ตอนนี้กลับถูกคนของตระกูลหนานนำมันออกมา?
นี่….มันจะเป็นไปได้ยังไง?
ในใจของทั้งคู่ตกตะลึงไปพร้อมกัน
เพราะถึงยังไง ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในตอนนั้น ไม่มีเงาของคนตระกูลหนานอยู่เลยสักนิด ทำให้ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่า สุดท้ายแล้วของสิ่งนั้นจะตกไปอยู่ในมือพวกเขาได้
หรือว่าความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในตอนนั้น ดูท่าแล้วอาจจะเป็นการถูกยั่วยุจากพวกทรยศในกลุ่มมังกรแดงสินะ แต่ในความเป็นจริงก็เป็นพวกเขาเป็นฝ่ายเริ่มนี่?
ไม่ เป็นไม่ได้!
กู้ซือเฉียนกับหนานมู่หรงผู้เป็นประมุขของตระกูลหนานค่อนข้างจะสนิทกันมาโดยตลอด ในตอนที่ยังไม่มีการแข่งขันกันทางธุรกิจ ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ยิ่งสนิทสนมกันมาก
ถ้าหากเป็นตระกูลหนานที่ยื่นมือเข้ามาแทรกจริง ๆ ไม่มีทางที่กู้ซือเฉียนจะดูไม่ออก
งั้น ถ้าหากว่าในตอนนั้นพวกเขาไม่ได้เข้าไปยุ่งจริง ๆ และของสิ่งนั้นไม่ตกไปอยู่ในมือของพวกเขา เป็นไปได้ไหมว่าบนโลกใบนี้จะมีแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ชิ้นที่สอง?
เฉียวฉีคิดถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น ทันใดนั้นแผ่นหลังของเธอก็รู้สึกเย็นวาบขึ้นมาทันที
เธอหันมองไปทางกู้ซือเฉียนก่อนจะเห็นว่าอีกฝ่ายมีสีหน้ามืดมน แถมยังดูไม่ค่อยดี
หลินซงก็สังเกตเห็นท่าทีที่ผิดปกติของทั้งคู่เช่นกัน เขาจึงถามขึ้นว่า “พวกนายเป็นอะไร? ทำไมต้องมีท่าทีตอบรับขนาดนี้ด้วย?”
เฉียวฉีส่ายหน้าไปมา ก่อนจะตอบว่า “ไม่มีอะไร”
เธอชะงักไปชั่วขณะก่อนจะพูดขึ้นว่า “นายพูดต่อเลย”
“อืม”
หลินซงไม่รู้ว่าคนทั้งคู่คิดอะไรอยู่ เขาเลยทำได้แค่สงสัย ก่อนจะเริ่มพูดต่อ
“ตอนที่พวกเขามาติดต่อทางเราครั้งแรกเพื่อขอยืนสถานที่ เขาก็เสนอออกมาเลยว่าขอไม่เปิดเผยตัวตน ส่วนทางตระกูลเราก็ทำธุรกิจ เราสนใจแค่ว่าเขาจ่ายหรือไม่จ่ายเงิน สำหรับเรื่องไม่เปิดเผยตัวตนนั่น ทางเราไม่ได้สนใจอะไรอยู่แล้ว ก็เลยตกลงกันตามนั้น”
“แต่พอคิดไปคิดมาฉันก็รู้สึกว่ามันผิดปกติ พวกนายคิดดูสิ ทุกครั้งที่มีการจัดงานประมูล มันถือเป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่ง รวมถึงชื่อเสียงของตระกูลเลยนะ ทำไมตระกูลหนานถึงปฏิเสธที่จะเปิดเผยตัวตนล่ะ? เป็นไปได้ไหมว่าอาจจะมีกลลวงบางอย่างซ่อนอยู่ในการประมูลนี้? หรือว่าฉากหน้าที่พวกเขาจัดงานประมูลเพื่อแบ่งสมบัติบางอย่างออกไป จริง ๆ แล้วพวกเขาอาจจะมีเจตนาอื่นแอบแฝง”
ต้องบอกเลยว่า ถึงแม้หลินซงจะไม่เคยรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นมาก่อน แต่การวิเคราะห์ของเขาครั้งนี้ กลับดูสมเหตุสมผลเป็นอย่างมาก
นี่คงเรียกได้ว่าเป็นอาจารย์แห่งการสุ่มเดาจนถูกสินะ
แต่เฉียวฉีกับกู้ซือเฉียนกลับเข้าใจดี ที่อีกฝ่ายไม่อยากเปิดเผยตัวตนนั้น ไม่ได้มีเหตุผลอื่นใดมาแอบแฝงอยู่หรอก
แต่เพราะว่า พวกเขาไม่อยากให้ใครรู้ ว่าแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ชิ้นนี้คือพวกเขาที่เป็นคนเอามันออกมา
อย่างที่ทุกคนรู้กันดีแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์นั้น สามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นขึ้นมาได้ แม้ว่าจะไม่รู้ว่าจริงเท็จแค่ไหน แต่สิ่งที่สืบทอดกันมานั้นมันดูสมจริง จนเกือบจะทำให้ใครหลายคนเชื่อว่าคุณสมบัตินี้เป็นเรื่องจริง
คนทั่วไปอาจจะสงสัยในความเป็นจริงของข่าวลือนี้ แต่ทุกคนก็คือมนุษย์ ใครบ้างจะไม่อยากเป็นอมตะ? ใครบ้างจะไม่อยากมีขุมทรัพย์ที่สามารถทำให้คนตายแล้วฟื้นคืนชีพได้?
นี่ถือเป็นสิ่งล่อตาล่อใจที่ยิ่งใหญ่นัก ตลอดชั่วอายุคน ต่อให้จะเป็นถึงจักรพรรดิ ก็ไม่มีทางรอดพ้นสิ่งล่อตาล่อใจนี้ได้ แล้วยังต้องพูดถึงคนธรรมดาทั่วไปอีกเหรอ?
ดังนั้น แม้ว่าทุกคนจะสงสัยในความเป็นจริงของข่าวลือนี้ แต่ก็ยังหยุดที่จะก้าวเข้ามาหามันไม่ได้
ทุกคนยังต้องการที่จะต่อสู้ ถึงแม้จะมีโอกาสเพียงแค่หนึ่งในสิบ แต่ก็ยังอยากจะลองเอามันกลับบ้านดู เพื่อจะได้เห็นว่าของสิ่งนี้จริง ๆ แล้วมันมีพลังอย่างที่ในตำนานกล่าวไว้รึเปล่า
แต่ก็ว่าไม่ได้ อีกฝ่ายวางหมากไว้เป็นอย่างดี
แทบจะเลือกจุดอ่อนจุดแข็งของความเป็นมนุษย์ดีมาก เพียงแค่ขยับมือเพียงเล็กน้อย ก็อาจก่อให้เกิดลมมรสุมขึ้นมาได้
ความรู้สึกของเฉียวฉีเริ่มดำดิ่งลง
กู้ซือเฉียนก็ไม่ได้ดีกว่าเธอสักเท่าไร คิ้วของเขาขมวดแน่น ได้แต่คิดไปคิดมาว่า ตระกูลหนานกำลังคิดอะไรอยู่ทำไมถึงได้ทำเรื่องแบบนี้ได้
ถ้าพูดตามหลักการแล้ว ตระกูลนี้คอยถ่อมตัวมาตลอดหลายปี ไม่ได้มีนิสัยชอบเปิดเผยตัวในที่สาธารณะ
เพราะตัวของพวกเขาเองก็ถือว่าอยู่ในจุดสูงสุดแล้ว ยิ่งไม่มีความจำเป็นเลยที่จะต้องมาวางหมากใหญ่ขนาดนี้ในการต่อสู้
เพราะงั้นพวกเขามีเจตนาอะไร?
ความสงสัยนี้ก็วนเวียนอยู่ในหัวของ เฉียวฉีไม่ต่างกัน
สิ่งที่อีกฝ่ายกำลังพยายามทำ มีแต่จะทำให้สถานการณ์มันยุ่งเหยิงไปมากกว่าเดิม มันมีประโยชน์ต่อพวกเขาตรงไหน?
เหมือนตอนที่กลุ่มมังกรและกลุ่มหงส์แดงได้บาดเจ็บและพากันหายตัวไปนั้น หรือเบื้องหลังกลุ่มมังกรที่ถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ จะมีมือของพวกเขายื่นเข้ามาจริง ๆ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่เห็นมีหลักฐานว่าตระกูลหนานจะเข้าไปยึดครองพื้นที่ของกลุ่มมังกรหรือกลุ่มหงส์แดง ยิ่งไม่เห็นพวกเขาเข้ามาร่วมแบ่งผลประโยชน์อะไรเลยด้วยซ้ำ
นี่มันเพราะอะไรกันแน่?
ทั้งสองซึ่งได้แต่คิดแล้วก็สงสัย
แต่หลินซงไม่ได้คิดอะไรมาก เขาไม่ใช่คนในวงการนี้ แม้ว่าตระกูลหลินจะมีอิทธิพลอย่างกว้างขวางในพื้นที่นี้ แต่ก็ถูกจำกัดเฉพาะด้านธุรกิจเท่านั้น
พอเห็นคนทั้งสองขมวดคิ้วแน่น เขาก็พูดติดตลกว่า “ฉันคงไม่ได้ทำให้พวกนายตกใจนะ? ฮ่าฮ่าฮ่า อย่าซื่อไปหน่อยเลย ฉันแค่พูดมั่วไปงั้นล่ะ มันจะไปมีแผนการชั่วร้ายขนาดนั้นได้ยังไง? อาจเป็นเพราะพวกเขาเป็นพวกชอบถ่อมตัวแหละ”
จิงจิงสังเกตเห็นท่าทีที่ผิดปกติของทั้งสองเช่นกัน แต่เด็กผู้หญิง มักจะมีจิตใจที่ละเอียดอ่อนกว่าเด็กผู้ชาย
ดังนั้น เธอเลยถามด้วยความเป็นห่วงว่า “คุณชายกู้พี่เฉียวเฉียวมีเรื่องอะไรรึเปล่า?”
เฉียวฉีเงยหน้าขึ้นมองตาเธอ ก่อนจะส่ายหน้าเบา ๆ
“ไม่มีอะไรหรอก เหมือนที่หลินซงบอกนั้นล่ะ พวกเรานึกว่ามันจะมีแผนการชั่วร้ายอะไรจริง ๆ ก็เลยรู้สึกแปลก ๆ แค่นั้นเอง”
เรื่องนี้ มันไม่ได้อยู่ในวงการของพวกเขา
ถ้าไม่จำเป็น พวกเขาไม่ต้องรู้จะดีที่สุด
เพราะถึงอย่างไร หากเกมนี้คนพวกนั้นเป็นคนวางหมากจริง ๆ งั้นก็คงเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวมาก ตระกูลหลินทำงานด้านธุรกิจมาตลอด พร้อมทั้งปฏิเสธที่จะแปดเปื้อนสิ่งโสโครกแม้เพียงเล็กน้อยจากวงการนี้เสมอ เพราะงั้น หากเลี่ยงที่จะดึงพวกเขาลงน้ำได้ งั้นก็อย่าดึงพวกเขาลงมาเลยดีกว่า
กู้ซือเฉียนก็คงคิดเหมือนกับเธอ เขาจึงเปิดประเด็นใหม่ขึ้นมาทันที
“ฉันได้ยินมาว่าลุงของนายให้นายรับตำแหน่งผู้อำนวยการของหลินซื่อกรุปเมื่อสองสามวันก่อน?”
ทันทีที่เขาพูดเรื่องนี้ขึ้นมาหลินซงก็พยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว “ใช่น่ะสิ พวกพี่น้องในตระกูลหลิน ดูไม่พอใจกันสักเท่าไร พวกเขาคิดว่าฉันที่เป็นลูกคนเล็กของพ่อกลับได้ครอบครองอำนาจของบริษัทเพียงคนเดียว ก็เลยไม่มีใครยอมรับ สุดท้ายพอเจอความสามารถกันเข้าไปก็ยอมกันหมด”
กู้ซือเฉียนก็ยิ้มออกมาเบา ๆ ก่อนจะชนแก้วกับเขาไปหนึ่งที “ยินดีด้วย”
หลินซงก็รู้สึกภูมิใจอยู่ไม่น้อย เพราะถึงอย่างไร ต่อให้ตำแหน่งประธานของตระกูลหลินจะเป็นของคุณพ่อเขา แต่ทั้งบริษัทนั้น ก็เป็นทุกคนที่ช่วยกันชิงมาได้
เขารู้อยู่แล้วว่าพวกลูกพี่ลูกน้องนั่นไม่มีใครยอมเขาอยู่แล้ว เพราะคิดว่าตัวเขาไม่มีความสามารถ แค่เกิดมาโชคดีก็เลยได้ครอบครองอำนาจของบริษัทไป
แต่เขาก็ตั้งใจทำงานมากจริง ๆ ซึ่งมันต่างจากที่พวกพี่น้องเขาคิดโดยสิ้นเชิง ดังนั้น การที่เขาพลิกกลับมาได้อย่างสวยงามแบบนี้ เขาก็ต้องดีใจอย่างแน่นอน
หลังจากที่หลินและกู้ซือเฉียนชนแก้วกัน พวกเขาก็ดื่มหมดในรวดเดียว
ขณะนั้นเอง ก็มีพนักงานเดินมา ก่อนจะพากู้ซือเฉียนไปเซ็นเอกสาร
เพราะชุดเกราะอ่อนสีทองอร่ามในครึ่งแรกนั้น ตอนนี้ถูกจัดการไว้เรียบร้อยแล้ว เหลือแค่เพียงเซ็นชื่อเท่านั้น พวกเขาดึงเงินจากในบัญชีที่กู้ซือเฉียนเอาให้ในตอนแรกแล้ว ตอนนี้ก็สามารถเอาของกลับไปได้เลย
หลังจากที่กู้ซือเฉียนเซ็นชื่อเรียบร้อย อีกฝ่ายก็ส่งของมาให้ทันที
กู้ซือเฉียนไม่ได้คิดว่าคนเหล่านี้จะเล่นแง่อะไร เขาเลยบอกให้พวกเขาเอาของออกไปให้กับฉินเยว่ ที่เฝ้าอยู่ข้างนอกได้เลย
คนเหล่านี้ก็ไปตามที่สั่งทันที