แต่สำหรับเรื่องนั้น เธอไม่มีอะไรต้องปิดบัง
ดังนั้น เธอจึงพยักหน้า
แล้วกระซิบเบาๆ ว่า “เขายังไม่รู้ความในใจของฉัน ฉันยังไม่ได้พูดกับเขาเรื่องนี้”
เงียบไปครู่หนึ่ง เธอมองไปที่เฉียวฉีอย่างคาดหวัง และกระซิบถามว่า “พี่เฉียวเฉียว คุณว่าผู้หญิงคนหนึ่ง ควรจะมัดใจชายหนุ่มที่ตัวเองชอบยังไงดี?”
เธอไม่รู้จริงๆ เพราะเธอไม่เคยมีแฟนมาก่อนเลย นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เธอชอบผู้ชายคนหนึ่ง เธอรู้สึกเพียงว่าในสายตาเธอมีเขาคนเดียวเท่านั้น
เธออยากเจอเขาทุกวัน แต่กลัวว่าการไปเจอเขาบ่อยๆ จะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกรำคาญ
ดังนั้น ทุกครั้งเธอจึงต้องพยายามหาข้ออ้าง เพื่อที่จะได้มีโอกาสพบเจอกับอีกฝ่าย
แต่ยิ่งเป็นแบบนี้มากเท่าไหร่ หัวใจของเธอก็ยิ่งรู้สึกไม่มั่นคง และเธอรู้สึกเสมอว่าความสัมพันธ์นี้ ตั้งแต่ต้นจนจบนั้นเป็นเพียงการแสดงออกสำหรับเธอเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น
เขาไม่รู้อะไรเลย เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอชอบเขา และสุดท้ายมันก็คงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะคบหาดูใจกับเธอ
แต่ถ้าจะบอกว่า ให้เธอรวบรวมความกล้าที่จะสารภาพต่อเขาไป เธอก็ไม่กล้า
ในเวลานี้ อารมณ์ของเสี่ยวเยว่ไม่ได้ขัดแย้งกันอีกต่อไป
เธออยู่ที่นี่ ก็พูดได้ว่านานพอสมควรแล้ว แต่น้อยคนนักที่เธอจะไว้ใจได้จริงๆ
ในบรรดากลุ่มคนรับใช้ก็จะมีกลุ่มเล็กๆ ของตัวเองแยกย่อยไปอีก แม้ว่าปกติแล้วทุกคนจะดีต่อกัน ความสัมพันธ์ก็ถือว่าใช้ได้เลยทีเดียว
แต่เธอรู้อยู่แก่ใจว่า มิตรภาพแบบนี้ไม่มั่นคง เผลอๆ ออกจะเปราะบางด้วยซ้ำไป
ตราบใดที่เธอเปิดเผยความลับของเธอให้กับหนึ่งในนั้นฟังวันนี้ วันรุ่งขึ้น สาวใช้ทั้งปราสาทก็จะรู้ว่า เธอซึ่งเป็นสาวใช้ผู้ต่ำต้อย แอบชอบบอดี้การ์ดของกู้ซือเฉียน
นี่ยังไม่ได้พูดถึงว่าถ้าซูเฉิงรู้เขาจะคิดอย่างไร แม้แต่ตัวเธอเอง ยังละอายใจจนไม่มีหน้าจะไปเจอใครๆ เลย
ดังนั้น ถึงจะแอบชอบมานานขนาดนี้แล้ว แต่เธอก็ต้องเก็บความรู้สึกของตัวเองไปตลอด และไม่เคยบอกเรื่องนี้ให้ใครฟังเลย
เฉียวฉีมองไปที่หล่อน เธอจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าหล่อนกำลังคิดอะไรอยู่?
เธอคร่ำครวญอยู่ครู่หนึ่ง แล้วค่อยปลอบโยนว่า “จริงๆ แล้วในความคิดของฉันนะ ถ้าคนสองคนรักกันจริง ก็ไม่จำเป็นต้องจงใจทำอะไรเพื่อเอาใจอีกฝ่ายหรอก”
“เพราะรักแท้น่ะ ไม่ว่าจะทำอะไร ยังไงเขาก็มีความสุข ความสุข ความโกรธ รอยยิ้ม และความไม่พอใจของเธอคือสิ่งที่น่าหวงแหนที่สุดในสายตาของเขา”
“แน่นอนว่า ในตอนนี้พวกเธอสองคนอยู่ในสถานการณ์ที่ต่างกัน เขาอาจไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ หรืออาจจะเหมือนกับเธอก็ได้ ที่เต็มไปด้วยความรักที่มีต่อเธอ แต่เขาไม่กล้าพูดเพราะต้องรักษาภาพพจน์”
“ในกรณีที่เลวร้ายที่สุดก็อาจเป็นไปได้ว่า เขาแค่ปฏิบัติต่อเธอในฐานะเพื่อนหรือน้องสาวที่ใกล้ชิดสนิทสนม และไม่ได้คิดกับเธอแบบนั้น”
“แต่ไม่ว่าจะเป็นกรณีไหน จำไว้นะว่า เธอสามารถให้เขาทุกอย่าง หรือให้ใจเขาได้ แต่ทั้งหมดนั้นก็ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขของการทำให้ตัวเองมีความสุขไปพร้อมๆ กันและต้องไม่ทำร้ายความรู้สึกตัวเองด้วย”
“เมื่อพบว่าสถานการณ์ไม่ดีแล้ว เธอก็ต้องถอยออกมาทันที และก็ต้องไม่ดื้อดึง จนปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นฝ่ายควบคุมเราได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ง่ายที่จะต้องทุกข์ใจเอง”
เสี่ยวเยว่มองไปที่เธอ และพยักหน้าแสดงความเข้าใจ
ผ่านไปครู่หนึ่ง เธอก็พูดขึ้นมา “พี่เฉียวเฉียว ดูเหมือนว่าฉันจะเข้าใจสิ่งที่คุณพูดแล้ว คุณไม่ต้องกังวลนะ ฉันรู้แล้วว่าควรทำยังไง”
เฉียวฉียิ้มและตบบ่าเธอ “เสี่ยวเยว่ของพวกเราก็อายุยี่สิบแล้วใช่ไหม?”
เสี่ยวเยว่พยักหน้า “อืม ใช่แล้วค่ะ”
“จงกล้าที่จะชอบ และหากมันกลายเป็นจริงขึ้นมา ฉันจะให้สินสอดทองหมั้นแก่เธอเอง”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของเสี่ยวเยว่ก็แดงขึ้นอีกครั้ง
หล่อนผลักเธอออกอย่างหงุดหงิดปนประหม่า และพูดว่า “พี่เฉียวเฉียว คุณพูดอะไรไร้สาระ”
เฉียวฉีหัวเราะเสียงดัง
หลังจากหยอกล้อเสี่ยวเยว่แล้ว เฉียวฉีก็อารมณ์ดีขึ้น พอกลับมาที่ห้องเธอก็อ่านหนังสืออยู่พักหนึ่ง จนเวลาก็ล่วงเลยไปจนดึก จากนั้นเธอก็ผล็อยหลับไป
วันรุ่งขึ้น เธอก็แอบขอให้ลุงโอตรวจสอบประวัติของซูเฉิงให้เธอ
ผลการตรวจสอบถูกส่งกลับมาเร็วมาก ข้อมูลของซูเฉิงนั้นไร้มลทิน เขาเป็นคนที่ใช้ได้เลย และชื่อเสียงของเขาในกลุ่มบอดี้การ์ดก็ถือว่าดี
ก่อนหน้านี้ เนื่องจากหัวหน้าบอดี้การ์ดคนล่าสุดประสบอุบัติเหตุ จึงต้องเลือกหัวหน้าคนใหม่ขึ้นมาแทน
มีหลายคนเสนอชื่อเขา ถ้าไม่ใช่เพราะเขามีประสบการณ์น้อย และเด็กเกินไปทำให้ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะรับตำแหน่ง ไม่เช่นนั้นตอนนี้เขาคงจะได้เป็นลูกน้องโดยตรงของฉินเย่วไปแล้วด้วยซ้ำ
ไม่ว่าจะมองอย่างไร คนคนนี้ก็ไว้ใจได้
เมื่อเฉียวฉีเห็นอย่างนี้ ก็โล่งใจ
ในตอนเย็น หลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จ เธอก็ลงไปนอนบนเก้าอี้อาบแดดที่ระเบียงเพื่อรับอากาศเย็นๆ
ขณะนี้ เป็นเดือนสิงหาคม และฤดูร้อนยังไม่ผ่านพ้นไปอย่างสมบูรณ์ ซึ่งนับได้ว่าเป็นฤดูกาลที่ร้อนที่สุดของปี
ถ้าอยู่บ้านตอนกลางวันก็ยังไม่เท่าไหร่ แต่ในตอนกลางคืนกลับรู้สึกอุดอู้เล็กน้อย ทำให้ขี้เกียจแม้กระทั่งจะขยับตัว เธอเลยย้ายเก้าอี้ไปเอนหลังดูดาวที่ระเบียง
เธอนอนหงาย รู้สึกได้ถึงความปวดหน่วงที่ศีรษะของเธอ
มีอาการวิงเวียนศีรษะ และอยากอาเจียน
ดังนั้น ก็เลยให้คนไปตามเสี่ยวเยว่มา
พอเสี่ยวเยว่เข้ามา และเมื่อหล่อนเห็นสีหน้าของเธอ จึงบอกว่า “สองวันมานี้อากาศร้อนมาก หรือว่าจะเป็นลมแดดหรือเปล่าคะ?”
เฉียวฉีผงะ และขมวดคิ้ว “คงไม่น่าจะถึงขนาดนั้นหรอก ตอนกลางวันฉันก็ไม่ได้ออกไปข้างนอกเลย ฉันอยู่ในห้องตลอดเวลา เครื่องปรับอากาศก็เปิดนะ”
เมื่อเสี่ยวเยว่เห็นแบบนี้ เธอก็พูดด้วยความเป็นห่วง “ถ้างั้นฉันควรให้หมอมาดูคุณหน่อยไหม?”
เพราะอย่างไรแล้วในปราสาทก็มีแพทย์ประจำอยู่
เฉียวฉีลังเล และในที่สุดก็ส่ายหัว
“ช่างเถอะ ไม่ต้องหรอก”
ตอนนี้เป็นช่วงที่มีหลายปัญหารุมเร้า และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอเป็นแบบนี้ ครั้งล่าสุดที่หมอมาตรวจอาการบาดเจ็บที่ขาของเธอ เธอก็ถามหมอเรื่องอาการนี้ด้วย แต่หลังการตรวจของอีกฝ่ายหนึ่ง ก็ปรากฏว่าไม่พบปัญหาใดๆ
เธอรู้สึกว่า ในช่วงนี้อากาศคงจะร้อนเกินไปจริงๆ อุดอู้อยู่ในนี้ทุกวันคงทำให้ไม่สบายขึ้นมา
ดังนั้น เธอจึงไม่อยากทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา กู้ซือเฉียนยังบาดเจ็บอยู่ ถ้าเขารู้ว่าเธอเรียกหมอมา เขาอาจจะคิดว่าเธอเป็นอะไรไปก็ได้
ผ่านไปสักพักหล่อนก็เข้ามาดูเธออีกครั้ง ท่าท่างกระวนกระวายและกังวล
เฉียวฉีไม่อยากให้คนอื่นเป็นห่วงเธอ อย่างไรก็ตามนี่มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ดังนั้นเธอจึงไม่บอกให้คนอื่นรู้
เสี่ยวเยว่ยิ่งเห็นเธอเป็นแบบนี้ ก็ยิ่งกังวลมากขึ้น
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็พูดว่า “ทำไมไม่ลองให้ฉันนวดน้ำมันหอมระเหยให้คุณดูล่ะ? ดูสิว่ามันจะดีขึ้นไหม”
เมื่อหล่อนพูดมาเช่นนี้ เฉียวฉีก็นึกถึงครั้งที่แล้วที่หล่อนนวดให้เธอขึ้นมา ความรู้สึกผ่อนคลายไปทั้งตัว เธอก็พยักหน้าทันที
“ดีเลย เอาอย่างนั้นก็ได้ เธอลองนวดดู”
เสี่ยวเยว่พยักหน้า และรีบร้อนออกไปหยิบของ
หล่อนรีบนำอุปกรณ์ต่างๆ เข้ามาอย่างรวดเร็ว เฉียวฉีก็ไม่ขยับไปไหน เธอปรับเอนตัวนอนราบ และให้หล่อนทำการนวดให้ที่ระเบียงเลย
ต้องบอกว่า ฝีมือการนวดของเสี่ยวเยว่ เป็นที่โปรดปรานของเธอจริงๆ
มือเล็กๆ คู่นั้น ราวกับว่าถูกประทานจากเหล่าทวยเทพ เรียกได้ว่าเป็นฝีมือชั้นยอดเลยทีเดียว
การกดจุดที่ศีรษะ การใช้แรงหนักเบาหรืออัตราเร็วในการกดจุดนั้นก็แม่นยำเป็นพิเศษ เมื่อกดจุดไปก็ทำให้คนง่วงนอนได้เลย
เฉียวฉีอดไม่ได้ที่จะหัวเราะและพูดติดตลกว่า “แย่แล้ว ต่อไปถ้าฉันอยู่ไม่ได้หากปราศจากฝีมือของเธอจะทำยังไงดี?”
เสี่ยวเยว่ยิ้มและกล่าวว่า “ถ้างั้นฉันก็จะตามคุณไปตลอดชีวิตเลย ตราบใดที่คุณไม่รังเกียจฉันก็พอ”