เฉียวฉีดิ้นขัดขืนไปมาเล็กน้อย แต่แขนกลับถูกเขาจับไว้แน่น ไม่สามารถขยับได้ เธอทำได้เพียงจ้องมองเขาอย่างดุเดือดผ่านผ้าผืนหนึ่ง
เมื่อเห็นเช่นนี้ ชายสวมหน้ากากก็ยิ้มเย็นชา
แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรกับเธอมากนัก เขาโน้มตัว อุ้มเธอขึ้นพาดบ่า แล้วเดินออกไป
เฉียวฉีตกใจ
เมื่อเท้าห่างจากพื้น ความรู้สึกไม่ปลอดภัยของคนก็ยิ่งเด่นชัดขึ้น
เธอไม่รู้ว่าคนนี้เป็นใคร ต้องการพาตัวเธอไปที่ไหน ดังนั้นจึงรู้สึกแปลกใจอยู่เสมอ
เธอแอบสะสมกำลัง พร้อมจะสู้ตาย
แต่ก่อนที่แขนของเธอจะขยับ เธอก็ได้ยินเสียงเย็นชาของอีกฝ่ายเสียก่อน
“ฉันขอแนะนำเธอว่าอย่าเสียแรงเปล่าเลย ฉันไม่อยากทำร้ายผู้หญิง ดังนั้นอย่าพยายามท้าทายความอดทนของฉัน เชื่อฟังสักนิด รอให้ถึงที่เสียก่อน แล้วฉันจะปล่อยเธอไป”
เฉียวฉีที่กำลังจะลงมือ พลันตัวแข็งทื่อทันใด
ชายที่อยู่ข้างใต้เธอ เขามีไหล่ที่กว้างและแข็งแรง กล้ามเนื้อของเขามันทำให้หน้าท้องของเธอเจ็บเล็กน้อย
เห็นได้ชัด ว่าอีกฝ่ายก็ต่อสู้เป็น
ตอนนี้เธอถูกมัดมือและเท้า ขยับไม่สะดวก และยังตกไปอยู่ในมือของคนอื่น ในเมื่อยังไม่มีเหตุการณ์อันตรายถึงชีวิต ทางที่ดีเชื่อฟังก่อนจะดีกว่า ไม่มีความจริงใจ รอให้ถึงโอกาสแล้วค่อยลงมือก็ยังไม่สาย
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ กล้ามเนื้อที่ตึงของเธอก็ค่อยๆ คลายตัว
หลังจากเดินไปได้ประมาณสองสามนาที เฉียวฉีก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินย่ำไม่เหมือนอยู่ข้างนอกห้อง แต่เหมือนกับเดินเข้าไปในห้อง และกำลังเดินเหยียบอยู่บนพรม
ด้วยเหตุฉะนี้ ใจเธอเลยทำการวินิจฉัยว่า น่าจะใกล้ถึงที่หมายแล้ว
ไม่นาน อีกฝ่ายก็หยุดฝีเท้า และวางเธอลง
“หัวหน้า นำมาถึงแล้วครับ”
หัวหน้า? หัวหน้าอะไร?
เฉียวฉีขมวดคิ้ว
ภายในใจของเธอนึกสงสัย ทันใดเธอก็รู้สึกว่าตรงหน้ามืดมิด และจากนั้น มือคู่หนึ่งก็พันรอบศีรษะของเธอ เพื่อปลดผ้าบนศีรษะออกให้เธอ
ทันใดแสงสว่างจ้าก็กระทบสายตาของเธอ แสงที่สาดส่อง ทำให้เธอหรี่ตาลงเล็กน้อย
พอลืมตาขึ้นมาอีกที ก็พลันเห็นห้องที่เรียบร้อยและหรูหราอยู่ตรงหน้า
ข้างหน้าเธอ มีชายร่างสูงยืนอยู่ ชายผู้นั้นสวมแจ็กเก็ตสีดำและกางเกงสแล็กสีดำ มือทั้งสองข้างอยู่ในกระเป๋ากางเกง มองมายังเธอด้วยท่าทางสูงส่งยิ้มแต่ราวกับไม่ได้ยิ้ม
“คุณเฉียว ผมได้ยินชื่อเสียงของคุณมานานแล้ว ในที่สุดเราก็ได้พบกัน”
เฉียวฉีตกตะลึง
เธอมองใบหน้าที่อยู่ด้านหน้าของเธอ และทันใด ภาพมากมายก็แวบเข้ามาในความคิดของเธอ ราวกับเป็นเศษเล็กเศษน้อยนับไม่ถ้วน
เธอปวดหัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน
เธอจับศีรษะของตัวเอง เจ็บปวดจนเหงื่อไหลชโลมกาย
“อ๊ะ——!”
มีเสียงกรีดร้องในลำคอ เฉียวฉีขดตัวอยู่บนพื้นด้วยความเจ็บปวด ร่างกายเธอสั่นเทา
เกิดเรื่องอะไรขึ้น?
มันเป็นแบบนี้ได้อย่างไร?
ใบหน้านี้ ใบหน้านี้… …
ต่อหน้า ใบหน้านั้นก็ขยายใหญ่ขึ้นมาในทันใด
เขามองดูเธอ พูดเกลี้ยกล่อมอย่างอ่อนโยนด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “คุณเฉียว เป็นอะไรไป? รู้สึกปวดหัวมากใช่ไหม?”
“คุณคงรู้สึกว่าใบหน้านี้คุ้นเคยมากใช่ไหมละ? เคยเจอที่ไหนมาก่อน? โธ่เอ๋ย เด็กดี เราเคยเจอกันมาก่อน ตอนที่คุณยังเด็กมาก คุณยังจำได้ไหม ตอนนั้นผมจูงมือคุณ กอดคุณ ซื้อขนมให้คุณ ตอนนั้นคุณเรียกผมว่าอะไรนะ?”
เฉียวฉีมองมายังเขา พลันน้ำตาไหลลงมา
“พี่ พี่ชาย… …”
ชายคนนั้นยิ้มเล็กน้อย ยื่นมือออกมา และลูบไปบังใบหน้าของเธออย่างรักใคร่
“ใช่แล้ว ผมเป็นพี่ชาย อย่าร้องเด็กดี พี่รักน้องนะ”
เขาพูดพลาง เอื้อมมือออกไปดึงเธอขึ้นมาจากพื้น
ด้านข้าง ชายสวมหน้ากากสีเงินพลันตะลึงเมื่อเห็นอย่างนี้
เห็นเขาโอบกอดเฉียวฉี ก่อนจะส่งเสียงอย่างประหลาดใจ “หัวหน้า… …”
“ที่นี่ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว”
ลิ่วเสิ่น ขัดจังหวะเขาอย่างเย็นชา “นายออกไปก่อนเถอะ”
“นี่… …”
อีกฝ่ายยังต้องการจะพูด แต่ลิ่วเสิ่นหันหลังกลับไป ส่งแววตาเย็นชาไปให้เขา สุดท้าย ชายสวมหน้ากากก็ยังคงโกรธแค้น
เฉียวฉีถูกเขาพาไปยังห้องนอน
ในเวลานี้ เธอหน้าซี เสื้อผ้าของเธอเปียกไปด้วยเหงื่อ ราวกับถูกตกขึ้นมาจากน้ำ
แววตาที่ว่างเปล่าของเธอมองไปยังฝ่ายตรงข้ามลิ่วเสิ่นวางเธอไว้บนเตียง ก่อนจะหยิบผ้าขนหนูมาเช็ดเหงื่อออกจากใบหน้าเธอเบาๆ
“เฉียวเฉียว ทุกข์ใจมากเลยใช่ไหม? เด็กดี หลับตานอนเสียเถอะ พี่ชายจะอยู่เป็นเพื่อนเธอเอง”
เฉียวฉีรู้สึกว่าสมองของเธอยุ่งเหยิงไปหมด
สมองของเธอ ราวกับถูกบางสิ่งกัดอย่างแรง ทำให้เธอปวดหัวเหมือนจะแตก
มีเศษความทรงจำบางส่วนที่ไม่ได้เป็นของเธอ ไหลออกมาจากส่วนลึกของจิตใจ ทำให้เธอตัวสั่นอย่างต่อต้าน
เธอมองไปที่ลิ่วเสิ่น ไม่รู้ทำไม เห็นได้ชัดว่าอยากต่อต้าน แต่เมื่อได้ยินคำพูดที่อ่อนโยนของเขา หนังตาของเธอก็ค่อยๆหนักอึ้ง
ในที่สุด เมื่อตระหนักว่าเธอไม่สามารถต้านทานความหนักอึ้งของเปลือกตาได้ เธอจึงผล็อยหลับไป
ตื่นมาอีกที ก็มืดค่ำแล้ว
เธอลืมตาขึ้นมา และพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงที่หรูหรา
เฉียวฉีตกใจ เด้งตัวลุกขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว ร่างกายไม่รู้สึกผิดปกติใดๆ
เธอถอนหายใจอย่างโล่งอกทันที
โชคดี ที่เสื้อผ้ายังอยู่ครบ และร่างกายก็ไม่รู้สึกผิดปกติอะไร
ในฐานะผู้หญิง มันไม่เหมือนผู้ชาย บางครั้งเธอกลัวการถูกศัตรูจับไปมากที่สุด ไม่ใช่เพราะเธอกลัวความตาย
แต่เป็นเพราะ กลัวความเหยียดหยามจากพวกเดนมนุษย์ก่อนตายต่างหาก
เฉียวฉีคิดว่าตัวเธอเองไม่ได้สูงส่ง แต่ถ้าอีกฝ่ายกล้าใช้วิธีเหล่านั้นกับเธอจริงๆ ต่อให้ต้องต่อสู้ดิ้นรนจนตายไปด้วยกัน เธอก็จะไม่ปล่อยพวกมันไป
แต่ตอนนี้ ดูเหมือนจะไม่มีอะไร
ในขณะที่เธอโล่งใจ เธอเริ่มสงสัยมากขึ้นเกี่ยวกับจุดประสงค์ที่คนพวกนี้จับตัวเธอมา
เฉียวฉีลุกจากเตียง และเดินออกไป
เดิมทีเธอคิดว่า คนเหล่านี้พยายามอย่างมากเพื่อจับตัวเธอมา ตอนนี้คงเพิ่มการป้องกันให้เข้มงวด
การป้องกันของด้านนอกคงแข็งแกร่งมาก อย่างน้อยแล้ว คงส่งคนมาคอยดูแลมากมาย
น่าแปลกที่พอเธอเดินออกจากห้องนอนไปยังห้องนั่งเล่น แล้วออกจากห้องนั่งเล่นมา
จนกระทั่งเธอออกไปจนถึงประตูใหญ่ เธอก็ไม่เห็นใครเลยนอกจากตัวเธอเอง
เฉียวฉีตกใจ และรู้สึกได้เพียงว่าหัวใจเต้นแรงมากขึ้นมา
เธอมองซ้ายขวา เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใคร ก็อยากหนีออกไป
อย่างไร โอกาสดีขนาดนี้แล้วไม่ไป แล้วจะรอไปตอนไหนกัน?
และไม่ว่าเขาจะเป็นกับดักหรือไม่ก็ตาม ไปก่อนแล้วค่อยพูด!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เธอก็รีบเดินออกไป
อย่างไรก็ตาม หลังจากเดินออกไปสองก้าว จู่ๆ เธอก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
เธอหยุดฝีเท้า หันศีรษะกลับไปมองยังด้านหลังของเธอ
เพียงเห็นเนินเขาสีเขียวอันกว้างใหญ่อยู่ตรงหน้า เหมือนกับอสุรกายร้ายที่หลับใหลในตอนกลางคืน และบ้านพักที่อยู่ตรงหน้าเธอ ก็ดูเก่าแก่แต่ก็หรูหรา ให้ความรู้สึกคุ้นเคยและสนิทสนมเล็กน้อย
นี่มัน อะไรกันนะ?
แต่เธอมั่นใจ ว่าตัวเองไม่เคยมาที่นี่มาก่อน
แต่ทำไม? ทำไมถึงรู้สึกคุ้นเคย
ความเจ็บปวดผุดขึ้นในใจของเธออีกครั้ง
เธออดไม่ได้ที่จะจับหัว และก้มศีรษะลง เพียงรู้สึกว่ามีบางอย่างกำลังเต้นอยู่ในอกของเธออย่างรวดเร็ว และกำลังจะพุ่งออกจากลำคอของเธอ