เขาเงยหน้าขึ้นมองเธอ แล้วพูดว่า “ไม่ต้องห่วง ฉันรู้ว่าเธอชอบเด็กนั่นมากแค่ไหน ฉันไม่ทำร้ายเธอหรอก เธอกลับห้องไปพักก่อนเถอะ อีกประเดี๋ยวฉันจะส่งเธอไปให้”
เฉียวฉีโล่งใจเมื่อเห็นเขาพูดแบบนี้ ย้ำให้แน่ใจว่าเขาจะไม่หลอกตัวเอง ถึงค่อยวางใจ
เธอหันหลังกลับ ก่อนเดินขึ้นไปยังชั้นบน
หลังจากรอเธอเดินจากไป อะสุ่ยที่อยู่ข้างนอกถึงค่อยเดินเข้ามา
เขามองตามไปยังทิศทางที่เฉียวฉีเดินจากไป ขมวดคิ้วไม่พอใจ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่พอใจอย่างมากกับท่าทางของเฉียวฉีที่มีต่อลิ่วเสิ่นในตอนนี้
แต่เขารู้ถึงฐานะของตัวเอง และรู้ว่าเขาไม่มีคุณสมบัติพอที่จะแสดงความคิดเห็น ดังนั้นเขาจึงถามเพียงว่า “หัวหน้า ให้ผมนำตัวเยว่หลิงมาไหมครับ?”
ลิ่วเสิ่นพยักหน้า
“พามานี่ อย่าลืมบอกเธอละว่า ถ้าหากเธอกล้าพูดเรื่องไร้สาระละก็… …”
เขาพูดด้วยดวงตามาดร้าย
อะสุ่ยเข้าใจในทันที ค้อมศีรษะแล้วตอบว่า “ครับ ผมเข้าใจ”
พูดจบ เขาก็หันหลังเดินกลับไป
ในไม่ช้า เยว่หลิงก็ถูกนำตัวเข้ามา
เมื่อเธอเห็นลิ่วเสิ่น เดิมทีแววตาของเธอซึ่งเย็นเยียบราวกับน้ำพลันก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ก่อนจะพุ่งเข้ามาหาเขา
“ยายของฉันอยู่ไหน? พวกคุณทำอะไรกับเธอ?”
ลิ่วเสิ่นมองไปยังหญิงสาวที่อยู่ใกล้ หรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนพูด
เขาพูดเสียงเบา ก่อนพูด “ไม่ต้องกังวล เรายังเก็บเธอไว้เพราะมีประโยชน์ ไม่ต้องกังวลหรอก ยายของเธอไม่เป็นไร”
เสี่ยวเยว่หายใจเร็ว จ้องมองเขาอย่างเกลียดชัง
“เธออยู่ไหน? ฉันต้องการเจอเธอ”
ขณะที่พูด เธอก็คว้าแขนเสื้อของเขาไว้ด้วย
ลิ่วเสิ่นเหลือบมองที่นิ้วที่กำแน่นของเธอ และยิ้มอย่างอ่อนโยน
“อยากเจอเธอไม่ได้หรอกนะ ตอนนี้ฉันมีภารกิจให้เธอทำ”
เขาพูดพลาง เงยหน้าราวกับบอกให้เธอขึ้นไปห้องที่ชั้นบน “ไป! ไปโน้มน้าวเธอ ไปทำให้เธอเชื่อว่าเป็นน้องสาวของฉันจริง แล้วบอกเธอในเวลาที่เหมาะสมว่าพี่ชายอย่างฉันลำบากแค่ไหนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แค่เพียงเธอยอมรับว่าเราเป็นพี่น้องกัน ฉันจะคืนยายแก่นั่นให้เธอ ว่ายังไง?”
เสี่ยวเยว่มองไปที่เข้าอย่างโกรธแค้น
“ก่อนหน้าแกบอกฉันชัดเจนแล้วนี่ว่าถ้าฉันช่วยพาเธอออกมา แกจะคืนคุณยายให้ฉัน นี่แกหลอกฉัน?”
ลิ่วเสิ่นหรี่ตาลง ยิ้มอย่างชั่วร้าย
“ใช่ ฉันหลอกเธอ แล้วมันยังไง?”
“แก!”
เสี่ยวเยว่โกรธมาก จนเธออยากจะยกมือขึ้นเพื่อทุบตีเขาโดยไม่รู้ตัว
อย่างไรก็ตาม ด้วยหมัดของเธอยังคงค้างอยู่ในอากาศ เมื่อสบดวงตาที่ดูเหมือนยิ้มของเขา แต่ความจริงแล้วเย็นยะเยือก
เมื่อนึกถึงอายุของคุณยาย ซึ่งตอนนี้อยู่ในกำมือของเขาแล้ว ไม่รู้ว่าจะเป็นหรือตาย
ถ้าชายคนนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นวันนี้ เกรงว่าคุณยายก็คงสิ้นหวังเช่นกัน
มือของเธออ่อนลงทันที ราวกับว่าเธอหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด
เธอมองไปยังเขา ก่อนจะพูดด้วยเสียงแหบพร่า “ลิ่วเสิ่น ถือว่าฉันขอร้องละ มีเรื่องอะไรก็มาลงที่ฉัน เธอเป็นแค่คนแก่ที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วย ปล่อยเธอไป ได้ไหม? แค่เพียงคุณปล่อยเธอไป ฉันรับปากว่าหลังจากนี้จะเชื่อฟังคุณ จะให้ฉันทำอะไร ฉันก็จะทำ ได้ไหม?”
เธอพูดด้วยน้ำเสียงเกือบจะอ้อนวอน
อย่างไรก็ตาม ใบหน้าของลิ่วเสิ่นกลับไม่ปรากฏอารมณ์ หรือสีหน้าใจอ่อนเลย
เขายังคงดูเย็นชา มองดูเธอพลางหัวเราะเยาะและพูดว่า “ฮึ ท่าทางอ่อนแอนี้ช่างน่าสมเพชจริงๆ แต่ว่านะหลิงเอ๋อร์ คราวก่อนฉันพูดไปแล้ว ฉันคนนี้ไม่ชอบฟังคำสัญญา และคำสาบานใด เพราะว่ามันเป็นเพียงเรื่องหลอกลวง”
“ฉันเพียงแค่ขู่เบาๆ คนนี้ก็ฟังฉันแล้ว ทำไมฉันถึงต้องเชื่อคำสาบานและคำสัญญาที่ไร้สาระพวกนั้นด้วยล่ะ? เธอว่าใช่ไหม?”
เสี่ยวเยว่มองมาที่เขา ดวงตาของเธอค่อยๆ เปลี่ยนจากการอ้อนวอนเป็นความเกลียดชังอันขมขื่น
เธอปล่อยมือของเขา ยืดตัวขึ้นแล้วพูดอย่างเย็นชา “คุณแน่ใจนะ ว่าจะไม่ปล่อย?”
ลิ่วเสิ่นเลิกคิ้วขึ้น
“เธอจะไปหรือไม่ไป?”
เสี่ยวเยว่เม้มริมฝีปาก เธอไม่ได้พูดอะไร
ด้านหลัง อะสุ่ยก้าวขึ้นมาข้างหน้า
เขากระซิบที่ข้างหูของเธอ “เยว่หลิง อย่าโทษที่ผมจูงใจคุณ หัวหน้าต้องการให้เป้าหมายบรรลุ มีหลายวิธี ที่ไม่จำเป็นต้องใช้คุณ แต่คุณต้องการให้คุณยายปลอดภัย คุณต้องฟังเขา สิทธิ์ความได้เปรียบอยู่ที่มือของใครคุณต้องดูให้ดี อย่าทำเรื่องที่จะต้องมาเสียใจภายหลัง”
เมื่อเขาพูดจบ เขาก็ยืดตัวขึ้น
เยว่หลิงกำมือสองข้างแน่น
แน่นมาก จนเล็บของเธอเกือบจะจิกลงไปในเนื้อ ความเจ็บปวดจากเล็บแหลมกระทบผิวของเธอ ใบหน้าของเธอแข็งกระด้าง
ไม่นานนัก เธอค่อยๆคลายมือที่กำแน่น ก่อนจะหัวเราะเยาะ
“ได้ ฉันรับปาก”
หลังจากหยุดไปชั่วครู่ เธอก็พูดเสริมต่อ “แต่คุณต้องรับปากฉัน นี่เป็นครั้งสุดท้ายลิ่วเสิ่น ตอนนี้คุณได้เปรียบ คุณต้องการข่มขู่ฉัน ฉันทำอะไรคุณไม่ได้”
“แต่คุณอย่าลืมเสียละ ว่าเวลากระต่ายตกใจมันจะกัดคน! ถ้าหากคุณขู่เข็ญฉันมากเข้า อาจจะต้องตายกันไปข้าง อย่าคิดว่าจะมีชีวิตที่ดี!”
หลังจากที่เธอพูดจบ ออร่าที่สง่างามและเย็นยะเยือกก็แผ่ออกมาจากร่างกายของเธอ ทำให้ชายทั้งสองขมวดคิ้วอย่างคาดไม่ถึง
ดวงตาของลิ่วเสิ่นฉายแววสนใจพาดผ่าน เขาพูด “น่าสนใจนี่”
เขายืนขึ้น ก่อนจะจัดเสื้อผ้าของตัวเอง และหันไปมองเสี่ยวเยว่
เขาก็หัวเราะ “ไปได้แล้ว”
พูดจบ เขาก็เดินขึ้นไปชั้นบนกับเธอ
ชั้นบน เฉียวฉีนั่งอยู่ในห้อง
ในเวลานี้ เธอมองออกไปยังนอกหน้าต่าง สนามหญ้าโล่งๆ ไม่มีอะไรเลย มีเพียงแสงไฟสลัวรอบๆ บ้าน เท่านั้นที่ส่องแสงสว่างมายังที่นั่ง มันช่างโดดเดี่ยวและเปลี่ยวเหงา
ความทรงจำที่ไม่คุ้นเคยเหล่านั้นหลั่งไหลเข้ามาราวกับสายน้ำ ทำให้เธอตื่นตระหนกและหวาดกลัว
ถึงแม้ เมื่อกี้ตอนที่เธอพูดกับลิ่วเสิ่นมันจะสุขุมมากก็ตาม ว่าอย่างไรเธอไม่เคยรู้จักเขา แต่ไม่รู้ทำไม ภายในใจของเธอก็มีความรู้สึกไม่ปลอดภัยบางอย่างในใจ
เธอรู้สึกเสมอว่า ทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเธอนั้นลวงตาเกินไป
ราวกับว่า คนในสภาพแวดล้อมนี้ไม่ใช่ตัวเธอเอง
มันเป็นความรู้สึกที่ราวกับทำให้คนลอยอยู่บนก้อนเมฆ เธอเพิ่งสังเกตว่า เมื่อเธอเอานิ้วแตะขอบหน้าต่าง เธอจะสั่นเล็กน้อย
ราวกับว่าเธอไม่ได้ถูกควบคุมโดยเธอ ตราบใดที่นึกถึงภาพเหล่านั้น ร่างกายจะผิดปกติ
เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
เธออดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
ตอนนี้ ประตูถูกเคาะจากด้านนอก
“เฉียวเฉียว นอนหรือยัง?”
เฉียวฉีหันไปมอง
เธอจำเสียงนี้ได้ ผู้ชายด้านนอกที่อ้างตัวว่าเป็นพี่ชายของเธอ ที่ชื่อลิ่วเสิ่น
นี่เขาจะไม่ปล่อยให้เธออยู่คนเดียวเลยหรือ? มาทำอะไรอีก?
เธอขมวดคิ้ว และหลังจากลังเลเพียงสองวินาทีเธอก็พูดว่า “ยังไม่นอน”
ประตูถูกผลักออกมาจากด้านนอก ลิ่วเสิ่นนำผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาด้วย
เมื่อเฉียวฉีเห็นร่างเล็กที่ยืนอยู่ข้างหลังเขา รูม่านตาของเธอก็สั่นเล็กน้อย จากนั้นความตกใจกึ่งดีใจก็ฉายอยู่บนหน้าของเธอ
“เสี่ยวเยว่!”
“พี่เฉียวเฉียว!”
เสี่ยวเยว่แสดงออกถึงความประหลาดใจและปีติยินดี และรีบวิ่งมาหาเธอทันที