ทั้งสี่คนยืนคุยกันอยู่ในห้องโถงสักพัก เพียงครู่เดียว งานครึ่งหลังกำลังจะเริ่มขึ้น คนทั้งหมดจึงกลับเข้าไปในห้องโถงอีกครั้ง
ทุกคนยังคงนั่งที่เดิม หลังจากที่รอให้ทุกคนนั่งกันเรียบร้อยแล้ว พิธีกรจึงประกาศเริ่มงาน
ของประมูลในครึ่งหลัง ต้องมีค่ามากกว่าของประมูลในครึ่งแรกเป็นธรรมดา
มีทั้งภาพวาดของศิลปินโบราณชื่อดัง กระจกหยกสลักที่สูญหายไปนานนับพันปี อีกทั้งยังมีคทาที่ราชวงศ์แห่งยุโรปเคยใช้ด้วย
พูดง่าย ๆ ก็คือสมบัติล้ำค่าที่ทั้งหายากและแปลกใหม่ทุกชนิด ต่างหลั่งไหลออกมาไม่มีที่สิ้นสุด
แต่ยิ่งใกล้ถึงช่วงที่สมบัติล้ำค่าจะออกมามากเท่าไร ตอนนี้ ทุกคนก็ยิ่งระมัดระวังตัวกันมากขึ้น
สายตาของพวกเขาไม่ได้เพ่งไปยังของประมูลเบื้องหน้าอีกต่อไปแล้ว เพราะทุกคนต่างพากันกลั้นใจรอสมบัติชิ้นสุดท้ายกันอยู่เงียบ ๆ
แน่นอนว่าหลินซงก็เคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับสมบัติชิ้นสุดท้ายมาเช่นกัน ซึ่งเขาคิดว่าเฉียวฉีกับกู้ซือเฉียนก็คงจะมีความคิดเหมือนกันกับเขา แต่ก็ยังอดแขวะเล็กน้อยไม่ได้
ก่อนจะหันไปพูดกับ จิงจิงว่า “พี่คิดว่าเรื่องการฟื้นจากความตาย การเป็นอมตะมันเป็นเรื่องหลอกกันทั้งนั้น ถ้าคนเรามีชีวิตอยู่ได้เป็นพันปีจริง ๆ งั้นมันจะไม่กลายเป็นสัตว์ประหลาดไปเลยเหรอ?”
จิงจิงเหลือบมองเขาด้วยรอยยิ้ม “มันไม่สำคัญหรอกถ้าเป็นอมตะแล้วกลายเป็นสัตว์ประหลาด ประเด็นสำคัญก็คือการไม่แก่เฒ่าต่างหาก หรือว่าพี่ไม่อยากเหรอ?”
รอยยิ้มบนใบหน้าของหลินซงชะงักไปชั่วครู่
ก่อนที่เขาจะส่ายหน้ารัว ๆ
“พี่ไม่อยาก”
จิงจิงหลุดสีหน้าไม่เชื่อออกมาเล็กน้อย
แต่สีหน้าของหลินซงดูจริงจังมาก ก่อนจะพูดต่อว่า “สุดท้ายแล้วสมบัติชิ้นนั้นก็มีเพียงชิ้นเดียว และมันก็ให้ความเป็นอมตะได้เพียงแค่หนึ่งคน ถ้าพี่จะใช้มันจริง ๆ ทุกคนที่พี่รู้จักในโลกนี้ก็จะต้องตาย แล้วก็จะเหลือแค่พี่คนเดียวที่มีชีวิตอยู่ มันจะไปมีความหมายอะไร? สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ…”
เขาหยุดพูดไปชั่วขณะ จากนั้นก็พูดต่ออย่างเคร่งขรึมและจริงจังว่า “ไม่มีเธอ ต่อให้จะให้พี่อีกหมื่นปีพี่ก็ไม่อยากมีชีวิตต่อไปหรอก”
ความรู้สึกของ จิงจิงหยุดนิ่งอยู่ ณ ตรงนั้น
เธอตกตะลึงไปทั่วร่าง
เมื่อเธอมองไปที่เขา ทั้งสองไม่ได้พูดอะไร ในความมืดสลัว ดูเหมือนพวกเขาจะมองเห็นคำพูดนับพันในดวงตาของกันและกัน
สุดท้าย เธอก็หันหน้าหนีอย่างจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว พร้อมกับพูดว่า “ไม่ต้องพูดแล้ว”
ถ้ายังพูดอีก เธอคงจะหวั่นไหวจนตอบตกลงกับเขาไป
หลินซงไม่ได้รับรู้ความคิดของเธอ เขานึกว่าสิ่งที่ตัวเองพูดไปเมื่อครู่คงจะดูบุ่มบ่ามเกินไป จนล่วงเกินหญิงสาวเข้าแล้ว เลยกระซิบอย่างร้อนรนว่า “ขอโทษ”
เขาชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่ถอดใจ พูดเพิ่มอีกประโยคว่า “แต่มันมาจากใจจริงของพี่นะ”
พูดจบ เขาก็นิ่งลง ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก
จิงจิงก็ไม่ได้พพูดอะไรต่อเช่นกัน
ในตอนนี้ ของประมูลเบื้องหน้า ก็ถูกประมูลไปเรียบร้อยแล้ว
และในที่สุด ก็มาถึงช่วงสุดท้ายแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ที่ทุกคนตั้งตาคอยกำลังจะปรากฎตัวออกมา
เฉียวฉีรู้สึกได้เลยว่าตั้งแต่ตอนที่พิธีกรกำลังแนะนำของประมูลชิ้นสุดท้าย ผู้ชมทั้งห้องก็ดูเหมือนจะพากันเงียบเสียงลงทันที เป็นความเงียบที่หากมีเข็มหล่นลงพื้นสักเล่มก็คงได้ยิน
แทบทุกคนต่างกลั้นหายใจ รอคอยให้ของชิ้นนั้นปรากฏออกมา
ในที่สุด หลังจากที่พิธีกรพูดแนะนำแบบคร่าว ๆ เสร็จ เธอก็ประกาศว่า “ขอเชิญของประมูลชิ้นสุดท้าย ที่รู้จักกันในชื่อสมบัติล้ำค่าสามารถฟื้นคืนชีพได้แผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ขึ้นมาบนเวทีค่า!”
หลังจากที่เธอพูดจบ ม่านด้านข้างเวทีก็ถูกดึงให้เปิดออก ก่อนจะมีเจ้าหน้าที่ที่ติดอาวุธสองคนเข็นตู้กระจกขึ้นมาช้า ๆ
ตู้กระจกสูงเพียงหนึ่งเมตรครึ่ง ซึ่งความสูงของมันก็พอดีกับระดับสายตาของคนที่นั่งอยู่ เพื่อให้ทุกคนสามารถชื่นชมมันได้อย่างสะดวกสบายขึ้น
กลางตู้กระจก มีก้อนหยกที่เปล่งประกายแวววาววางอยู่ชิ้นหนึ่ง
หยกก้อนนั้นเป็นสีขาวผ่อง ทั่วทั้งก้อนเปล่งประกายแวววาวออกมา ความยาวเป็นเหมือนรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีขอบโค้งเล็กน้อย และมีความหนาเพียงสามหรือสี่มิลลิเมตรเท่านั้น
ของชิ้นเล็ก ๆ นั่น เพียงวางอยู่ตรงนั้นเงียบ ๆ แต่ทุกสายตาของคนในห้องโถงกลับจ้องไปที่มัน
พิธกรเริ่มแนะนำที่มาและคุณสมบัติของมันอีกครั้ง แต่เฉียวฉีและกู้ซือเฉียนกลับมองออกในทันที ว่าแผ่นหยกชิ้นนั้น เป็นชิ้นเดียวกับที่ทำให้เกิดการห้ำหั่นกันระหว่างกลุ่มมังกรกับกลุ่มหงส์แดง
เธอจำไม่ผิดแน่!
เพราะในตอนแรก ทั้งสองกลุ่มนี้ ได้เริ่มต่อสู้กันเพราะของชิ้นเล็ก ๆ จนในที่สุดมันก็มาถึงจุดที่พวกเขาควบคุมไม่ได้
นัยน์ตาของเฉียวฉีลึกซึ้งขึ้น สีหน้าของกู้ซือเฉียนก็ค่อย ๆ หม่นแสงลง ทั้งคู่ชูป้ายหมายเลขขึ้นพร้อมกัน
“แปดสิบล้าน!”
พอเสียงราคาดังขึ้น ก็กลายเป็นตัวเลขที่แพงที่สุดสำหรับคืนนี้ทันที
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น พอเสียงพูดนั้นจบ ก็มีเสียงคนอื่น ๆ เรียกราคาตามหลังขึ้นมาทันที
“แปดสิบห้าล้าน!”
“เก้าสิบล้าน!”
“เก้าสิบห้าล้าน!”
เนื่องจากมีสิ่งที่ระบุไว้หลายอย่าง สมบัติชิ้นนี้จึงถือเป็นของที่หายากมาก แล้วยังมีคุณสมบัติที่โดดเด่นของตัวมันอีก เกือบทุกคนจึงอยากจะแย่งมันมาให้ได้
เพราะงั้นการเพิ่มราคาแต่ละครั้งจึงค่อนข้างสูง อย่างน้อยก็ต้องห้าล้านเหรียญสหรัฐต่อครั้ง
ไม่ได้น้อยเลย สำหรับคนธรรมดาทั่วไป ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกชาวบ้าน แม้แต่คนในครอบครัวที่ค่อนข้างร่ำรวย ก็ยังถือว่าเป็นจำนวนที่มากอยู่
แต่ในสายตาของคนในงานประมูลวันนี้ ราคาพวกนั้นจะไปนับอะไรได้
ดังนั้น ไฟแห่งการประมูลจึงถูกจุดขึ้น
แต่เฉียวฉีกับกู้ซือเฉียนเพียงเสนอราคาแค่ครั้งแรกเท่านั้น จากนั้นพวกเขาก็ไม่ได้อ้าปากพูดอะไรอีก
หลินซงเห็นว่าพวกเขาอยากได้สมบัติชิ้นนี้ แต่ตอนนี้กลับไม่พูดแล้ว เลยเริ่มร้อนรนเล็กน้อย
เขาคอยยุอยู่ข้าง ๆ ว่า “ทำไมไม่เสนอราคาล่ะ? พวกนายนี่ใจโลภแต่ปากหนัก อีกเดี๋ยวของก็ถูกประมูลไปก่อนหรอก?”
พอเห็นว่าทั้งสองไม่สนใจเขา ทั้งคู่เพียงแค่จ้องไปบนเวทีด้วยสีหน้าจริงจัง อีกด้าน ราคาในการประมูลก็เพิ่มขึ้นไปกว่าสามร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐแล้ว และเพราะถึงราคานี้ หลายคนก็เริ่มถอนตัว
ถึงอย่างไร ตำนานก็บอกว่าของสิ่งนี้ทำให้คนเป็นอมตะแล้วยังฟื้นคืนชีพได้
แต่คนที่อยู่ตรงนี้ส่วนใหญ่ก็ถือเป็นคนฉลาด ทำไมพวกเขาจะไม่รู้ล่ะ ว่าบางครั้งเรื่องของการเป็นอมตะ การฟื้นคืนชีพของคน มันก็อาจจะเป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น
ในความเป็นจริง เซลล์ในร่างกายของมนุษย์จะค่อย ๆ แก่ขึ้นตามอายุขัยของคนเรา มันจะไปเป็นอมตะได้อย่างไร?
ดังนั้น ในตอนแรกทุกคนก็แค่อยากจะลองดู แค่ได้เดิมพันสักครั้งพอให้ตัวเองสบายใจ
แต่พอราคาเริ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็มาถึงห้าร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐ หลายคนเริ่มถอนตัว
เพราะสุดท้ายแล้ว แค่ของล้ำค่าเพียงชิ้นเดียว เดิมพันสักหนึ่งครั้งก็พอแล้ว
ถ้าการเดิมพันนี้มันสูงเกินไป แล้วของชิ้นนี้ก็ไม่ได้มีผลลัพธ์ออกมาดีอย่างที่ว่า มันคงเป็นเรื่องตลกพอสมควรที่ใช้เงินห้าร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อซื้อหยกชิ้นหนึ่ง
ดังนั้น ในท้ายที่สุดราคาก็สูงถึงแปดร้อยล้าน แล้วก็มีเพียงสองคนในที่แห่งนี้เท่านั้นที่ยังเสนอราคาอยู่
คนหนึ่งคือประธานชีที่เข้ามาทักทายกู้ซือเฉียนในตอนแรก ส่วนอีกคนเป็นชาวต่างชาติผมบลอนด์ดวงตาสีฟ้า
หลินซงเห็นว่ากู้ซือเฉียนกับเฉียวฉีไม่เริ่มลงมือสักที ก็เริ่มร้อนรนจนแทบทนไม่ไหว
เขากลัวว่าสุดท้ายแล้วของชิ้นนี้จะตกไปอยู่ในมือของประธานชีแล้วจะทำให้อีกฝ่ายมีต้นทุนพอที่จะมาเย้ยหยันตรงหน้าเขาได้ ดังนั้น เขาจึงพูดขึ้นอย่างรีบว่า “ซือเฉียน นายมีเงินไม่พอรึไง ถ้าไม่พอบอกฉัน ฉันจะให้นายยืมเท่าที่นายต้องการเลย เพื่อจัดการหลานคนนี้!”
เหลือบมองเขาเบา ๆ นัยน์ตาแสดงให้เห็นประกายที่ดูถูกสติปัญญาเขาอยู่
หลินซง “……..”
สุดท้าย จิงจิงก็ทนไม่ไหว จึงดึงแขนเสื้อเขา ก่อนจะพูดว่า “สองคนนี้กำลังสู้กันอยู่ พี่ร้อนใจอะไร? พอพวกเขาได้ผู้ชนะมา เดี๋ยวคุณชายกู้ ก็ลงมือต่อเองล่ะ”