เขาเงียบไป เฉียวฉีเองก็เงียบเช่นกัน
ผ่านไปสักพัก ก็พูดเยาะเย้ยขึ้นมา “ถ้างั้นเรื่องชาวนากับงูเห่า ก็ไม่ใช่ไม่สมเหตุสมผลไปซะทีเดียวน่ะสิ”
กู้ซือเฉียนถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งเบาๆ
“ก็อาจจะ”
เฉียวฉีถามขึ้นมาอีก “อีกฝ่ายมีใครบ้าง?”
กู้ซือเฉียนขมวดคิ้ว
“เราได้ทรมานเขาไปแล้ว แต่เขาก็ยังบอกว่าไม่รู้”
เฉียวฉีขมวดคิ้ว
กู้ซือเฉียนอธิบายว่า “อีกฝ่ายติดต่อเขาทางอีเมล ฉันได้ส่งคนไปติดตามที่อยู่ไอพีของอีเมลแล้ว แต่ก็ไม่พบ พวกนั้นน่าจะเตรียมการมาเป็นอย่างดี เขาไม่รู้จักตัวตนของอีกฝ่าย เขารู้เพียงว่า อีกฝ่ายให้เงินเขาเป็นจำนวนมาก และอาจจะให้ตำแหน่งที่สูงขึ้นแก่เขาด้วย”
“บางทีอาจจะเป็นเรื่องการเลื่อนตำแหน่งก็ได้นะ ถ้างั้นการที่เขารับปากก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร การเป็นบอดี้การ์ดตำแหน่งต่ำต้อยที่นี่ จะไปเทียบกับการเป็นหัวหน้าใหญ่ หรือการเป็นผู้มีอิทธิพลที่มีอำนาจปกครองเขตใดเขตหนึ่งได้อย่างไร?”
เฉียวฉีเมื่อได้ยินดังนั้น ก็เย้ยหยันออกมา
“ผู้มีอิทธิพลที่มีอำนาจปกครองเขตใดเขตหนึ่ง? เขาสมควรได้รับมันด้วยเหรอ? เพียงเพราะอีเมลฉบับเดียวจากคนอื่น ตัวเองถึงกับต้องทรยศผู้มีพระคุณ นอกจากจะเป็นตัวปัญหาแล้ว สมองก็ยังใช้การไม่ได้อีก ประสบความสำเร็จได้ก็แปลกแล้ว”
กู้ซือเฉียนไม่ได้แสดงความคิดเห็นในสิ่งที่เธอพูด
จากนั้นทั้งสองก็เงียบลงอีกครั้ง
ครู่หนึ่ง ถึงได้ยินเฉียวฉีพูดออกมาว่า “เพราะงั้น เบาะแสนี้ก็ตกไปอีกแล้วเหรอ?”
กู้ซือเฉียนพยักหน้า
“ก็คงต้องอย่างนั้น ขนาดฉินเยว่ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในการทรมานและเค้นคำสารภาพ แม้กระทั่งเขายังไม่สามารถแงะอะไรออกจากปากของคนคนนั้นได้เลย เห็นได้ชัด ว่าทำอะไรไม่ได้แล้ว”
เฉียวฉียังรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ
ความรู้สึกอ่อนแอ และความรู้สึกเจ็บใจนั้นล้นทะลักเข้ามาในใจอีกครั้ง
นี่มันกี่ครั้งแล้ว?
อีกฝ่ายยื่นมือมาขัดขวางระหว่างพวกเขา ทำให้เธอและกู้ซือเฉียนได้รับบาดเจ็บซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่ตัวเธอเองไม่สามารถแตะต้องแม้เพียงเส้นขนของพวกมัน หรือแม้กระทั่งรู้ถึงตัวตนของอีกฝ่ายหนึ่งได้
ในใจของเฉียวฉี มีความหงุดหงิดที่อธิบายไม่ได้
อารมณ์ของกู้ซือเฉียนก็ไม่ได้ดีมากนัก แต่เมื่อเทียบกับเฉียวฉี ดูแล้วเขาใจกว้างกว่าเธอหน่อย
เรื่องนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเวลาล่วงเลยไปหลายปี แต่ตั้งแต่เมื่อสี่ปีที่แล้วที่เขาสังเกตพบสิ่งผิดปกติ ดังนั้นความอดทนที่ควรมี จึงถูกฝึกฝนอย่างหนักหน่วงมาตลอดภายในระยะเวลาสี่ปีนี้
ดังนั้น เขาจึงไม่มีความกังวลเลยแม้แต่นิดเดียว ว่าจะไม่สามารถค้นหาตัวตนของอีกฝ่ายเจอได้
ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น
แต่คำพูดเหล่านี้ เขาไม่ได้พูดกับเฉียวฉี
เพราะเขาบอกเธอไม่ได้ว่า เขารู้ตั้งแต่สี่ปีก่อนแล้วว่า มีมือสีดำที่มองไม่เห็นอยู่เบื้องหลัง
เฉียวฉีก็ไม่ได้ถามเขาเช่นกัน หลังจากส่งเธอกลับไปที่ห้องแล้ว เขาก็บอกให้เธอรีบเข้านอน จากนั้นก็ออกมา
วันถัดมา
ขณะที่เฉียวฉีกำลังจะไปหากู้ซือเฉียน ไม่ไกลนั้นเธอบังเอิญเห็นเสี่ยวเยว่ กำลังพูดคุยอยู่กับคนที่แต่งตัวเป็นบอดี้การ์ด
เมื่อพูดกันตามเหตุผลแล้ว เสี่ยวเยว่เป็นคนรับใช้ที่ดูแลเธอภายในปราสาท ซึ่งปกติแล้วไม่ควรมีการติดต่อกับบอดี้การ์ดจากภายนอกมากนัก
พวกเขามาอยู่ด้วยกันได้อย่างไร?
เฉียวฉีจึงเดินเข้าไปหาด้วยความสงสัย
อย่างไรก็ตาม อีกฝ่ายมีสายตาที่เฉียบแหลม เขาสามารถมองเห็นเธอได้อย่างรวดเร็ว และหยุดการสนทนาทันที
จากนั้นถอยหลังหนึ่งก้าว แล้วกล่าวด้วยความเคารพ “คุณเฉียว”
เฉียวฉีเหลือบมองเขา
เมื่อเข้าไปใกล้ก็พบว่า ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นบอดี้การ์ดในปราสาท แต่เขาก็ดูไม่เหมือนคนที่มีพละกำลังเลย
บุคคลนั้นดูสง่างามมีการศึกษา ผิวก็ขาวเกลี้ยงเกลาราวกับปัญญาชน
เธอยิ้ม และถามเสี่ยวเยว่ “นี่ใครเหรอ?”
สีหน้าของเสี่ยวเยว่แดงระเรื่อ และพูดอย่างเขินอาย “พี่เฉียวเฉียว เขาชื่อซูเฉิงเป็นบอดี้การ์ดในปราสาทของเรา เนื่องจากคุณชายได้รับบาดเจ็บเมื่อเร็วๆ นี้ เขาจึงถูกย้ายมาที่วงในเพื่อปกป้องอาคารหลักที่นี่ค่ะ “
เฉียวฉีพยักหน้า และส่งเสียง “โอ้” แสดงความเข้าใจ
จากนั้น สายตาของเธอกวาดผ่านใบหน้าที่ดูประหม่าของทั้งสองคน ทันใดนั้นเธอก็เข้าใจบางอย่าง
นัยน์ตาแสดงความสนใจฉายออกมาแวบหนึ่ง และหัวเราะเบาๆ “ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีการควบคุมความปลอดภัยอย่างเข้มงวด อาจจะลำบากหน่อยนะ รบกวนคุณด้วยนะคะ”
ซูเฉิงรู้สึกปลื้มปีติ
เขารีบโค้งคำนับอย่างรวดเร็วและพูดว่า “ไม่ลำบากเลยครับ มันเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว”
เฉียวฉียิ้ม ไม่พูดอะไร แล้วบอกให้เสี่ยวเยว่มากับเธอ
เธอลองสังเกต ขณะที่เสี่ยวเยว่ออกมา เธอจึงจงใจมองย้อนกลับไปที่ซูเฉิง
เฮ้ นี่มันเด็กสาวคลั่งรักนี่นา…
แม้ว่าเฉียวฉีมักจะดูเย็นชา และดูเหมือนจะไม่สนใจทุกอย่างมากนัก แต่อันที่จริง เธอเองก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง
เช่นเดียวกับคนทั่วไป เธอก็มีความชอบเรื่องซุบซิบ และมีความอยากรู้อยากเห็นเหมือนกัน ในขณะเดียวกัน ความสัมพันธ์ที่งดงามเหล่านั้น เธอก็มีใจอยากจะอวยพรให้พวกเขา
และในช่วงเวลานี้สำหรับเสี่ยวเยว่ หล่อนคือคนรู้จักใหม่ที่ค่อนข้างสนิทเพียงคนเดียวที่อยู่รอบตัวเธอ หากอีกฝ่ายสามารถพบสิ่งที่ตัวเองรักได้จริงๆ และฝ่ายนั้นก็ไว้ใจได้ เธอก็ยินดีกับมัน
เมื่อคิดมาถึงตอนนี้ เธอก็อดคิดไม่ได้อีกว่า หากมีโอกาสอีกวัน เธอต้องเรียกลุงโอมาซะแล้ว เพื่อที่จะได้ตรวจสอบที่มาที่ไปและภูมิหลังของซูเฉิงสักหน่อย
แม้ว่าจะพูดอย่างนั้น แต่คนที่สามารถถูกกู้ซือเฉียนย้ายมาที่อาคารหลักได้ จะต้องไม่ใช่คนเลวอย่างแน่นอน
แต่จะเป็นการดีกว่าที่จะตรวจสอบสักหน่อย จะได้รู้สึกสบายใจมากขึ้น
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ มุมปากของเธอก็อดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มออกมา
ในไม่ช้า พวกเธอก็มาถึงห้องของกู้ซือเฉียน
เสี่ยวเยว่ไม่ได้เข้าไป แต่รออยู่ข้างนอกกับสาวใช้อีกสองสามคน หรือก็คือคุยเล่นกับพวกหล่อนบ้าง ช่วยพวกหล่อนทำงานบ้าง รอดูเผื่อว่าเฉียวฉีต้องการอะไร จะได้เข้าไปได้ทันท่วงที
ในห้องนอน กู้ซือเฉียนกำลังนั่งพิงหัวเตียงและอ่านหนังสืออยู่
เขาไม่ได้สวมเสื้อเชิ้ต ร่างกายท่อนบนของเขาถูกพันด้วยผ้าพันแผล และดูจากที่นั่งพิงหัวเตียงอยู่แบบนั้นนั้น ดูเหมือนว่าคนป่วยจะรักษาบาดแผลของตัวเองอย่างเชื่อฟัง
เป็นเรื่องยากสำหรับเฉียวฉีที่จะเห็นเขามีพฤติกรรมเช่นนี้ เธอเดินไปหาเขาด้วยรอยยิ้ม
“วันนี้คุณอาการเป็นยังไงบ้าง?”
กู้ซือเฉียนเงยหน้าขึ้นมองเธอ และพูดว่า “ยังไม่ตาย”
“หึ ถ้าอีกฝ่ายรู้เข้า คงเสียดายนะ”
การหยอกล้อของเธอ ทำให้กู้ซือเฉียนจ้องมอง
ด้วยความรู้สึกที่เฉียบแหลมของเขา วันนี้เฉียวฉี ดูเหมือนว่าจะอารมณ์ดีขึ้นกว่าเมื่อวานเยอะเลย
เขาวางหนังสือในมือลง แล้วตบลงที่ขอบเตียง
“มานี่สิ”
เฉียวฉีเลิกคิ้วขึ้น “ทำไม?”
“เรียกให้มาก็มาเถอะ”
น้ำเสียงของชายคนนั้น ทำให้เธอไม่พอใจเล็กน้อย แต่เมื่อคิดดูแล้ว ตอนนี้เขาก็เป็นคนป่วย แล้วทำไมเธอเองถึงต้องโกรธคนป่วยด้วยล่ะ?
ดังนั้น เธอจึงพ่นลมออกมาทางจมูกเบาๆ โดยไม่ได้พูดอะไร แล้วเดินเข้าไปหาเขา
มีรอยยิ้มเกิดขึ้นในแววตาของกู้ซือเฉียน เขากล่าวว่า “มีข่าวดีและข่าวร้าย คุณอยากได้ยินเรื่องไหนก่อน?”
เฉียวฉีตกตะลึง และหันไปมองเขา
สายตาของเขามีพิรุธเล็กน้อย
เพียงครู่เดียว เธอก็เลือกข่าวร้ายโดยไม่ลังเล
กู้ซือเฉียนกล่าวอย่างเคร่งขรึม “สายลับที่ถูกจับก่อนหน้านี้ เสียชีวิตแล้วตอนเที่ยงคืนของเมื่อวาน”
เฉียวฉีตกใจ ดวงตาของเธอเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ
“ตายแล้วเหรอ? ตายได้ยังไง?”
“กลางดึกฉันได้เอาลูกบอลผ้าที่ยัดเข้าไปในปากเขาออก ปรากฏว่าเขาฆ่าตัวตายโดยการกัดลิ้นตัวเองไปแล้ว”
เฉียวฉีตกใจมาก!
เธอไม่คิดเลยว่า สุดท้ายมันจะกลายเป็นแบบนี้
ใบหน้าเธอเปลี่ยนไปครั้งแล้วครั้งเล่า และพูดอย่างเคร่งขรึม “แล้วข่าวดีล่ะ?”
สีหน้าของกู้ซือเฉียนผ่อนคลาย เขายิ้มพร้อมเอ่ยว่า “เราพบอะไรบางอย่างในตัวเขา “