาเลยด้วยซ้ำ”
“เหอะ พอเห็นซือเฉียนมา คงจะรู้สึกหมดหวังกับสมบัติชิ้นนั้นล่ะมั้ง เลยเข้ามาเหมือนกับจะเป็นคนดี ทำให้คนขยะแขยงเสียมากกว่า”
หลังจากได้ฟังคำอธิบายของเขา เฉียวฉีก็คิดขึ้นมาได้ทันที ก่อนจะตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “น่าขยะแขยงจริง ๆ ล่ะ”
คนทุกคนล้วนมีความโลภ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่มนุษย์นั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้ แล้วก็ไม่ใช่สิ่งที่น่าละอาย
แต่สิ่งที่น่าละอายนั้นก็คือ การใช้วิธีที่ไร้ศีลธรรมหรือการเสแสร้งแกล้งทำต่าง ๆ เหมือนกับหญ้าที่อยู่บนกำแพง หากถูกลมพัดจนล้มลงไปทั้งสองข้าง ก็คงเป็นเรื่องยากที่จะพูดออกมา
พอพูดมาถึงตรงนี้หลินซงก็ดูเหมือนเป็นพวกชอบซุบซิบนินทาไปทันที หลังจากมองไปรอบ ๆ พอแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครเดินผ่านมา เขาก็กระซิบเสียงเบาว่า “ฉันขอถามอะไรหน่อย พวกนายรู้ไหมว่างานประมูลครั้งนี้ผู้จัดเป็นใคร?”
เฉียวฉีกับกู้ซือเฉียนชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะเลิกคิ้วแล้วตอบว่า “ไม่รู้”
ถ้าพูดกันตามหลักแล้ว เมื่อก่อนไม่ว่าจะเป็นงานประมูลแบบไหน ผู้จัดจะต้องชัดเจนเสมอ
แต่ทั้งหมดนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขียนอยู่ในบัตรเชิญก็มีเพียงแค่เวลากับสถานที่ แล้วก็มีรูปถ่ายของสิ่งของที่นำมาประมูลเท่านั้น
ซึ่งความสนใจของทุกคนก็ถูกดึงดูดไปที่สมบัติล้ำค่าที่นำมาประมูลทันที ไม่มีใครสังเกตเห็นการหายไปของผู้จัดงานเลยด้วยซ้ำ
หลินซงแค่นหัวเราะออกมาเบา ๆ “ไม่ใช่แค่พวกนายหรอกที่ไม่รู้ ฉันเดาว่าเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ของคนที่มาวันนี้ก็ไม่มีใครรู้”
“เลิกอ้อมค้อมเถอะ” กู้ซือเฉียนพูดขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชาและน้ำเสียงนิ่งเรียบ
เฉียวฉีเม้มริมฝีปาก เห็นด้วยกับคำพูดของกู้ซือเฉียน
พอหลินซงเห็นว่ากว่าเขาจะมีโอกาสแกล้งทำเป็นอมภูมิอย่างนี้ได้ไม่ง่ายเลย สุดท้ายกลับถูกกู้ซือเฉียนพังลงอย่างไร้ความปรานี ทำให้เขาแอบเสียใจอย่างช่วยไม่ได้
หลินซงมองพวกเขาด้วยแววตาผิดหวัง ก่อนจะพูดว่า “โอเค บอกให้ก็ได้ เป็นพวกตระกูลหนาน”
“อะไรนะ?”
“อะไรนะ?”
ทั้งคู่ตะโกนออกมาพร้อมกัน เฉียวฉีกับกู้ซือเฉียนสบตากันทันที ก่อนจะเห็นสายตาที่ไม่อยากเชื่อของอีกฝ่าย
เพราะถึงแม้คนภายนอกจะไม่รู้ แต่พวกเขาทั้งคู่กลับรู้ดี
ในตอนนั้นกลุ่มมังกรและกลุ่มมังกรแดง ได้เกิดการห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด เพื่อแย่งชิงแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ชิ้นนี้ แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็แพ้ให้อีกฝ่ายทั้งคู่ และภายใต้ความโกลาหลนั้นแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ชิ้นนี้ก็ถูกขโมยไป จากนั้นก็ไม่มีใครเคยเจอเบาะแสของมันอีกเลย