เฉียวฉีพยักหน้า ไม่ได้สนใจเท่าไหร่นัก “ไปเถอะ”
เสี่ยวเยว่เดินออกไปพร้อมกับโทรศัพท์
เธอมองดูแผ่นหลังบางๆ ที่กำลังจากไป ในใจของเธอสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนและความเสน่หาที่ส่งผ่านเข้ามา
ความจริงที่ว่า ทำไมถึงดีกับเฉียวฉีได้ขนาดนี้น่ะเหรอ?
เธอเชื่อว่าเพราะในช่วงเวลานี้ หล่อนพยายามดูแลเธออย่างสุดความสามารถ ซึ่งนั่นมันทำให้เธอซาบซึ้งใจมากทีเดียว
อันที่จริงยังมีอีกประเด็นหนึ่ง คือ ราวกับว่าเมื่อมองดูหล่อนแล้ว เธอเห็นเงาของถังชีชีซ้อนออกมาจากตัวหล่อน
ทั้งสองล้วนเป็นหญิงสาวบริสุทธิ์ที่บานสะพรั่งดั่งดอกไม้กำลังเบ่งบาน ในวัยที่สดใสและสวยงามเช่นนี้ ทั้งคู่เป็นคนที่แข็งแกร่ง ทั้งๆ ที่เกิดในดินโคลนแต่ก็ไม่ได้เปรอะเปื้อน ในใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังสำหรับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ซึ่งแตกต่างจากเธออย่างสิ้นเชิง
แต่ว่า ชีชีนั้นตายไปแล้ว
ก่อนที่เธอจะทันได้ทำดีกับหล่อน หล่อนก็ตายเพราะเธอเสียก่อน
เพราะอย่างนั้น ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าความรู้สึกประหลาดที่คอยกวนใจอยู่นั้นคืออะไร
มีบางครั้งที่เฉียวฉีมองไปที่ร่างผอมบางของเสี่ยวเยว่ ราวกับว่าเมื่อมองผ่านหล่อน เธอก็มองเห็นชีชี
เธอคิดว่า มีบางสิ่งบางอย่างที่เธอไม่สามารถชดเชยให้หล่อนได้
ถ้าอย่างนั้นก็ชดเชยให้คนที่ยังอยู่ดีกว่า เธออุตส่าห์เจอเด็กสาวที่เหมือนกับชีชีทั้งที ก็ควรจะทำใจให้สบาย แล้วก็เก็บเกี่ยวความสุขสักหน่อยดีกว่า
พอคิดอย่างนี้ เธอจึงถือซะว่าชดเชยให้ตัวแทนที่เหมือนกับชีชีแทนก็แล้วกัน
ความคิดของเฉียวฉีลอยไปไกล และขณะนี้ พนักงานขายก็ได้นำกระโปรงออกมาแล้ว
เธอยิ้มอย่างสุภาพและให้เกียรติ “คุณผู้หญิง อยากลองเลยไหมคะ?”
เฉียวฉีส่ายหัว “ฉันไม่ได้จะเป็นคนลองค่ะ แต่เป็นน้องสาวของฉัน คุณวางไว้ตรงนี้ก่อนก็ได้ เธอออกไปรับโทรศัพท์อยู่”
เดิมทีพนักงานขายคิดว่า เด็กผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ เธอเมื่อครู่ที่ท่าทางดูเคอะเขิน ดูแล้วเหมือนเพิ่งออกมาจากที่เล็กๆ ทุกอิริยาบถของหล่อนให้อารมณ์เด็กสาวจากครอบครัวเล็กๆ หล่อนน่าจะเป็นเพียงหนึ่งในคนรับใช้หรือผู้ดูแลของเธอ
พอได้ยินเธอพูดแบบนี้ ถึงรู้ว่านั่นคือน้องสาวของเธอ
เธอยิ้มกว้างขึ้นอย่างอดไม่ได้ และพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ได้ค่ะ”
เป็นเวลาประมาณสามหรือสี่นาที เสี่ยวเยว่ก็กลับมา
เมื่อเธอกลับมา แม้ว่าเธอจะพยายามอย่างที่สุดที่จะคงรอยยิ้มเดิมไว้บนใบหน้าของเธอ แต่เฉียวฉียังคงเห็นร่องรอยของความเศร้าโศกและมีบางอย่างผิดปกติในดวงตาของเธอ
เธออดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วและถามว่า “มีอะไรเหรอ?”
เสี่ยวเยว่ส่ายหน้า
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่…โทรศัพท์จากที่บ้านน่ะ”
เธอฝืนยิ้ม แล้วเอามือลูบผมตัวเอง จากนั้นก็พูดว่า “มันก็แค่เรื่องไม่เป็นเรื่อง ไม่ต้องสนใจหรอกค่ะ”
เฉียวฉีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เท่าที่เธอรู้ ในครอบครัวของเสี่ยวเยว่ไม่มีใครแล้ว หล่อนเป็นเด็กกำพร้า ซึ่งเติบโตขึ้นมาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เธอไม่รู้ว่าเรื่องที่บ้านที่หล่อนพูดถึง คือสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าหรือเปล่า?
แต่เธอก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพียงตบไหล่หล่อน แล้วพูดว่า “อย่าเพิ่งคิดมากเลย มีเรื่องอะไรก็ไว้ค่อยคุยกันทีหลังดีกว่า”
จากนั้นเธอก็ชี้ไปที่กระโปรงที่วางอยู่ข้างๆ แล้วพูดว่า “เธอไปลองดูสิ”
เสี่ยวเยว่พยักหน้า
พนักงานขายถือกระโปรงให้ แล้วพาเธอไปยังห้องลองเสื้อ
เมื่อหล่อนเข้าไปในห้องลองเสื้อแล้ว เฉียวฉีก็นั่งอยู่ที่เดิมแบบนั้น และรู้สึกเบื่อขึ้นมา จึงลุกยืนขึ้น และเดินดูของรอบๆ ในร้านต่อ
โดยปกติแล้วบอดี้การ์ดที่มากับพวกเธอ จะไม่เข้าไปในร้านด้วย ไม่เช่นนั้นจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจของผู้อื่น และทำให้ทุกคนอึดอัดอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ยังไม่กล้าที่จะอยู่ห่างเกินไป จึงมักจะรออยู่หน้าประตู ตราบใดที่ภายในมีการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย พวกเขาก็สามารถบุกเข้าไปได้ทันที
เฉียวฉีเดินเล่นอยู่พักหนึ่ง แต่ไม่เจออะไรที่เธอชอบ และเมื่อเธอเห็นพนักงานขายอีกสองคนติดตามเธออยู่ตลอดเวลา จึงโบกมือ แล้วพูดว่า “พวกคุณไปทำธุระของตัวเองเถอะ ไม่ต้องมาดูแลฉันหรอก ฉันแค่เดินดูอะไรไปเรื่อยเฉยๆ”
เมื่อทั้งสองได้ยิน ก็ไม่ได้เซ้าซี้เธอต่อ พวกเธอยิ้มและพูดว่า “ได้ค่ะ แต่หากคุณต้องการอะไร โปรดเรียกเราได้ตามสบายเลยนะคะ”
“โอเค”
เฉียวฉีพยักหน้า และสองคนนั้นก็เดินออกไป
เมื่อพวกเธอจากไป เธอก็หันกลับมา และเดินไปที่ประตู
เธอหยุด และเห็นว่าไม่ไกลจากประตู มีซูเฉิงยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมกับทีมบอดี้การ์ด กำลังกวาดสายตามองดูกลุ่มคนที่เดินผ่านไปผ่านมารอบๆ
ในขณะเดียวกัน หางตาก็จะสังเกตเห็นภายในร้านด้วย
บางทีเขาอาจเห็นเธอยืนอยู่ที่ประตู จึงคิดว่าเธอมีอะไรจะสั่ง เขาจึงรีบเดินมาหาอย่างรวดเร็ว
“คุณเฉียว มีอะไรหรือเปล่าครับ?”
เขาถามเสียงเข้ม
เฉียวฉีมองเขา และเห็นว่าชายตรงหน้าเธอสูงตระหง่าน ใบหน้าก็ดูหล่อเหลา เขาเป็นคนประเภทที่ดูไม่ได้แข็งแรงเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่ใช่ชายหนุ่มที่ดูอ่อนแอ
คิ้วหนาสีดำขลับ แสดงถึงความสง่าผ่าเผยและห้าวหาญ และรูปลักษณ์ที่จริงจังในการทำงานนั้นก็มีเสน่ห์เป็นที่สุด
ไม่น่าแปลกใจที่เสี่ยวเยว่จะชอบเขา
เธอหัวเราะเบาๆ “ไม่มีอะไรหรอก แค่เห็นพวกคุณที่ยืนอยู่ตรงนั้นตลอด คงลำบากน่าดู”
ซูเฉิงผงะ ไม่คาดคิดว่าเธอจะพูดแบบนี้ แต่ก็ยิ้มออกมาด้วยความขวยเขิน
“ไม่ใช่ลำบากเลยครับ นี่คือสิ่งที่เราควรทำ”
เขาน่าจะเป็นคนที่พูดไม่เก่งด้วย เพราะหลังจากที่ตอบเธอแล้ว เขาก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อดี
ทำได้เพียงยืนเกาหัวอยู่ตรงนั้นอย่างงงๆ
เมื่อเฉียวฉีเห็นท่าทางแบบนั้นของเขา หัวใจก็เต้นทันที
เธอหัวเราะออกมาอีกครั้ง “แต่ในเมื่อคุณก็อยู่ตรงนี้แล้ว ถ้างั้นก็ช่วยอะไรฉันสักอย่างสิ”
ซูเฉิงมองมาที่เธอ และตอบรับอย่างรวดเร็ว “คุณเฉียวสั่งมาได้เลยครับ”
เฉียวฉียิ้มและพูดว่า “ไม่ต้องจริงจังขนาดนั้นหรอก ฉันแค่อยากให้คุณเข้ามาช่วยดูหน่อยว่ากระโปรงตัวนี้ดูดีไหม”
“ฮะ?”
ในชีวิตของซูเฉิงไม่เคยคาดคิดมาก่อน ว่าวันหนึ่งเฉียวฉีจะขอให้เขาช่วย
เฉียวฉีตกตะลึงเมื่อเห็นเขา และเลิกคิ้วขึ้น “ทำไม ไม่เต็มใจเหรอ?”
ซูเฉิงเขินอายไม่ไหวแล้ว ซ้ำยังทำตัวไม่ถูก และไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็พูดออกมาอย่างลังเล “เปล่าครับ แค่…คือว่า ผม…”
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรเอามือทั้งสองข้างของตัวเองไปวางไว้ตรงไหน หลังจากผ่านไปนาน ถึงจะพูดออกมาได้เต็มประโยค
“คุณเฉียวครับ คือว่าผมเป็นคนหยาบกระด้าง จึงดูเสื้อผ้าผู้หญิงไม่เป็น เพราะอย่างนั้นเรื่องนี้…เรื่องนี้ผมอาจจะช่วยคุณไม่ได้”
เฉียวฉียิ้มและพูดว่า “ไม่เป็นไรหรอก คุณก็แค่พูดความจริงตามที่เห็นก็พอแล้ว บางครั้งวิสัยทัศน์ของผู้หญิงก็เกินจะนับ ก็ต้องให้พวกผู้ชายอย่างคุณนี่แหละช่วยดูถึงจะรู้ว่าความจริงแล้วดูดีแล้วหรือยัง”
คำพูดของเธอ ทำให้หัวใจของซูเฉิงเต้นแรงมากยิ่งขึ้น
แต่ไม่รู้ว่าทำไม จู่ๆ ในหัวของเขาก็ปรากฏภาพใบหน้าที่เคร่งขรึมและน่าเกรงขามของกู้ซือเฉียนขึ้นมา
เมื่อคิดดังนั้นก็สั่นสะท้าน จนอยากจะหาข้ออ้างปฏิเสธเธอ แต่เฉียวฉีหมดความอดทน และดึงเขาเข้าไปเสียก่อน
“เอาล่ะ พ่อหนุ่ม แค่ให้มาช่วยดูกระโปรงตัวเดียวก็ยังใจเสาะ ฉันไม่กินคุณหรอกน่า”
พูดจบ เธอก็ดึงเขาเข้าไปในร้าน
ซูเฉิง”…”
คุณชาย คุณชายครับ นี่ไม่ใช่ความตั้งใจของผมจริงๆ ผมไม่ได้คิดอะไรเลย และไม่กล้าทำอะไรด้วย ทั้งหมดนี่คุณเฉียวบังคับให้ผมทำนะครับ
เมื่อกลับไปคุณต้องไม่หึงผมนะครับ และคุณต้องไม่ตำหนิผมนะ
ซูเฉิงสวดภาวนาเงียบๆ ในใจ เขาไม่รู้ว่า ที่เฉียวฉีขอให้เขาช่วยดู ความจริงแล้วคือกระโปรงที่เสี่ยวเยว่สวมอยู่ต่างหาก
ในเวลานี้ ภายในห้องลองเสื้อ
เสี่ยวเยว่นั่งอยู่ที่นั่น ชุดที่เธอควรจะลองสวมในเวลานี้ แต่กลับแขวนอยู่ด้านข้าง