ขณะที่เขาพูด เขาก็รินชาให้ตัวเองอีกถ้วย ก่อนดื่มรวดเดียว และพูดว่า “ลุงโอ ส่งคุณชายหลินด้วย”
ลุงโอเข้ามาจากด้านนอก มองไปยังหลินซงด้วยท่าทางนอบน้อม
“เชิญครับ คุณชายหลิน”
หลินซงมองไปที่กู้ซือเฉียนอย่างลึกซึ้ง
ผ่านไปหลายวินาที เขาก็พูดว่า “รู้แล้ว ฉันไปละ”
พูดจบ เขาก็หันหลังเดินออกไป
อย่างไรก็ตาม เมื่อเดินไปถึงหน้าประตู เขาก็หยุดกะทันหัน
เขายืนอยู่ที่นั่น โดยหันหลังให้กู้ซือเฉียนและพูดอย่างเคร่งขรึม “แม้ฉันจะรู้ว่าฉันทำอะไรกับเรื่องนี้ไม่ได้ แต่อะเฉียวไม่ใช่แค่ผู้หญิงที่นายชอบเท่านั้น แต่เป็นเพื่อนของฉันด้วย อะไรที่ฉันทำได้ละก็ ฉันจะทำอย่างแน่นอน นายไม่ต้องกังวล ฉันไม่ให้ตระกูลหลินลำบากไปด้วยหรอก แต่นายก็หยุดความคิดของฉันไม่ได้เช่นกัน”
กู้ซือเฉียนไม่ได้พูดอะไร
หลินซงเดินออกไป
หลังจากที่เขาจากไป กู้ซือเฉียนยังคงนั่งอยู่ที่เดิม
ผ่านไปนาน เขาก็หยิบมือถือออกมาโทรออก
“น้องเซเว่น พี่ชายมีเรื่องจะคุยกับพวกเธอ ให้แฟนของเธอมารับโทรศัพท์หน่อย”
… …
ช่วงนี้จิ่งหนิงยุ่งมาก
อานหนิงกั๋วจี้กำลังวางแผนสร้างภาพยนตร์เรื่องใหม่ ที่กำกับโดยเหยียนซื่อหวา
ในช่วงเวลานี้ เธอและเหยียนซื่อหวากำลังวุ่นอยู่กับการเลือกนักแสดงสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้
เพราะหนังเรื่องนี้เป็นละครที่เหยียนซื่อหวาเตรียมไว้นานแล้ว เขาไม่ได้วางแผนที่จะใช้นักแสดงที่มีอยู่ในวงการบันเทิง แต่ตัดสินใจที่จะเริ่มออดิชั่น โดยเลือกจากบรรดานักแสดงสมัครเล่นในที่สาธารณะ
ส่งผลให้ปริมาณงานเพิ่มขึ้นอย่างมาก
ในฐานะนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดในละครเรื่องนี้ จิ่งหนิงจะต้องเป็นผู้ตัดสิน
เมื่อได้รับโทรศัพท์จากกู้ซือเฉียน เธอเพิ่งเสร็จจากงานและกำลังกลับบ้าน
เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูดทางโทรศัพท์ ก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วถามว่า “มีอะไรเหรอ?”
“เรื่องใหญ่ เธอทำไม่ได้หรอก ให้แฟนเธอมารับคุยหน่อย”
จิ่งหนิงหัวเราะหยัน
“ถ้าอย่างนั้นก็ขอโทษด้วย เขาไม่อยู่ วันหลังค่อยโทรมาใหม่แล้วกัน”
พูดจบก็วางสายไป
ข้างหน้า โม่หนานกำลังขับรถอยู่
เมื่อได้ยินเธอวางสายด้วยเสียงไม่ดี จึงยิ้มและพูดว่า “ใครกัน? ที่ทำให้คุณอารมณ์เสีย?”
จิ่งหนิงขมวดคิ้วด้วยความเหนื่อยล้า และพูดเสียงเบา “กู้ซือเฉียน”
โม่หนานนิ่งไป
ทั้งสองเคยประสบอุบัติเหตุเครื่องบินตกมาก่อน และในสถานการณ์ที่บาดเจ็บหนักก็อยู่ในเงื้อมมือของพวกพ่อค้ามนุษย์ กู้ซือเฉียนช่วยชีวิตพวกเขา
ดังนั้น เรื่องระหว่างจิ่งหนิงและกู้ซือเฉียน โม่หนานก็รู้
เธอไม่เพียงรู้ แม้แต่ลู่จิ่งเซินก็รู้คร่าวๆ แต่บางทีก็ไม่อยากให้รำคาญ ดังนั้นก็เลยไม่สอบถามหาสาเหตุ
แต่พูดถึงแล้ว ตั้งแต่ครั้งนั้น ก็ไม่ได้ติดต่อกันภายหลังอีก
ทำไมวันนี้จู่ๆถึงติดต่อมา
แม้ว่าโม่หนานจะรู้สึกแปลกๆ ในใจ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องนี้
ไม่นานนัก ก็ถึงบ้าน
ตอนนี้จิ่งหนิงเป็นแม่ และรักครอบครัวเสมอมา สิ่งที่เธอรอคอยมากที่สุดหลังจากเลิกงานทุกวันคือการกลับบ้านไปหาอานอาน และจิ้งเจ๋อน้อย
จิ้งเจ๋อน้อยตอนนี้อายุได้ 2 ขวบแล้ว เป็นเวลาที่เริ่มดื้อพอดี พี่เลี้ยงที่บ้านเอาเขาไม่อยู่สักคน
ลู่จิ่งเซินก็งานยุ่ง มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเฝ้าอยู่ที่บ้านตลอดเวลา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจิ่งหนิง แถมช่วงนี้หญิงชราและท่านปู่ก็สุขภาพไม่ค่อยดีด้วย อยู่ที่บ้านตลอดเพื่อฟื้นฟูร่างกาย ไม่ง่ายเลยที่จะมา
และจิ่งหนิงไม่ต้องการให้เด็กๆ วุ่นวายกับพวกเขาด้วย ดังนั้นก็เลยไม่ได้บอกให้พวกเขามาช่วย
โชคดีที่ แม้จิ้งเจ๋อน้อยจะไม่มีใครเอาอยู่ แต่กลับมีพี่สาว
เขาจะเชื่อฟังคำพูดของอานอาน
สิ่งนี้ช่วยชีวิตเธอได้มาก
รถแล่นเข้าประตูอย่างช้าๆ พลันเด็กทั้งสองก็วิ่งออกมาทันที เมื่อได้ยินเสียงเครื่องยนต์จากด้านนอก
เมื่อจิ่งหนิงลงจากรถ ดวงตาของเธอก็เป็นประกาย
“หม่ามี้!”
เด็กทั้งสองรีบวิ่งโผเข้ามาทันที
จิ่งหนิงกอดพวกเขาไว้ในอ้อมอก อดไม่ได้ที่จะยิ้ม “เบาหน่อย เดี๋ยวแม่ล้ม เดี๋ยวเราจะหงายหลังสี่ขาชี้ฟ้า”
จิ้งเจ๋อน้อยพูดด้วยน้ำเสียง “ไม่ถูก ไม่ถูก จะเป็นสิบสองขาชี้ฟ้า หนึ่งคนมีสี่ขา สามคนมีสิบสองขา”
เมื่อจิ่งหนิงได้ยิน เธอก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้
“ใครมีสี่ขา? ลูกมีสี่ขาเหรอ?”
จิ้งเจ๋อน้อยยังคงสับสนเล็กน้อย ช่วงนี้เขาเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เขาชอบเรียนมาก ชอบนับไปเสียหมดไม่ว่าจะอะไร
แต่คราวนี้ เขารู้สึกว่าตัวเองนับผิด
หนึ่งคนเรียกสี่ขา สามคน ก็ต้องสิบสองขานี่?
ทำไมหม่ามี้กับพี่สาวยังหัวเราะ?
เขาไม่รู้ว่าพวกเธอหัวเราะอะไร เขาเลยไม่ได้คิดอะไร เลยหัวเราะตามอย่างมีความสุข
จิ่งหนิงอุ้มเขาขึ้น และพาอานอานเข้าไปในบ้าน ก่อนจะถามว่า “วันนี้พวกลูกเล่นอะไรกัน?”
เด็กน้อยสองรายงานตั้งแต่ต้นจนจบ
จิ่งหนิงเดินไปที่ห้องนั่งเล่น เธอวางจิ้งเจ๋อน้อยลง และเล่นเกมเป็นเพื่อนอานอานที่ก่อนหน้ายังเล่นไม่จบ สามคนแม่ลูกเล่นกันอย่างสนุกสนาน
แต่โทรศัพท์ที่เธอวางสายไป กลับไม่ดังขึ้นอีกเลย
เธอก็ไม่สนใจเหมือนกัน อย่างไรกู้ซือเฉียนก็ยังติดอยู่ในใจ มันแปลกและอธิบายไม่ได้
ตอนนี้เขาไม่รบกวนเธอ ซึ่งมันก็ดีแล้ว
แต่ไม่คิดว่า ว่าอีกฝ่ายจะไม่คิดมารบกวนเธออีก และจากน้ำเสียงของเธอเมื่อตะกี้นี่ ได้ยินว่า ตอนนี้ลู่จิ่งเซินไม่ได้อยู่ที่นี่ ดังนั้นก็เลยเปลี่ยนเวลารบกวนแค่นั้น
ดังนั้นเมื่อตอนเวลาอาหารเย็น โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นมาอีกรอบ
จิ่งหนิงปรายตามอง เมื่อเห็นเบอร์โทรศัพท์ที่โชว์ ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
ลู่จิ่งเซินที่นั่งข้างเธอ ถามขึ้นมาว่า “เบอร์ใคร?”
จิ่งหนิงลังเลเล็กน้อย ในที่สุดก็ไม่ปิดบังจากเขา
“กู้ซือเฉียน วันนี้ตอนบ่ายเขาโทรมารอบหนึ่งแล้ว บอกว่ามีเรื่อง แต่ไม่รู้ว่าเรื่องอะไร”
ดวงตาของลู่จิ่งเซินหม่นลง
เขาพูดเสียงขรึมว่า “เอาโทรศัพท์มาให้ผม”
จิ่งหนิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
เธอรับรู้ถึงความสัมพันธ์ที่ไม่ลงรอยกันระหว่างลู่จิ่งเซินกับกู้ซือเฉียน ในอดีต ความสัมพันธ์นั้นแข็งกระด้างเพราะความขัดแย้งระหว่างตระกูลกู้และลู่ ภายหลังเมื่อรู้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอและกู้ซือเฉียน ก็ยิ่งทำให้สองฝ่ายกลายเป็นศัตรูยิ่งขึ้น
นึกไม่ถึงว่าตอนนี้เขาจะรับโทรศัพท์ของกู้ซือเฉียน?
จิ่งหนิงประหลาดใจราวกับได้ค้นพบแผ่นทวีปใหญ่
ด้วยความประหลาดใจนี้ เธอเลยส่งโทรศัพท์ให้เขาอย่างเชื่อฟัง
ลู่จิ่งเซินรับสาย และแทนที่จะรับสายต่อหน้าเด็ก เขากลับออกไปรับสายข้างนอกแทน
จิ่งหนิงไม่สนเขาอีก หลังจากที่เขาออกไป เธอก็หันไปพูดกับอานอานว่า “อานอาน กินผักหมดอย่างเดียวไม่ได้นะ หนูต้องกินเนื้อด้วย”
เธอพูดพลาง คีบเนื้อใส่ชามให้อานอาน
ตอนนี้ อานอานโตเป็นเด็กหญิงแล้ว แม้ว่าอายุเธอจะยังไม่ถึง10ขวบดี แต่ด้วยยีนที่ยอดเยี่ยมของจิ่งหนิงและลู่จิ่งเซิน ทำให้เธอมีรูปร่างที่ค่อนข้างเพรียวบาง สูงเกือบจะ160เซนติเมตรแล้ว
เด็กสาวสมัยนี้ ต่างก็สนใจเรื่องความสวยความงามกันอยู่แล้ว