เมื่อเสี่ยวเยว่เห็นเช่นนั้น จึงรีบพยักหน้า“รอฉันสักครู่ ฉันจะไปเอาของ ”
หลังจากได้รับคำอนุญาตจากเฉียวฉีแล้ว จึงออกไป
ไม่นาน เสี่ยวเยว่ก็กลับมา
เห็นเพียงในมือเธอถือกล่องหนังอ่อนหนึ่งใบ เอากล่องวางลงบนโต๊ะ เฉียวฉีมองดู ข้างในมีของเต็มไปหมด อะไรก็มี
เธออดหัวเราะไม่ได้ แล้วกล่าวว่า“ว้าว อุปกรณ์ครบชุดเลยนะ ”
เสี่ยวเยว่ยิ้มแล้วกล่าวว่า“นั่นเป็นเพราะว่า ทักษะไม่ดี ต้องเอาอุปกรณ์มาช่วย พี่เฉียวเฉียว คุณนอนลงบนเตียงก่อน”
ดังนั้น เฉียวฉีจึงฟังคำ นอนราบลงบนเตียง
เสี่ยวเยว่ย้ายเก้าอี้นุ่มๆในห้องเครื่องแต่งตัว และนั่งลงข้างเตียง หันหน้าไปทางศีรษะของเธอ
หลังจากอุ่นมือครู่หนึ่งแล้ว ถึงเริ่มนวดให้เธอเบาๆ
ต้องบอกว่า ที่เสี่ยวเยว่บอกว่าทักษะของเธอไม่ดี ถ่อมตนเกินไปเล็กน้อย
เพราะว่าหลังจากเฉียวฉีผ่านการทดสอบแล้ว ในความเป็นจริงพิสูจน์ได้ว่า ฝีมือของเธอดีมาก
นิ้วมืออ่อนนุ่มมีแรง กดไปบนหนังศีรษะอย่างไม่เบาและไม่หนัก และจับได้ตรงจุด ทําให้คนรู้สึกผ่อนคลาย
เฉียวฉีอดที่จะหลับตาลงไม่ได้
ในห้องเงียบมาก มีเพียงเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของทั้งสองเท่านั้น
เสี่ยวเยว่ช่วยเธอกดคลายจุดต่างๆบนหนังศีรษะและรอบดวงตาก่อน จากนั้นค่อยเทน้ำมันหอมระเหยลงบนมือ แล้วเริ่มนวดให้เธอ
เฉียวฉีรู้สึกเพียงว่าปลายจมูกของเธอมีกลิ่นหอมอ่อนๆของดอกไม้ มันเป็นกลิ่นที่เธอไม่เคยได้กลิ่นมาก่อน มันเหมือนกับดอกไม้หลายร้อยชนิดที่ผสมกัน แต่ก็ไม่ได้ทําให้รู้สึกแปลกแยก มันให้ความรู้สึกสดชื่น
เธออดไม่ได้ที่จะถามว่า“นี่มันน้ำมันหอมระเหยอะไร?”
เสี่ยวเยว่อธิบายเสียงเบาว่า“นี่เป็นน้ำมันร้อยบุปผาสูตรที่ฉันผสมเอง เป็นดอกไม้จำพวกที่ทำให้คนรู้สึกผ่อนคลาย มีผลกับอาการวิงเวียนศีรษะและปวดหัวมาก ”
เฉียวฉีผงกหัวเงียบๆ
เธอรู้ว่า ที่เสี่ยวเยว่พูดนั้นเป็นเรื่องจริง เพราะว่าตอนนี้ เธอรู้สึกว่า อาการวิงเวียนศีรษะเมื่อกี้นี้ดีขึ้นมากแล้ว
ตลอดขั้นตอนการนวดใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงเต็ม
ระหว่างนั้น ก็ไม่รู้ว่าเหนื่อยจริงๆหรือว่าสาเหตุอย่างอื่น ปรากฏว่าเฉียวฉีหลับไปครู่หนึ่ง
เมื่อเธอตื่นมา ดูเวลา ห่างจากเวลาเริ่มนวดจนถึงตอนนี้ ก็เพียงแค่หนึ่งชั่วโมง เธอเพิ่งหลับไปหลังจากนวดมาเป็นเวลานาน
ดังนั้นเมื่อคำนวณแล้ว ที่จริงเธอก็หลับไปเพียงแค่สิบกว่านาทีเท่านั้นเอง
เฉียวฉียิ้มอย่างเขินอาย “ต้องขอโทษด้วยนะ สบายมาก จนฉันหลับไปเลย ”
เสี่ยวเยว่ยิ้มแล้วกล่าวว่า“สามารถนอนหลับนั่นแสดงว่าใช้กับคุณได้ อย่างนี้ถึงจะดี ”
เธอพยักหน้า แล้วนวดต่ออีกครู่หนึ่ง จนกระทั่งได้ยินลุงโอเรียกเธออยู่ข้างนอก ถึงให้เสี่ยวเยว่หยุดลง
เฉียวฉีเก็บข้าวของของตัวเองแล้ว ออกไป เห็นลุงโอกำลังยืนอยู่ข้างนอก ในมือถือสิ่งของอย่างหนึ่งเหมือนจะเป็นเอกสาร
เขายิ้มแล้วกล่าวว่า“คุณเฉียว นี่เป็นสิ่งที่คุณชายให้ผมเอามาให้คุณ”
เฉียวฉีตะลึง รับมันมา
มองดู เห็นว่าเป็นข้อมูลเกี่ยวกับแผ่นหยกชิ้นนั้น
เธอเงยหน้าถามลุงโอ“แล้วเขาล่ะ ?”
ลุงโอยิ้มแล้วกล่าวว่า“คุณชายมีธุระ เพิ่งจะออกไปเมื่อกี้นี้”
เขาก็ไม่ได้บอกว่าเอาของสิ่งนี้ให้เฉียวฉีเพื่ออะไร แต่คิดว่าน่าจะมีเหตุผลของเขา
ในความเป็นจริง เฉียวฉีเองก็รู้
ดังนั้นจึงพยักหน้า “ฉันรู้แล้ว รบกวนคุณแล้ว ”
ลุงโอยิ้มแล้วกล่าวว่า“ไม่รบกวน ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอไปลงไปก่อน”
เฉียวฉีพยักหน้า
ลุงโอจึงจากไป
หลังจากรอเขาจากไปแล้ว เฉียวฉีจึงหันหลังกลับเข้าห้อง นำเอกสารฉบับนั้นออกมา ดูอย่างละเอียด
เห็นว่าเป็นข้อมูลลายลักษณ์อักษรเหล่านั้นบนแผ่นหยก
ตามการสันนิษฐานของกู้ซือเฉียน กับข้อมูลที่เขาเก็บมาก่อนหน้านั้น แผ่นหยกนี้มีทั้งหมดสิบสองชิ้น บนแต่ละชิ้นมีสัญลักษณ์ไม่เหมือนกัน สัญลักษณ์พวกนี้ดูไปแล้วค่อนข้างนามธรรม แต่ไม่ใช่ตัวอักษรใดๆที่เธอรู้จักเลย
ตอนที่เฉียวฉีอยู่กลุ่มหงส์แดงก่อนหน้านั้น เพราะว่าทางนั้นมีเพื่อนที่ชอบอักษรโบราณอยู่คนหนึ่ง ดังนั้นเธอก็พอเข้าใจอักษรโบราณเล็กน้อย
แม้ว่าจะไม่รู้ว่าอักขระเหล่านั้นหมายถึงอะไร แต่ก็สามารถแยกออกได้ว่าอักขระเหล่านี้เป็นอักษรสมัยไหน
แต่ว่าอันนี้ เธอดูไม่ออกจริงๆ
นอกจากความรู้ของเธอน้อยแล้ว มีความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง นั่นก็คือมันไม่ใช่ตัวอักษร หรือไม่…….ก็ไม่รู้ว่าคิดอะไรขึ้นมาได้ แววตาเฉียวฉีหม่นหมองลง
เสี่ยวเยว่ที่อยู่ข้างๆก็เห็นข้อมูลแล้ว
เพราะว่าตอนนี้เธอติดตามเฉียวฉีมานานมากแล้ว หลายเรื่อง เฉียวฉีก็ไม่ได้หลบเลี่ยงเธอ
ดังนั้น เมื่อกี้ตอนที่เปิดข้อมูลออกดู ไม่ได้หลบเธอ
เสี่ยวเยว่ถามด้วยความประหลาดใจว่า“ยันต์ผีพวกนี้คืออะไร? ทําไมรู้สึกคุ้นๆ?”
เฉียวฉีตะลึง หันหน้ามามองดูเธอด้วยความประหลาดใจ“คุ้นตาหรือ? คุณเคยเห็นหรือ ?”
เสี่ยวเยว่ขมวดคิ้ว เหมือนกันกำลังนึกอะไรบางอย่างขึ้นมา ผ่านไปเนิ่นนานจึงพูดขึ้นว่า“น่าจะใช่ ฉันก็ไม่ค่อยแน่ใจ คิดไม่ออกขึ้นมาทันที ”
แต่เธอพูดเช่นนี้ ก็แสดงว่า เคยเห็นจริงๆ
ทันใดนั้นเฉียวฉีตื่นเต้นขึ้นมา
จับมือเธอไว้ แล้วกล่าวว่า“คุณคิดเร็วๆ ว่าเคยเห็นที่ไหน? ของสิ่งนี้สำคัญมาก หากคุณคิดขึ้นมาได้ก็จะเป็นการช่วยฉันครั้งใหญ่เลย”
เสี่ยวเยว่เผยให้เห็นรอยยิ้มที่เขินอาย “คุณต้องให้เวลาฉันหน่อย ฉันแค่รู้สึกคุ้นๆ น่าจะเคยเห็นที่ไหนมาก่อน แต่ตอนนี้คิดไม่ออก ”
เฉียวฉีพยักหน้า “โอเค ฉันให้เวลาคุณคิด แต่ว่าหากคุณคิดอะไรขึ้นมาได้แล้ว จะต้องมาบอกฉันทันทีเลยนะ ”
เสี่ยวเยว่พยักหน้า
ในใจเฉียวฉีรู้สึกว่า ของสิ่งนี้หากไม่ใช่ของวิเศษจริงๆ แปดสิบเปอร์เซ็นต์นั้นอีกฝ่ายเล่นตุกติกอย่างแน่นอน
พวกเขาใช้ความพยายามมากขนาดนี้ เอาของสิ่งนี้ออกมา ตัวเองนั้นซ่อนอยู่ข้างหลังไม่ปรากฏตัวออกมา
ไม่ว่าตัวเองกับกู้ซือเฉียนจะตรวจสอบอย่างไร ก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเอาของสิ่งนี้ออกมา แล้วใครเป็นคนก่อเรื่องเมื่อสี่ปีก่อนขึ้นมา
แต่ไม่ว่าอย่างไร คนที่สามารถทำสิ่งนี้ออกมา จะต้องเป็นคนที่รู้จักสัญลักษณ์บนนั้นอย่างแน่นอน
ในเมื่อเสี่ยวเยว่บอกว่า เธอเคยเห็นสัญลักษณ์บนนี้ นั่นก็ไม่แน่ว่าอาจเป็นไปได้ว่า อีกฝ่ายกับเสี่ยวเยว่รู้จักกัน ?
หรืออาจจะมีต้นกำเนิดอะไร? เช่นเคยไปที่ไหนสักแห่ง? หรืออาจจะเป็นคนมาจากที่เดียวกัน?
เฉียวฉีรู้สึกว่า ขอเพียงเสี่ยวเยว่นึกออกว่า เธอเคยเห็นสัญลักษณ์นี้ที่ไหน แล้วตัวเองก็จะสามารถหาเบาะแสและติดตามหาร่องรอยของอีกฝ่ายเจอ
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ในใจของเธอก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นขึ้นมา
ตอนแรกคิดว่าจะนำเบาะแสนี้แบ่งปันกู้ซือเฉียน แต่พอตกกลางคืน หลังจากทานข้าวเย็นแล้ว ถึงได้ยินว่าวันนี้ที่เขาออกไป เป็นการเดินทางไกล วันนี้น่าจะไม่กลับมาแล้ว
เฉียวฉีขมวดคิ้ว
ก็ไม่รู้ว่าเขาไปที่ไหน
แต่ว่าเธอก็ไม่ได้คิดอะไรมาก
เธอรู้ว่า กู้ซือเฉียนไปข้างนอก จะต้องมีฉินเยว่ติดตามอย่างแน่นอน
ข้างกายของเขาไม่เคยขาดเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย และเขาเองก็ระมัดระวังมาก ไม่น่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น