เฉียวฉีไม่อยากทำให้เขาลำบากใจเช่นกัน เพราะเธอรู้ว่า สำหรับซูเฉิงที่สามารถทำได้ถึงขั้นนี้ ก็ไม่ใช่ง่ายๆ แล้ว
อย่างไรก็ตามเธอมีหน้าที่ทำลายกำแพงที่ขั้นกลางระหว่างทั้งสองคน ส่วนพัฒนาการของทั้งคู่หลังจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับพวกเขาเองแล้ว
ดังนั้น เธอจึงไม่บังคับอีกต่อไปแล้ว เธอพยักหน้า “โอเค คุณไปเถอะ”
ซูเฉิงหันตัวกลับและเดินออกไป
หลังจากที่เขาจากไป เฉียวฉีก็ก้าวไปข้างหน้าอีกครั้ง และมองดูเสี่ยวเยว่อย่างจริงจัง
จากบนลงล่าง จากหน้าไปหลัง เธอพอใจมาก
และอดไม่ได้ที่จะพยักหน้า “อื้ม สวยมากจริงๆ”
จากนั้นเธอก็โบกมือ และบอกพนักงานขายว่า “เอาตัวนี้แหละ คิดเงินด้วยนะคะ”
เมื่อเห็นดังนั้น เสี่ยวเยว่รีบยื่นมือออกมารั้งเธอไว้
“พี่เฉียวเฉียว”
เฉียวฉีชะงัก มองไปที่เธอ “มีอะไรเหรอ?”
“ฉัน…”
เธอมองดูหล่อน ที่อยากจะพูดอะไรก็ไม่กล้าพูดออกมา ดวงตาที่ชัดเจนของหล่อนคู่นั้น ในขณะนี้ดูเหมือนจะมีอารมณ์ที่สับสนมากมาย
เมื่อเฉียวฉีมองเธอ คิ้วสวยขมวดเล็กน้อย
เธอตระหนักว่า วันนี้เสี่ยวเยว่กำลังมีบางอย่างในใจ และไม่ใช่ว่าเธอคิดไปเองด้วย ดังนั้นเธอจึงหันไปหาหล่อน และถามอย่างแผ่วเบาว่า “เกิดอะไรขึ้น? “
เสี่ยวเยว่กัดริมฝีปากของเธอ ร่องรอยของการต่อสู้ดิ้นรนอยู่ใต้ดวงตาของเธอ ครู่หนึ่ง เธอก็ส่ายหน้า
เธอฝืนยิ้ม “ฉันแค่รู้สึกว่า คุณซื้อกระโปรงราคาแพงให้ฉัน ซึ่งฉันไม่คู่ควรเลยแม้แต่นิดเดียว ฉันเป็นเพียงแค่คนรับใช้คนหนึ่ง…”
“ชู่ว!”
ก่อนที่เธอจะพูดจบ เฉียวฉีก็ขัดจังหวะเธอ
เฉียวฉีมองไปที่เธอ ถอนหายใจและพูดว่า “สถานะของคุณจะเป็นอะไรแล้วทำไม? มันจริงเหรอที่คนรับใช้สมควรที่จะเกิดมาด้อยกว่า และคนใช้ไม่คู่ควรที่จะสวมใส่เสื้อผ้าดีๆ? เสี่ยวเยว่ ไม่มีใครต่ำต้อยมาตั้งแต่เกิดหรอกนะ ชีวิตของใครก็ต้องให้คนคนนั้นเป็นคนกำหนดชีวิตตัวเอง แม้ว่าตอนนี้จะเป็นแค่คนใช้ แต่ในอนาคตก็อาจจะไม่ใช่แล้วก็ได้ และการที่เธอต้องถอยไปเป็นหมื่นก้าว แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นตลอดไป”
“ทุกคนในโลกนี้ที่หากินด้วยกำลังของตัวเอง ล้วนแต่ไม่สมควรถูกดูหมิ่นทั้งนั้น ฉันซื้อกระโปรงให้เธอ เพราะฉันชอบเธอ และฉันรู้สึกขอบคุณสำหรับการดูแลฉันตามปกติ ซึ่งมันไม่ได้มีความหมายอะไรมากกว่านั้นเลย”
“และเธอก็ไม่จำเป็นต้องลังเลหรือรู้สึกผิดกับมันด้วย เธอแค่ต้องเป็นตัวของตัวเอง เข้าใจไหม?”
เสี่ยวเยว่มองเธออย่างเงียบๆ ไม่รู้ว่าทำไม เฉียวฉีรู้สึกว่า ดวงตาที่สดใสคู่นั้นของเธอในขณะนี้เต็มไปด้วยความโศกเศร้า
เธอกระชับมุมปาก และพยักหน้าอย่างหนักแน่น
“ฉันเข้าใจแล้ว”
เฉียวฉีกดความรู้สึกไม่สบายใจของตัวเองไว้ในใจ แล้วลูบหัวเธอ พร้อมกับพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ไม่ต้องคิดมากนะ ถ้าเป็นเพราะความใจดีของฉัน มันทำให้เธออึดอัด นั่นเป็นความผิดของฉันเอง”
เธอคิดว่าที่เสี่ยวเยว่เป็นแบบนี้เพราะเธอให้ของขวัญราคาแพงแก่หล่อน บางทีอาจเพราะสัมผัสได้ถึงความทะนงในศักดิ์ศรีของหล่อนหรืออะไรทำนองนั้น เธอจึงสบายใจ และไม่ได้คิดถึงอย่างอื่น
เสี่ยวเยว่พยักหน้าเข้าใจ
เฉียวฉีขอให้พนักงานขายคิดเงินอีกครั้ง และในขณะเดียวกัน ก็ห่อเสื้อผ้าชุดเดิมของเธอให้
เมื่อทั้งสองออกไป เสี่ยวเยว่ก็สวมกระโปรงใหม่ตัวนั้น ซึ่งการที่คนเราต้องใส่เสื้อผ้านั้นก็ไม่ได้มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษ
ก่อนหน้านี้ที่ทั้งสองเดินด้วยกัน แม้ว่าเฉียวฉีจะอยู่ใกล้เสี่ยวเยว่มาก แต่คนที่มีไหวพริบก็ยังสามารถเห็นความแตกต่างระหว่างคนทั้งสองได้อย่างรวดเร็ว
แต่ตอนนี้ เสี่ยวเยว่เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว ทั้งสองก็เดินไปด้วยกันอีกครั้ง ถ้าบอกว่าพวกเธอเป็นพี่น้องกัน ก็คงไม่มีใครไม่เชื่อ
ต่อมา เฉียวฉีก็พาเสี่ยวเยว่ไปเดินดูของด้วยกันอีกหลายร้าน
ในที่สุด เธอก็ซื้อรองเท้าให้ตัวเองหนึ่งคู่ และเมื่อเดินผ่านร้านขายเสื้อผ้าบุรุษ แล้วเห็นว่าที่กระจกหน้าร้านมีชุดผู้ชายแขวนอยู่ชุดหนึ่ง หัวใจของเธอก็เต้นแรงขึ้นมา
มันเป็นชุดสูทสีเทา อันที่จริงปกติแล้วกู้ซิเฉียนมักจะไม่ค่อยใส่สูท หรือว่า อาจเป็นเพราะเขากับเธอไม่ได้อยู่ด้วยกันมากนัก
แต่ไม่รู้ว่าทำไม เฉียวฉีก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน แต่เธอคิดว่าถ้าเขาสวมสูทตัวนี้ จะต้องจะดูดีมากๆ แน่
เธอจึงเดินเข้าไปโดยไม่คิดอะไร
พนักงานขายที่มาต้อนรับเธอเป็นเด็กหนุ่ม มองแล้วดูสดใสแถมยังหล่อเหลา ราวกับว่าเขาเพิ่งเรียนจบมาไม่นาน
เขาเดินเข้ามาข้างหน้าเธออย่างสุภาพ และสอบถามความต้องการของเธอ
เฉียวฉีชี้ไปที่ชุดสูทขอผู้ชายรุ่นนั้น และขอให้เขานำลงมาให้เธอดู
อีกฝ่ายปฏิบัติตามคำขอของเธออย่างเต็มใจ และชุดสูทสีเทาตัวนั้นก็มาอยู่ในมือของเธอเรียบร้อยแล้ว เฉียวฉีมองดูเนื้อผ้าอย่างพินิจพิจารณา ซึ่งมันเป็นแบบที่กู้ซือเฉียนชอบเลย
เมื่อนึกถึงตอนชายคนนั้นสวมสูทตัวนี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะกระตุกมุมปากยิ้ม
ขณะที่กำลังดูอยู่ ทันใดนั้น ณ ตอนนี้
ด้านหน้าของเธอก็ปรากฏร่างที่คุ้นเคย
เห็นว่าเป็นชายวัยกลางคน ที่เพิ่งลองสวมเสื้อผ้าเสร็จ และตอนนี้ เขากำลังจะไปที่เคาน์เตอร์เพื่อจ่ายเงิน
และข้างเขา ก็มีผู้หญิงอีกคนหนึ่ง
ผู้หญิงคนนั้นสวมชุดเดรสสีม่วงอ่อน ประกอบกับหน้าตาที่สวยสดงดงาม และร่างที่สูงเพรียว กำลังควงแขนเขา ทั้งสองดูสนิทสนมกันมาก
เฉียวฉีชะงักไปชั่วขณะ
รอยยิ้มที่มุมปากของเธอหายไปทันที แทนที่ด้วยคิ้วที่ขมวดเป็นปมขึ้นมา
ดูเหมือนอีกฝ่ายจะมองเห็นเธอเหมือนกัน และเลิกคิ้วขึ้นอย่างคาดไม่ถึง พร้อมกับเดินเข้ามาหาเธอ
“คุณเฉียว ไม่เจอกันนานเลย ไม่คิดว่าจะบังเอิญเจอคุณที่นี่”
หนานมู่หรงยื่นมือออกไปหาเธออย่างสุภาพ
เฉียวฉีก็ยื่นมือออกไป จับมือเขาเขย่าเบาๆ แล้วก็ชักมือกลับ
เธอยิ้มและพูดว่า “บังเอิญจริงๆ เลย คุณหนานมาซื้อของเหรอคะ?”
หน่านมู่หรงหันหน้ามองผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ เขา แล้วยิ้มอย่างเอาอกเอาใจ “ก็นะ ใจจริงผมก็ไม่อยากออกมาหรอก แต่เยว่เอ๋อร์เธองอแงว่าเธอเบื่อบ้าน ก็เลยพาเดินมาเดินซื้อของนี่แหละ”
สายตาของเฉียวฉีจับไปที่หลินเยว่เอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆเขา
แม้ว่าจะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ไม่ได้เจอกัน แต่หลินเยว่เอ๋อร์ที่อยู่ตรงหน้าเธอนั้น กลับดูแตกต่างจากที่เธอจำได้มาก
หลินเยว่เอ๋อร์ในความทรงจำของเธอ ทั้งหยิ่งทะนง หัวแข็ง ห้าวหาญ และฉุนเฉียว เป็นคนที่ไม่เก็บอารมณ์ใดๆ เลย
แต่ผู้หญิงตรงหน้าคนนี้?
แต่งกายด้วยชุดที่ดูเป็นผู้ใหญ่ แต่งหน้าอย่างวิจิตรบรรจง เผยให้เห็นถึงสไตล์ของหญิงสาวที่เป็นผู้ใหญ่ และกลับกลายเป็นหญิงสาวผู้สูงศักดิ์ที่เก็บอารมณ์ความรู้สึกทุกอย่างไว้ในใจได้แล้ว
เธอหรี่ตาลงเล็กน้อย และยิ้ม “ถ้าอย่างนั้น ฉันไม่รบกวนคุณทั้งสองแล้วค่ะ”
จากนั้น เธอก็ยื่นเสื้อผ้าให้กับพนักงานขาย และขอให้เขาคิดเงิน
เธอกับหนานมู่หรงไม่ค่อยสนิทกัน และความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับหลินเยว่เออร์นั้นก็ยิ่งน่าอึดอัดใจ ดังนั้นพวกเธอจึงคุยกันไม่ถูกคอ แถมยังไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องคุยกันอีกด้วย
เมื่อเห็นดังนั้น หน่านมู่หรงก็ย่อมไม่ดึงดันเธอให้พูดอะไร
เขาหันไปหาหลินเยว่เอ๋อร์และพูดกับเธอสองประโยค จากนั้นทั้งสองเดินไปอีกด้านหนึ่ง
ก่อนจากไป หลินเย่วเอ๋อร์หันหน้ามาและจ้องที่เธอด้วยสายตาที่เย็นชา
เฉียวฉีรู้สึกได้ แต่ไม่ได้ตอบสนอง
ไม่ว่าในกรณีใด ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับหลินเยว่เอ๋อร์ก็ดูจะเป็นศัตรูกันมากกว่าเป็นเพื่อน ซึ่งนั่นก็เป็นทางที่เธอเลือกเอง และหล่อนก็ไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะพูดอะไรได้
หลังจากที่ทั้งสี่แยกกัน เฉียวฉีก็จ่ายเงิน และเดินออกไปพร้อมกับหิ้วถุงเสื้อผ้า
เดินไปครึ่งทาง ก็สังเกตเห็นว่าเสี่ยวเยว่ที่อยู่ข้างๆ เธอ มีสีหน้าผิดปกติไป
เธออดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว และถามด้วยความกังวล “เธอเป็นอะไรไป? ทำไมสีหน้าดูแย่จัง?”
เสี่ยวเยว่หันไปมองเธอ และยิ้มแบบฝืนๆ “ฉันสบายดีค่ะ”
เมื่อเฉียวฉีได้ยินดังนั้น ไม่เพียงแต่เธอจะไม่รู้สึกโล่งใจแล้ว แต่ยังขมวดคิ้วเพิ่มด้วย