แม้ว่าเธอจะสวยด้วยตัวเองอยู่แล้ว แต่อย่างไรพ่อแม่ก็ดูดีเสียขนาดนี้ ไม่ว่าจะเป็นกรรมพันธุ์ ก็เป็นกรรมพันธุ์ที่ไม่เลว
แต่เธอยังคงสังเกตรูปร่างของลูกสาวอยู่ในใจ
จิ่งหนิงค้นพบว่า ช่วงนี้แอบลดอาหารลง เธอไม่กินเนื้อสัตว์ จะกินก็แค่ผักและผลไม้ที่มีแคลอรีต่ำเท่านั้น
อดไม่ได้ที่จะไร้ซึ่งหนทางใด
เธอรู้ดีว่าสำหรับเด็กในวัยนี้ ความงามไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด แต่ความสูงและโภชนาการต่างหากที่เป็นสิ่งสำคัญมากกว่า
ดังนั้นทุกมื้อ เธอจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้เธอกินเนื้อมากขึ้น
เมื่ออานอานเห็นว่าปิดบังไม่ได้ ก็เลยต้องจำใจคีบเนื้อเข้าปาก
ก่อนจะถามด้วยความสงสัย “หม่ามี้ขา แด๊ดดี้คุยโทรศัพท์กับใครเหรอคะ?”
จิ่งหนิงเหลือบมองเธอ ก่อนจะพูดเสียงเบาว่า “เรื่องของผู้ใหญ่น่า เด็กๆอย่าไปยุ่งเลย”
อานอานส่งเสียงรับทราบ
เธอทานอาหารจนหมดชาม ก่อนจะพูด “ทานเสร็จแล้วค่ะ”
จิ้งเจ๋อน้อยเป็นเด็กติดพี่ เมื่อเห็นพี่สาวไม่กินแล้ว เขาก็ไม่กินเช่นกัน
เขาวางชามเหมือนกัน ก่อนพูดเสียงอ้อแอ้ว่า “ม่าม่า หนูก็ทานเสร็จแล้ว”
จิ่งหนิงมองไปยังคนเล็กและคนโตอย่างช่วยไม่ไก้
เธอจำใจต้องหยิบผ้าเช็ดปากมาแล้ว เช็ดให้เด็กทั้งคู่ ก่อนจะพูดว่า “เสร็จแล้วก็ไปเล่นเถอะ”
เด็กทั้งสองส่งเสียงดีใจ ก่อนจะรีบวิ่งไปยังบ้านของเล่นที่อยู่ด้านหลังทันที
จิ่งหนิงมองตามหลังพวกเขา ก่อนจะเผลอยิ้มออกมา และส่ายหัวอย่างจนปัญญา
เธอนั่งอยู่คนเดียวบนโต๊ะอาหาร มองดูโต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหารเลิศรส แต่เธอกลับไม่มีความอยากอาหารเลย
เมื่อหันกลับไป ก็เห็นลู่จิ่งเซินยังคงหันหลัง คุยโทรศัพท์อยู่
เธออดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้
ถึงแม้วันนี้กู้ซือเฉียนจะไม่ได้อธิบายทางโทรศัพท์ว่าอะไร แต่ลางสังหรณ์บอกจิ่งหนิง ว่ามันต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่
ไม่อย่างนั้น คนที่หยิ่งทระนงอย่างกู้ซือเฉียน คงไม่มาขอความร่วมมือจากลู่จิ่งเซินหรอก
เมื่อคิดอย่างนี้ เธอก็ขมวดคิ้วน้อยๆ ใจสั่นเบาๆ
ไม่นานนัก ลู่จิ่งเซินคุยจบก็กลับมา
เมื่อเขาเดินมา จิ่งหนิงก็รีบถามทันที “เป็นอย่างไรคะ? เขาโทรหาคุณมีเรื่องอะไร?”
ลู่จิ่งเซินมองเธอเบาๆ ก่อนจะเอาโทรศัพท์ให้เธอ และพูดว่า “ทานให้เสร็จก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยพูดกัน”
จิ่งหนิงชะงัก
อันที่จริงเธออยากรู้มาก แต่เมื่อเขาพูดอย่างนั้น เธอก็ไม่ได้ถามเซ้าซี้อีกต่อไป และเริ่มทานอาหารอย่างเชื่อฟัง
หลังอาหารเย็น จิ่งหนิงขอให้คนรับใช้ที่ดูแลเด็กทั้งสองคนเข้าไปดูพวกเขาที่ห้องของเล่น เมื่อถึงเวลาก็พาพวกเขาไปอาบน้ำเข้านอน
จากนั้น ก็กลับไปยังห้องนอนชั้นบนกับลู่จิ่งเซิน
ทันทีที่เข้าไปในห้องนอน ลู่จิ่งเซินก็พูดว่า “กู้ซือเฉียนให้ผมร่วมมือด้วย เขาบอกว่าสืบหาคนที่ไล่ฆ่าพวกคุณบนเครื่องบินได้แล้ว”
จิ่งหนิงช็อก!
ดวงตาของเธอเบิกกว้างอย่างไม่เชื่อ
ในตอนแรก เธอและโม่หนานประสบอุบัติเหตุบนเครื่องบิน และหลังจากกลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว พวกเขาส่งคนจำนวนมากไปที่นั่นเพื่อค้นหาว่าใครอยู่เบื้องหลังคือใคร
แต่ส่งคนแล้วคนเล่าไป พวกเขากลับไม่ได้รับอะไรกลับมา ได้รับแต่ความเงียบงัน
ต่อมา ในที่สุดก็พบข่าวเกี่ยวกับที่อยู่ของมือสังหารที่ไล่ตามเธอ
แต่เมื่อพวกเขามาถึงที่เกิดเหตุ ก็พบว่าคนเหล่านั้นเสียชีวิตไปนานแล้ว และร่างกายของพวกเขาก็เกือบจะกลายเป็นกระดูก
เห็นได้ชัดว่า หลังจากเรื่องราวล้มเหลว จึงถูกฆ่าอย่างรวดเร็ว
คนพวกนี้ใจคอโหดร้าย แถมการทำงานยังโหดเหี้ยมมาก ไม่เหลือจุดบกพร่องอะไรให้คนอื่นเลย
ถึงอย่างไร อำนาจของตระกูลลู่มีอยู่แค่ในประเทศ ฝั่งนู้นเป็นพื้นที่ที่ค่อนข้างไม่คุ้นเคย ดังนั้น ภายหลังจึงมีเรื่องราวยุ่งเหยิงวุ่นวายมากมาย นอกจากจะต้องเพิ่มการปลอดภัยอย่างเข้มงวดทุกวัน ทางฝั่งนู้นยังคงมีการตามตรวจสอบ แต่กลับไม่เน้นตลอดเวลา
แต่ตอนนี้ กู้ซือเฉียนกลับมาบอกพวกเขา ว่าหาตัวตนของคนพวกนั้นเจอ?
ข่าวนี้จะไม่ให้จิ่งหนิงแปลกใจได้อย่างไร?
เธอลังเล ก่อนจะถามว่า “หมายความว่าอะไรคะ? เขาอยากจะร่วมมืออะไรกับคุณกัน? คนพวกนั้นเป็นใคร?”
ลู่จิ่งเซินพูดอย่างเคร่งขรึม “เขาไม่ได้พูด แค่บอกว่าให้พรุ่งนี้ไปหา แล้วคุยกันต่อหน้า”
จิ่งหนิงรีบปฏิเสธไปอย่างไม่คิด
“ไม่ค่ะ ฉันไม่เห็นด้วยที่จะให้คุณไปที่นั่น”
ลู่จิ่งเซินมองดูเธออย่างลึกซึ้ง
จิ่งหนิงพูดอย่างเคร่งขรึม “คุณไม่เข้าใจกู้ซือเฉียน เขามาหาคุณเพราะเขามีปัญหาที่เขาแก้ไขเองไม่ได้ ตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลกู้และตระกูลลู่เดิมทีก็ละเอียดอ่อนและตึงเครียดอยู่แล้ว หากคุณไปพบเขา แล้วเป็นการร่วมมือกันจริงก็โอเค ถ้าเป็นการขุดหลุมแล้วให้คุณกระโดดไปคนเดียวละคะ? คุณจะโดดเข้าไปในหลุมอย่างนี้ได้อย่างไรกัน?”
ลู่จิ่งเซินพูดเสียงขรึม “แต่นี่เป็นโอกาสที่ดี”
เขาหยุดไปสักพัก และพูดว่า “บนโลกใบนี้ มีเพียงหลักการกันไว้ดีกว่าแก้ แก้ปัญหาที่ต้นเหตุดีกว่าที่ปลายเหตุนะ หนิงหนิง ครั้งที่แล้วพวกคุณโชคดี พวกเขาดำเนินแผนชั่วไม่สำเร็จ แต่ครั้งต่อไปละ? ครั้งต่อต่อไปอีกละ? พวกเราไม่มีใครมาการันตีได้หรอกนะว่าจะโชคดีได้ทุกครั้ง ดังนั้นถ้าหากลากไอ้พวกนั่นออกมาได้จริงๆ ผมจะไม่ลังเล”
คำพูดของลู่จิ่งเซิน ทำให้จิ่งหนิงนิ่งไป
เธอมองไปยังดวงตาที่ล้ำลึกของเขา รวมทั้งใบหน้าที่สงบแต่ก็ยังแน่วแน่ ทันใดนั้นหัวใจของเธอก็ซับซ้อนและลังเลเล็กน้อย
“แต่ว่า… …”
“ไม่มีคำว่าแต่แล้ว”
ลู่จิ่งเซินพูดต่อ “วางใจเถอะ เขาไม่กล้าวางกับดักผมหรอก อย่างไรตระกูลกู้ในประเทศยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของผม แม้ว่าเขาจะเป็นลูกนอกกฎหมายของตระกูลกู้ มีอคติกับตระกูลกู้มาโดยตลอด แต่ก็ละทิ้งธุรกิจขนาดใหญ่ของตระกูลกู้ไม่ได้”
“ดังนั้น เขาไม่กล้าลงมือกับผมหรอก เหตุผลที่เขาโทรหาผม น่าจะเป็นเพราะเราเจอศัตรูกลุ่มเดียวกัน”
“ศัตรูของศัตรูคือมิตร แม้เพียงชั่วคราว ทำไมถึงไม่รอรับประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่ายละ?”
จิ่งหนิงเงียบไปอันที่จริง เธอไม่ได้หมายความว่ากู้ซือเฉียนจะทำร้ายลู่จิ่งเซินแต่อย่างใด แต่ในสายตาของเธอ ผู้ชายคนนั้น เป็นคนปลิ้นปล้อน แต่ไหนแต่ไรมาจะไม่ยอมถูกเอาเปรียบ
จะไม่มีเหตุผลขนาดนี้ นำอารมณ์ความรู้สึกขนาดนี้มาขายให้กับเขา?
มีปัญหาแน่นอน
เมื่อคิดอย่างนี้ เธอจึงขมวดคิ้ว พลางพูดว่า “โอเคค่ะ อยากจะไปก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้แต่ว่าฉันต้องไปกับคุณด้วย”
ลู่จิ่งเซินขมวดคิ้วแน่น
จิ่งหนิงพูด “ฉันไม่อนุญาตให้ปฏิเสธ ถ้าไม่อย่างนั้นเราก็ไม่ต้องไปกันสักคน”
ลู่จิ่งเซินยังอยากที่จะโน้มน้าวเธออีก “หนิงหนิง คุณ… …”
“ฉันไม่อยากฟังหลักการพวกนั้น”
จิ่งหนิงพูดดักเขา และมองเข้าไปยังดวงตาของเขา ก่อนจะพูดว่า “ฉันไม่อยากฟังประโยคที่ว่าทำเพื่อลูกอะไรเทือกนั้น ลู่จิ่งเซิน เราเป็นสามีภรรยากันนะ จะรุ่งเรืองหรือตกต่ำเราก็ต้องลงเรือลำเดียวกัน ภาพรวมทุกอย่างไม่ดีเท่ากับคุณ ถ้าหากคุณเป็นอะไรไป ฉันก็อยากอยู่กับคุณ ฉันไม่อยากอยู่คนเดียวบนโลกนี้”
ลู่จิ่งเซินตกตะลึง
จู่ๆ หัวใจของเขาก็รู้สึกราวกับถูกบางสิ่งกระแทกอย่างแรง อบอวลอยู่ในใจ
ทำให้รักอย่างสุดหัวใจ
เขายื่นมือออกไปคว้าจิ่งหนิงเข้ามากอด