เฉียวฉีมองเขาอย่างมืดหม่น
เธอไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาพูดจริงเท็จแค่ไหน
ถึงอย่างไร คุณแม่เฉียวก็เสียชีวิตไปได้หลายปีแล้ว ความทรงจำของเธอก่อนอายุแปดขวบก็ว่างเปล่า
นอกเหนือจากเรื่องที่เธอเพิ่งจำได้เมื่อเร็วๆนี้เมื่อมาถึงที่นี่ แต่เธอจำส่วนที่เหลือไม่ได้เลย
ด้านหนึ่งคือ คนตายไม่สามารถให้การได้ ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นคำพูดที่น่าเชื่อถือของอีกฝ่าย
มันยากสำหรับเฉียวฉีที่จะปักใจเชื่อเขา
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ดวงตาของเธอก็ทอประกายมืดครึ้ม
เธอมองไปยังลิ่วเสิ่น และพูดอย่างเคร่งขรึม “เอาล่ะ ถึงแม้ว่าคุณจะพูดความจริงแต่คุณคิดว่าคุณใช้วิธีนี้แล้ว จะสามารถเก็บฉันไว้ได้เหรอคะ?”
ลิ่วเสิ่นมองดูเธอด้วยสายตาที่อ่อนโยน “เฉียวเฉียว ผมแค่อยากให้เราพี่น้องอยู่ร่วมกันสักพักหนึ่ง แน่นอน หลังจากอยู่ด้วยกันแล้ว แล้วคุณตัดสินใจที่จะออกไป ผมจะไม่ทำให้คุณลำบากใจ”
เฉียวฉีหัวเราะเยาะ “ฉันจะเชื่อคุณได้อย่างไร?”
ลิ่วเสิ่นเลิกคิ้ว “ต้องทำอย่างไรคุณถึงจะเชื่อผม”
เฉียวฉีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดออกไป “ปล่อยเสี่ยวเยว่ไป เรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่างเรา ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอ ปล่อยเธอไปก่อน ฉันถึงจะเชื่อคำพูดของคุณ”
ลิ่วเสิ่นเหลือบมองเธออย่างลึกซึ้ง
เฉียวฉีรู้สึกว่า เขาน่าจะมองทะลุจุดประสงค์ของเธอ
แต่ช่างมันปะไร ตอนนี้ไม่ใช่ว่าฝ่ายตรงข้ามขอร้องอยากจะรู้จักเธอหรือ?
ใครมีสิทธิ์เหนือกว่าในการเรียกร้องความต้องการ? ถึงแม้ว่าเขาจะรู้แล้วมันจะทำไม? อย่างมากก็แค่ไม่ปล่อย รักษาสถานะ ตัวเองไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว
แต่ไม่คิดว่าลิ่วเสิ่นจะพยักหน้า
เขายิ้มอย่างแผ่วเบา “ได้สิ ผมรับปาก”
เฉียวฉีตกตะลึงครู่หนึ่ง
เธอไม่คิดว่ามันจะราบรื่นได้ขนาดนี้
เธอไม่เชื่อว่า อีกฝ่ายจะไม่รู้ ว่าการปล่อยเสี่ยวเยว่ไปหมายความว่าอย่างไร เขารู้ดีแต่ก็กล้าที่จะตอบรับ
ลางสังหรณ์ไม่ดีก็ปรากฏขึ้นในใจเธอ
แต่ลิ่วเสิ่นพูดต่อ “ผมรับปากคุณเรื่องหนึ่ง คุณก็ต้องรับปากผมอีกเรื่องเช่นกันใช่ไหม? ถ้าผมสามารถปล่อยเธอไป คุณต้องไปกับผม ว่ายังไงละ?”
ดวงตาของเฉียวฉีมืดหม่นลง
“คุณจะพาฉันไปไหน?”
“ไม่ใช่เรื่องที่คุณต้องรู้ตอนนี้หรอก”
เขาพูดพลางยิ้มอย่างนุ่มนวล แต่เฉียวฉีรู้ว่ารอยยิ้มนั้นเหมือนงูพิษ เลื้อยไปมาบนหลัง ทำให้เธอหนาวสั่น
เขาพูดเสียงเบา “น้องสาวคนดีของพี่ ไม่ต้องกังวล พี่จะพาน้องไปยังที่ที่น้องชอบ ที่นั่น น้องสามารถปล่อยเรื่องราวน่าปวดหัว ไม่ต้องกังวลกับเรื่องแบบนี้อีก”
เฉียวฉีมองเข้าไปในดวงตาของเขา ไม่ทันไร เธอก็รู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย
เปลือกตาเธอเริ่มหนักขึ้น ความรู้สึกผิดปกติบางอย่างปรากฏขึ้นอีกครั้ง เธอรู้สึกเพียงว่าภาพตรงหน้าเริ่มเบลอมากขึ้นเรื่อยๆ
ในขณะที่เธอกำลังจะเป็นลม ในขณะ พลันก็มีเสียงดังมาจากด้านนอก
“ตูม——!”
เฉียวฉีได้สติขึ้นมาทันที
ในทางตรงกันข้าม สีหน้าของลิ่วเสิ่นเปลี่ยนไป เขารีบพุ่งออกไปอย่างเร็ว เมื่อไปถึงประตู ก็รีบกลับมาแล้วคว้าเฉียวฉีแล้ววิ่งขึ้นไปชั้นบน
“มากับผม!”
เขาพูด สีหน้าของเฉียวฉีเปลี่ยนไป หัวใจเต้นรัว นึกถึงสิ่งที่เพิ่งผิดปกติกับตัวเองใน มีบางสิ่งที่เธอไม่เข้าใจมาก่อน แต่ตอนนี้ เธอเข้าใจมันทั้งหมด
สะกดจิต!
สมควรตาย! นึกไม่ถึงว่าผู้ชายคนนี้สามารถสะกดจิตได้! ไม่แปลกใจเลยที่เธอรู้สึกแปลกๆ ในช่วงเวลานี่ กลับกลายเป็นว่าทุกอย่างถูกฝ่ายตรงข้ามโกหกหมดเลย!
เธอโกรธมาก และไม่ว่าสภาพร่างกายในปัจจุบันของเธอจะเป็นอย่างไร แต่เธอพลิกข้อมือ เหมือนเป็นการต่อสู้
สีหน้าของลิ่วเสิ่นตกตะลึง และเขาก็ตอบสนองอย่างรวดเร็ว ปล่อยเธอไป
เฉียวฉีใช้ประโยชน์จากการตีศอก และเตะเขาเข้าที่หน้าอกในเวลาเดียวกัน
ลิ่วเสิ่นใช้แขนปกป้องตัวเอง อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วินาที เฉียวฉีก็ดีดตัวออกไปหลายเมตร
สีหน้าเขาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ได้สติรับรู้ว่าทักษะต่อสู้ของผู้หญิงคนนี้ฟื้นคืนมาแล้ว เกรงว่าตัวเองจะจับยาก โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่มีคนนอกบุกรุกเข้ามา
เขาคิดเหมือนไม่คิด ดวงตาเย็นชาลง เขาเอื้อมมือออกไปคว้าเสี่ยวเยว่ที่อยู่ข้างๆ เขาเข้ามา
“อ๊ะ——!”
อุทานด้วยความตกใจ เสี่ยวเยว่พลันถูกเขาจับคอเธอ
สีหน้าของเฉียวฉีเปลี่ยนไป ฝีเท้าที่เตรียมหนีชะงักไปทันที
“เสี่ยวเยว่!”
ลิ่วเสิ่นจ้องมาที่เธอและพูดอย่างเย็นชา “น้องสาวคนดี เชื่อฟังนะ ตามมา!”
ใบหน้าของเฉียวฉีตึงเครียด เธอขบกรามแน่น
คอของเสี่ยวเยว่ถูกลิ่วเสิ่นบีบ เธอส่ายหัวอย่างสิ้นหวัง น้ำตาไหลออกมาแล้ว
“พี่เฉียวฉี หนีไป! ไม่ต้องสนใจฉัน รีบหนีไป!”
แต่ เฉียวฉีจะหักห้ามใจได้อย่างไร?
ภาพของถังชีชีที่กำลังนอนจมกองเลือดเพื่อตัวเอง ปรากฏขึ้นมาในหัว
หัวใจของเธอราวกับโดนฉีกทึ้ง เธอกัดฟัน จ้องไปที่ลิ่วเสิ่นและพูดว่า “ปล่อยเธอไป!”
ลิ่วเสิ่นยิ้มเยาะ ดวงตาดุร้ายรุนแรง
“ฉันให้เวลาเธอสามวิ มานี่ ไม่อย่างนั้นฉันจะบีบคอเธอให้ตาย”
เขาพูด พลางออกแรงที่มือ
เสี่ยวเยว่ตาเหลือกทันที ดูเหมือนจะหายใจไม่ออก
คอที่บอบบางอยู่ภายในกำมือของเขา ราวกับเป็นรากบัว ที่ออกแรงนิดหน่อยก็ขาดแล้ว
เฉียวฉีกัดฟันแน่น “อย่าทำร้ายเธอ ฉันไปก็โอเคแล้ว”
เสี่ยวเยว่ส่ายหัวอย่างสิ้นหวัง และมองดูเธออย่างเศร้าสร้อย
เฉียวฉีพูดด้วยใบหน้าที่เย็นชา และเดินเข้าไปหาเขาทีละก้าว
ตอนนี้ การต่อสู้ด้านนอกเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เธอรู้ เป็นไปได้อย่างมากที่กู้ซือเฉียนจะค้นพบที่นี่ และมาช่วยเธอแล้ว
ความหวังผุดขึ้นจากก้นบึ้งของหัวใจ และเธอเข้าไปหาลิ่วเสิ่นทีละก้าว
เธอห่างจากเขาเพียงครึ่งก้าวเท่านั้น ทันใดเธอก็ย่อตัวกลิ้งไปยังข้างหลังของเขา และใช้ขาเตะไปยังขาพับที่เข่าของเขาอย่างแรง
ลิ่วเสิ่นไม่คิดว่าในเวลานี้เธอยังจะกล้าเล่นแง่กับเขา เจ็บจนต้องโค้งตัวลงไป แรงที่มือก็พลันคลายออกโดยธรรมชาติ
เฉียวฉีดึงเสี่ยวเยว่ออกมา ก่อนจะหันหลัง และวิ่งออกไป
“ไป!”
เธอตะโกน เสี่ยวเยว่มึนงงเล็กน้อย แต่เธอก็ยังวิ่งตามเฉียวฉีไป
ประตูใหญ่อยู่ตรงหน้า ความหวังเริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
ในตอนนี้นี่เอง ที่หญิงสาวที่เธอลากออกมามีสายตาที่เย็นชา ก่อนที่เธอจะใช้สันมือกระแทกไปที่คอของเธออย่างแรง
เฉียวฉีรู้สึกเจ็บปวดที่หลังคอ โลกตรงหน้ากลับหมุน
เธอหันกลับไปมองเสี่ยวเยว่อย่างไม่เชื่อสายตา ไม่กี่วินาที ร่างกายพลันอ่อนยวบลงไปกองกับพื้น
เสี่ยวเยว่เอื้อมมือออกไปรับเธอ
ข้างหลัง ลิ่วเสิ่นก็ตามมาแล้ว
เมื่อเห็นหญิงสาวในอ้อมแขน เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนจะให้คนพาออกไป และพูดว่า “รู้ก็ดี ไม่ต้องกังวล หลังจากเรื่องนี้จบฉันจะคืนคุณยายให้เธอ ตอนนี้ตามไปกับฉันก่อน”
พูดจบ เขาก็อุ้มเฉียวฉี วิ่งไปด้านบน
มีเฮลิคอปเตอร์ขนาดเล็กจอดอยู่ที่ชั้นบนสุด
ลิ่วเสิ่นวางเฉียวฉีไว้บนเครื่อง รอให้เสี่ยวเยว่ขึ้นมา เขาก็ขับเครื่องบินและหนีไปทันที
ในตอนนี้ กู้ซือเฉียนที่กำลังพัวพันอยู่ด้านนอกมองไปยังเฮลิคอปเตอร์ที่กำลังห่างออกไป เขาไล่เตะคนข้างหน้าอย่างโหดร้าย สั่งด้วยเสียงโกรธจัด “ฉินเยว่ นำคนไล่ตามเส้นทางของเครื่องลำนั้น พวกแกตามฉันมา ไป!”