เธอเลยพูดติดตลกว่า “ชิ ถ้าคุณหาพี่เขยให้ฉันได้ จะกี่อย่างก็ให้ได้”
พอเธอพูดออกไปแบบนี้ ใบหน้าของเสี่ยวเยว่ก็แดงขึ้นอีกครั้ง
จากนั้นจึงเหลือบมองซูเฉิงที่ตามหลังมาไกลๆ อย่างระมัดระวัง และจ้องมองเธออย่างโกรธเคือง “พี่เฉียวเฉียว!”
เฉียวฉีหัวเราะร่า
อันที่จริง ที่ออกมาข้างนอกคราวนี้ ไม่เพียงเพื่อพาเสี่ยวเยว่มาซื้อของเท่านั้น แต่เธอยังมีของใช้ส่วนตัวที่จำเป็นต้องซื้อด้วยเหมือนกัน
ภายในปราสาทนั้นดูแลดีมาก ลุงโอก็ดูแลเธออย่างดีไม่ขาดตกบกพร่อง แต่ถึงเขาจะรอบคอบเพียงใด แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็เป็นผู้ชายอยู่ดี
เฉียวฉีเป็นผู้หญิง ก็ต้องมีของใช้จำเป็นบางอย่างที่ผู้หญิงต้องใช้เป็นการส่วนตัว แม้ว่าเธอจะเตรียมมันติดห้องไว้แล้วก็ตาม แต่เมื่อใช้หมด เธอก็ละอายใจที่จะพูดกับลุงโอ ไม่กล้าบอกให้เขาจัดการให้
ดังนั้น เลยใช้ประโยชน์จากการที่ได้ออกมาวันนี้ มาซื้อเพิ่มด้วยตัวเอง
เฉียวฉีมีบัตรเครดิตอยู่ในมือ ซึ่งเป็นของกู้ซือเฉียน เธอและกู้ซือเฉียนเติบโตขึ้นมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก และทุกวันนี้พวกเขาลงเรือลำเดียวกันแล้ว เธอจึงไม่เคยรู้สึกว่าการใช้เงินของเขาเป็นเรื่องที่ผิด
ดังนั้น จึงไม่ลังเลที่จะใช้จ่าย
แน่นอนว่า กู้ซือเฉียนไม่ได้ขาดเงินอยู่แล้ว ถ้าเฉียวฉียินดีที่จะใช้จ่าย หรือใช้มากขึ้นอีก ไม่แน่ว่าเขาอาจจะมีความสุขก็ได้
เพราะมันทำให้เห็นว่า เฉียวฉีไม่ได้เห็นเขาเป็นคนอื่นคนไกล และไม่ได้ปฏิบัติต่อเขาเหมือนเป็นคนนอก
เงินทองของเขามีมากน้อยเท่าไหร่ ความจริงแล้วเธอก็ไม่รู้แน่ชัด แต่นับเท่าไหร่ก็คงจะนับไม่หมดแน่นอน ตราบใดที่เธอใช้มันได้ เขาก็อยากจะมอบมันทั้งหมดให้กับเธอ
ดังนั้น เมื่อไม่นานมานี้ กู้ซือเฉียนจึงขอให้ลุงโอผูกบัญชีเธอเข้ากับบัตรดำโดยตรง
ในบัตรนั้นวงเงินไม่จำกัด สามารถรูดได้ตามใจต้องการ
แน่นอนว่าเฉียวฉีจะไม่เกรงใจ
เธอและกู้ซือเฉียนในทุกวันนี้ แม้แต่ชีวิตของพวกเขาก็ยังผูกติดกัน จะต้องมาสนใจเรื่องการใช้จ่ายเงินเพียงเล็กน้อยทำไมกัน?
ทั้งสองเริ่มเดินเล่นในห้าง
เมื่อเข้ามาในห้างแรกๆ เสี่ยวเยว่ยังไม่อยากปล่อยมือเธอ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะความไม่คุ้นเคยด้วย เธอจึงเหมือนยับยั้งชั่งใจตัวเองไว้อยู่
อีกอย่าง ไม่รู้ว่ามันเป็นภาพลวงตาของเฉียวฉีเองหรือเปล่า เฉียวฉีรู้สึกมาโดยตลอดว่า แม้ว่าเธอจะแสดงออกมาว่ากำลังมีความสุขมาก แต่ความจริงแล้วก็มีบางอย่างอยู่ในใจ
อย่างไรก็ตาม หล่อนไม่ได้พูดออกมา เธอจึงไม่อยากถามอะไรมาก
เพราะท้ายที่สุดแล้ว ทุกคนล้วนมีสิทธิ์ในความเป็นส่วนตัว แม้ว่าเธอจะถือว่าเสี่ยวเยว่เป็นเพื่อน แต่เธอก็ไม่เคยคิดที่จะก้าวก่ายชีวิตของหล่อนมากเกินไป
ทั้งสองไปร้านขายเครื่องประดับที่ตั้งอยู่ที่ชั้นหนึ่งก่อน
เฉียวฉีไม่ได้สนใจเครื่องประดับมากนัก และที่เธอใส่ประจำ ก็จะเป็นสไตล์เรียบง่ายเพียงไม่กี่แบบ
เนื่องจากที่ผ่านมาเธอต้องทำงานใช้กำลัง เพราะอย่างนั้นเครื่องประดับที่ใหญ่เกินไปจะส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของเธอ แถมยังจะดึงดูดความสนใจของผู้คนอีกต่างหาก ซึ่งไม่สะดวกต่อการใช้ชีวิตและการเคลื่อนไหวตามปกติของเธอเอาเสียเลย
ดังนั้นตลอดหลายปีที่ผ่านมา เธอจึงได้ปลูกฝังมาตรฐานความงามอันเรียบง่ายและไม่เป็นจุดสนใจของตัวเองขึ้นมา
และตอนนี้ถึงจะได้รับเชิญไปร่วมงานในโอกาสที่เป็นทางการที่สำคัญๆ เธอก็ไม่ค่อยได้ใส่เครื่องประดับชิ้นใหญ่เท่าไหร่
แต่ในเมื่อมาแล้ว ก็ต้องเดินดูสักหน่อย
คิดได้ดังนั้น เฉียวฉีจึงลากเสี่ยวเยว่เดินดูตั้งแต่เคาน์เตอร์แรกและค่อยๆ ไล่ไปทีละเคาน์เตอร์
แม้ว่าทุกคนจะไม่รู้จักเธอ แต่เมื่อเห็นบอดี้การ์ดที่อยู่ข้างหลังเธอ เอิกเกริกขนาดนี้ พวกเขาก็รู้ว่าเธอไม่ใช่คนธรรมดาแน่
พวกเขาจึงยิ่งเอาอกเอาใจเธอมากขึ้น
ทั้งสองคนเดินดูอยู่พักหนึ่ง เฉียวฉีก็เห็นกำไลข้อมือหินโมราสีแดงเส้นหนึ่ง ซึ่งฝีมือในการทำกำไลข้อมือเส้นนี้กระชับเรียบง่าย แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เธอนึกถึงเข็มเงินที่เธอค้นคว้าครั้งล่าสุดได้ และนี่น่าจะใส่เข้าไปข้างในได้พอดี
หลังจากซื้อกำไลข้อมือแล้ว ทั้งสองก็ขึ้นไปที่ชั้นสอง
มีเสื้อผ้าแฟชั่นบางส่วนบนชั้นสอง
เสื้อผ้าแฟชั่นเหล่านี้ ทั้งหมดเป็นแบรนด์ชั้นนำที่มีชื่อเสียงระดับโลก เฉียวฉีพาเสี่ยวเยว่ไปเดินดูแล้วรอบหนึ่ง แต่ก็ไม่พบอะไรที่เธอชอบ
เสี่ยวเยว่มักจะกระตือรือร้นที่อยากรู้อยากลองอยู่เสมอ แต่เพราะเธอไม่เคยชินกับมัน แถมยังก็ขี้อายอีก ในที่สุดก็ไม่กล้าที่จะพูดออกมา
เฉียวฉีดูออก และเธอก็ไม่ได้รีบร้อน
สำหรับบางอย่าง บางคนบอกว่ามันง่ายที่จะทำลายกำแพงในใจของผู้คน แต่ก็ไม่เท่ากับปล่อยให้เขาทำตามขั้นตอนนั้นด้วยตัวเอง
เธอถือว่าเสี่ยวเยว่เป็นคนที่อยู่ในความดูแลของเธอจริงๆ ดังนั้นเธอจึงตั้งใจจะเปลี่ยนหล่อน
หลังจากเดินดูทั่วทั้งชั้นสองแล้ว แต่ก็ยังไม่พบของที่ชอบ คนกลุ่มนี้ก็เลยขึ้นไปที่ชั้นสาม
ที่ชั้นสามก็มีเสื้อผ้าแฟชั่นขายเช่นกัน
ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวจากชั้นสองคือ ชั้นสองเต็มไปด้วยร้านเสื้อผ้าแบรนด์เนมแถวหน้า แต่ชั้นสามทั้งชั้นกลับเต็มไปด้วยห้องเสื้อของแบรนด์ระดับโลก
ในร้านยังมีเสื้อผ้าสำเร็จรูปอยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่น ที่มีเพียงชิ้นเดียวหรือเพียงไม่กี่ชิ้นในโลก
หลังจากที่ทั้งสองเลือกร้านและเข้าไปเรียบร้อยแล้ว เฉียวฉีก็ขอให้พวกเขานำเสื้อผ้ารุ่นที่ออกแบบใหม่ ออกมาให้เธอดู
คนเหล่านั้นไม่รอช้า และหยิบอัลบัมภาพออกมาให้เธอดู พลางแนะนำให้เธอฟัง
เฉียวฉีมองดูเสื้อผ้ารุ่นใหม่ที่มีสีสันพวกนั้นในอัลบัม และฟังอย่างตั้งใจ
แต่ในความเป็นจริงแล้ว แทบไม่มีตัวไหนเข้าตาเธอเลย
จนเมื่อเปิดไปถึงหน้าสุดท้าย เธอก็หยุด
พนักงานขายยิ้มและแนะนำต่อ “กระโปรงตัวนี้ก็เป็นรุ่นใหม่ที่เราเพิ่งเปิดตัวในฤดูร้อนนี้เช่นกันค่ะ เป็นคอลเลคชั่นลิมิเต็ดระดับไฮเอนด์ ซึ่งมีเพียงห้าตัวในโลก และตัวเดียวในเอเชีย ตัวกระโปรงนั้นได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากใบไม้ และสีเขียวมิ้นต์นั้นเป็นสีที่ดูสบายตาให้ความรู้สึกสดชื่นและสว่างสดใส เพื่อให้สอดคล้องกับความรู้สึกของการออกแบบนี้พอดี และเมื่อสวมใส่แล้วจะทำให้ผู้สวมใส่รู้สึกถึงสายลมเย็นๆ พัดพาชวนให้สดชื่น “
เฉียวฉีเงยหน้ามองเสี่ยวเยว่
ต้องบอกว่า ความจริงแล้วเสี่ยวเยว่ไม่ใช่คนที่สวยจนต้องตกตะลึง แต่เธอสามารถเอาชนะได้ด้วยใบหน้าที่สวยสดงดงาม เธอเป็นสาวงามในวัยแรกแย้มที่กำลังมีความรักโดยแท้จริงเลย
เธออดยิ้มไม่ได้
เด็กสาวที่กำลังอยู่ในภวังค์แห่งความรักน่ะ ก็ต้องแต่งตัวให้สวยขึ้นอีกหน่อย ถึงจะดึงดูดความสนใจของคนที่ตัวเองชอบ
เธอเลยชี้ไปที่กระโปรงในอัลบั้มรูป แล้วถามว่า “มีของไหมคะ?”
พนักงานขายยิ้มและตอบว่า “มีค่ะ คุณมาถูกจังหวะพอดีเลยค่ะ ร้านเดียวในเอเชียที่มีกระโปรงตัวนั้นก็คือร้านของเราเองค่ะ ยังไม่มีใครเคยลองสวมด้วยนะคะ เดี๋ยวฉันจะไปหยิบมาให้คุณ”
“ดีเลย รบกวนด้วยนะคะ”
พนักงานขายยิ้มและเดินออกไป
เสี่ยวเยว่มองไปที่กระโปรงตัวนั้นในอัลบั้มภาพ ดวงตาของเธอเป็นประกาย
แล้วพูดชื่นชม “กระโปรงตัวนี้สวยจริงๆ เลยนะคะ”
เฉียวฉีกล่าวว่า “เธอก็คิดว่ามันดูดีใช่ไหม?”
“ค่ะ”เธอพยักหน้าอย่างหนักแน่น
“งั้นถ้าได้มาแล้ว เธอก็เอาไปลองดูสิ”
“ฮะ?” เสี่ยวเยว่ตกตะลึง
ทันทีหลังจากนั้น เธอก็โบกมือปฏิเสธ “ฉันทำไม่ได้หรอกค่ะ ฉัน…”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ? เธอเป็นคนสวยขนาดนี้ ซ้ำยังไร้เดียงสาและสดใส เข้ากับสไตล์ของกระโปรงตัวนี้พอดี ฉันว่าเธอต้องดูดีมากแน่ๆ เมื่อสวมมัน”
สายตาของเสี่ยวเยว่แอบเหลือบมองที่ตัวเลขราคาที่แขวนอยู่บนอัลบั้มภาพ และนับในใจอย่างเงียบๆ
หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก… หกหลัก!
นี่มันต้องใช้เงินเดือนกี่เงินเดือนของเธอกันเนี่ย?
ทั้งชีวิตเธอก็คงซื้อไม่ได้หรอก
เฉียวฉีสังเกตเห็นการสายตาของเธอ จึงใช้นิ้วปิดป้ายราคาไว้ และยิ้มอย่างนุ่มนวล “ไม่เป็นไรหรอก ไปลองดูเถอะ กระโปรงที่แพงที่สุดและดีที่สุดก็ทำมาให้คนใส่ ถ้ามันเหมาะกับเราก็ซื้อ แต่ถ้าไม่เหมาะก็ค่อยว่ากันอีกทีก็ได้”
เสี่ยวเยว่กัดริมฝีปากของเธอ
หลังจากดื้อดึงอยู่พักหนึ่ง เธอก็ไม่สามารถต้านทานการยั่วยวนของกระโปรงตัวนั้นได้ และพยักหน้ายอมรับ
ทันใดนั้น โทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้น
เธอหยิบมันออกมาดู สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นก็พูดกับเฉียวฉีว่า “พี่เฉียวเฉียว ที่บ้านฉันโทรมา ฉันขอตัวออกไปรับโทรศัพท์ที่บ้านสักครู่นะคะ”