บทที่ 8 ประกาศงานหมั้น
ณ ตระกูลจิ่ง
ในห้องรับแขกมีคนนั่งอยู่หลายคนรวมทั้งหญิงชราหวังเสว่เหมย พ่อของเธอจิ่งเซี่ยวเต๋อแม่ของเธอหยูซิ่วเหลียน น้องสาวของมู่ยั่นเจ๋อ และเพื่อนของมู่ยั่นเจ๋อ ทุกคนมารวมตัวกันอยู่ที่นี่
มู่ยั่นเจ๋อและมู่ยั่นเจ๋อนั่งอยู่ที่โซฟา บรรยากาศค่อนข้างที่จะอึดอัด
“พี่เสี่ยวหย่าคะ จากที่หนูดูนะ พี่น่ะอ่อนแอเกินไปเลยถูกเขารังแกง่ายๆ พี่กับพี่ชายของฉันรักกัน เธอคนนั้นยังมีหน้ามาทำเรื่องแบบนี้ได้ รู้อยู่ว่าฐานะตัวเองเป็นยังไงยังกล้าให้ตำรวจมาจับพวกคุณ นี่มันเท่ากับต้องการทำลายอนาคตของคุณชัดๆ ไม่ใช่เหรอ?”
“นั่นน่ะสิ เธอเพิ่งจะเลิกกับมู่ยั่นเจ๋อไปได้ไม่กี่ชั่วโมงก็ไปหาผู้ชายที่ในผับ ตัวเธอเองก็ไม่ได้ดีเด่นสักเท่าไหร่”
“เสี่ยวหย่า เธอเป็นคนของสังคม เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไปว่าเธอให้ท่ามู่ยั่นเจ๋อ และถูกคู่หมั้นของมู่ยั่นเจ๋อจับชู้ได้คาหนังคาเขาบนเตียง แล้วยังบอกว่าเสพยาเสพติดด้วย เรื่องนี้มันเป็นเรื่องโกหกชัดๆ เธอจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่ได้นะ”
มู่ยั่นเจ๋อทำท่าทางน่าสงสารมองไปทางหวังเสว่เหมย ใบหน้าขาวผ่องของเธอเผยให้เห็นน้ำตาแห่งความเปราะบางและเสียใจ
“จะให้หนูทำยังไงคะ? ก็พี่เขาต้องการแบบนี้ จะให้หนูขัดขืนเธอเหรอ? ยังไงพวกเราก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ถ้าหากว่ามีปัญหาขึ้นมากันจริงๆคุณย่าและคุณพ่อก็คงจะต้องปวดหัว”
หวังเสว่เหมยได้ยินดังนั้น ก็มองไปที่เธอด้วยสายตาชื่นชม
จิ่งเซี่ยวเต๋อโมโหพูดออกมาว่า “ทำไมพ่อต้องเสียใจ? ลูกเห็นเธอเป็นพี่สาว เคยถามเธอบ้างไหมว่าเห็นเราเป็นน้องสาวหรือเปล่า?”
“คุณลุงครับ เรื่องนี้ก็ไม่ใช่ความผิดของเธอ เป็นความผิดของผมเอง”
มู่ยั่นเจ๋อพูดขึ้นอย่างใจเย็น
มู่ยั่นเจ๋อรีบพูดขัดขึ้นมาว่า “ไม่ค่ะ เป็นความผิดของฉันเอง ถ้าหากว่าฉันไม่ได้รักพี่อาเจ๋อก็คงจะไม่……”
“เสี่ยวหย่า ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น” มู่ยั่นเจ๋อกอดเธอเอาไว้แล้วพูดว่า “ผมหมายถึงพวกเราควรจะบอกเธอก่อนหน้านี้ ไม่ควรกลัวว่าเธอจะรับไม่ได้และปิดบังมาจนปัจจุบัน ผมขอโทษที่ไม่ได้จัดการให้เรียบร้อยจนทำให้คุณต้องรู้สึกอับอาย”
มู่ยั่นเจ๋อนิ่งไปชั่วขณะและมองไปที่เขาอย่างซาบซึ้งแล้วพูดว่า “พี่อาเจ๋อ……”
“อะแฮ่ม!”
เสียงกระแอมเบาๆดังขึ้น ใบหน้าของหวังเสว่เหมยแฝงไปด้วยรอยยิ้มและมองไปยังมู่ยั่นเจ๋อ
“นายมู่ เรื่องมาถึงจุดนี้แล้ว อินเทอร์เน็ตวิพากษ์วิจารณ์กันยังไงคุณก็คงเห็น จะจัดการเรื่องนี้ไม่ให้บานปลายคาดว่าคงไม่ทันแล้ว คุณคิดยังไงเกี่ยวกับสถานการณ์ตอนนี้?”
มู่ยั่นเจ๋อสีหน้าเคร่งขรึม มู่ยั่นเจ๋อกำมือตนเองไว้แสดงออกให้เห็นถึงความกังวล
“คุณหญิงไม่ต้องกังวลไปครับ ผมไม่ทำให้มู่ยั่นเจ๋อต้องอับอายอย่างแน่นอน เมื่อผมกลับไปผมจะแจ้งให้คนจัดงานประกาศความสัมพันธ์ของผมกับเสี่ยวหย่าทันที”
หวังเสว่เหมยยิ้มขึ้น
จิ่งเซี่ยวเต๋อและหยูซิ่วเหลียนก็ตื่นเต้นมากเช่นกัน มีเพียงมู่ยั่นเจ๋อเท่านั้นที่แสดงท่าทางเป็นกังวล
“แต่ทุกคนก็รู้ว่าคุณมีคู่หมั้นอยู่แล้ว พวกเขาจะเชื่อเหรอคะ?”
มู่ยั่นเจ๋อจับมือของเธอเอาไว้และอธิบายว่า “แม้ทุกคนจะรู้ว่าผมมีคู่หมั้นอยู่แล้ว แต่ไม่มีใครรู้ว่าคู่หมั้นของผมเป็นใคร ดังนั้นเพียงแค่ผมพูดออกมาพวกเขาก็คิดว่าเป็นคุณ ถ้าเป็นแบบนี้ก็คงไม่มีใครวิพากษ์วิจารณ์ว่าอะไรอีกต่อไป”
มู่ยั่นเจ๋อจึงแสดงสีหน้าดีใจออกมาเล็กน้อย
แต่วินาทีต่อมาเธอก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า
“แต่ทางพี่……”
“วางใจได้ผมจะคุยกับพี่สาวคุณเอง”
หวังเสว่เหมยเอ่ยปากพูดด้วยท่าทีอันสง่างามว่า
“นายมู่ไม่จำเป็นที่จะต้องเผยแพร่เรื่องนี้ไปทางอินเทอร์เน็ต เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องราวปัญหาตามมาทีหลัง อีกไม่กี่วันเป็นวันเกิดของเสี่ยวหย่า เมื่อถึงเวลานั้นพวกเราจัดงานเลี้ยงและเชิญนักข่าวมาซักกลุ่มหนึ่งและประกาศในวันเกิดเธอก็ได้”
มู่ยั่นเจ๋อพยักหน้าแล้วพูดว่า “ครับ ตามที่คุณหญิงแนะนำ”
“เรื่องนี้คุณกลับไปปรึกษากับคุณพ่อคุณแม่ก่อน เนื่องจากเรื่องแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่จะตัดสินใจด้วยตัวเองไม่ได้”
“วางใจได้ครับ เรื่องนี้พวกท่านทั้งสองเห็นด้วย แล้วคุณพ่อคุณแม่ของผมก็ชอบเสี่ยวหย่ามาก”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดี” หวังเสว่เหมยยิ้มออกมาด้วยท่าทางพอใจ “ตอนเที่ยงอยู่กินข้าวด้วยกันก่อนสิ”
มู่ยั่นเจ๋อลุกขึ้นแล้วพูดว่า”ไม่เป็นไรครับ ที่บริษัทผมยังมีเรื่องต้องจัดการ ไว้วันหลังผมจะมาใหม่”
“นายมู่อายุยังน้อยแต่ประสบความสำเร็จมากมายในด้านการงาน เอาล่ะถ้าเป็นอย่างนี้ฉันก็ไม่รั้งคุณไว้”
หวังเสว่เหมยมองไปยังมู่ยั่นเจ๋อแล้วพูดว่า “เสี่ยวหย่าไปส่งนายมู่”
มู่ยั่นเจ๋อลุกขึ้นอย่างเชื่อฟังและพูดว่า “ค่ะ”
เมื่อมองเห็นมู่ยั่นเจ๋อและมู่ยั่นเจ๋อกลับออกไปแล้ว หวังเสว่เหมยจึงได้ถอนหายใจออกมา
ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มเมื่อสักครู่เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมแล้วพูดกับจิ่งเซี่ยวเต๋อว่า “โทรหาลูกสาวจิตใจอำมหิตนั่นของแก แล้วให้เธอมาที่นี่คืนนี้!”
จิ่งเซี่ยวเต๋อรีบรับคำว่า “ครับ”
……
จิ่งหนิงโทรศัพท์หาฝ่ายบุคคลเพื่อจัดการเรื่องราวต่างๆเรียบร้อยแล้วเธอก็วางสายลง
เมื่อเธอเพิ่งจะวางสายโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง
ชื่อที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอทำให้เธอตกตะลึงเล็กน้อย
เธอแทบจะกินข้าวไม่ลงเลยทีเดียว
จิ่งหนิงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับสายแล้วพูดว่า “ค่ะพ่อ”
“แกยังรู้ว่าฉันเป็นพ่ออีกเหรอ?”
จิ่งเซี่ยวเต๋อโมโหตะคอกออกมาผ่านสายโทรศัพท์ จิ่งหนิงเอามือยื่นออกจากหู
สุดท้ายแล้วเธอก็วางโทรศัพท์บนโต๊ะแล้วเปิดโหมดแฮนด์ฟรี
“มีธุระอะไรเหรอคะ?”
“กลับประเทศมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
เธอกลอกตาและตอบออกมาว่า “พ่อถามเรื่องนี้ทำไม?”
“ยังมีหน้ามาพูดอีกเหรอ! กลับมาก็ไม่บอกใครสักคำ ในสายตาของแกยังคิดว่ามีพ่อคนนี้อยู่อีกไหม?ยังคิดว่ายังมีบ้านที่นี่อยู่อีกหรือเปล่า?”
จิ่งหนิงยิ้มขึ้นแล้วพูดว่า “คุณคะ ถ้าฉันจำไม่ผิดละก็ตอนนั้นที่ฉันกลับมา ฉันเคยโทรศัพท์ไปหาคุณนะ”
จิ่งเซี่ยวเต๋อหยุดชะงัก
เขาถามขึ้นอย่างไม่แน่ใจว่า “โทรมาเมื่อไหร่?ทำไมฉันจำไม่ได้?”
จิ่งหนิงเผยอยิ้ม
นับจากที่มู่ยั่นเจ๋อมายังบ้านหลังนี้ จิ่งเซี่ยวเต๋อก็ไม่เคยใส่ใจเธออีก เรื่องนี้เธอรู้ดี
แต่คิดไม่ถึงว่าจะเป็นถึงขั้นนี้ เธอเคยโทรไปบอกเขาว่ากลับมาแล้วแต่เขาก็กลับลืมมัน
ที่ตลกกว่านี้ไปก็คือตอนนี้เขาโทรมาเพื่อถามว่าทำไมเธอถึงไม่บอกเขาสักคำว่ากลับมาแล้ว???
จิ่งเซี่ยวเต๋อตระหนักได้ว่าเป็นความผิดของเขาจึงได้รู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย
“เอาล่ะๆสองปีมานี้มัวแต่จัดการเรื่องที่บริษัท ไม่มีเวลาไปใส่ใจเรื่องเล็กๆน้อยๆอย่างนี้ก็เลยลืมไป ในฐานะของลูกสาวจะยกโทษให้พ่อไม่ได้เลยเหรอ?กลับมาตั้งนานแล้วทำไมถึงไม่มาบ้านบ้าง นี่มันช่าง……”
จิ่งหนิงขี้เกียจไปต่อล้อต่อเถียงกับเขาจึงพูดขึ้นว่า “มีเรื่องอะไรกันแน่คะ?”
“พ่อ……”จิ่งเซี่ยวเต๋อถูกน้ำเสียงอันเย็นชาของเธอทำให้รู้สึกโมโห แต่เมื่อนึกถึงนิสัยของเธอนั้นเขาก็พยายามระงับความโกรธเอาไว้
และพูดด้วยเสียงแข็งว่า “คุณย่าเรียกให้เธอกลับมากินข้าวเย็นนี้”
“ไม่ไปค่ะ!”
“อะไรนะ? ไปซะ! ยังใช้สกุลจิ่ง กลับมากินข้าวแค่มื้อเดียวมันเป็นยังไงไป?หรือต้องให้ไปเชิญด้วยตัวเอง?”
จิ่งหนิงพูดอย่างเย็นชาว่า “ตอนปีใหม่พวกคุณยังไม่คิดจะโทรมาเรียกให้ฉันกลับบ้าน ตอนนี้เรียกให้ฉันกลับบ้านไปกินข้าว?ฉันกลัวว่าอาหารมื้อนี้จะใส่ยาเบื่อหนูเอาไว้สิ!!!”