แต่ว่า กู้ซือเฉียนไม่ขยับ
เขาเพียงแต่ดื่มเหล้าไปอีกหนึ่งอึก ผ่านไปครู่หนึ่ง จึงกล่าวว่า“เธอจะไม่ตาย”
ใช่ นี่เป็นเพียงสิ่งเดียวที่เขามั่นใจ
อีกฝ่ายใช้ความพยายามขนาดนั้น ซุ่มหูตาไว้ที่นี่ตั้งนาน เพื่อจะจับตัวเธอ โดยยอมเสียสละเส้นสายที่ซ่อนมานานขนาดนี้
คนที่ใช้ความพยายามสุดความสามารถจับไปนั้น จะไม่ให้เธอตายอย่างง่ายดายแน่นอน
และก็เพราะเป็นแบบนี้ กู้ซือเฉียนจึงมีความอดทนค่อยๆ โจมตีกลุ่มชาวจีน
ในความเป็นจริงที่เขาทำแบบนี้ก็มีการเตรียมการไว้สองอย่าง
ประการแรกก็คือ หากอีกฝ่ายไม่อยู่ในมือกลุ่มชาวจีนจริงๆ รวบรวมกำลังเพื่อกำจัดกลุ่มชาวจีน หาหนอนบ่อนไส้คนนั้นออกมา แล้วหาที่อยู่ของเฉียวฉีให้เจอ
ประการที่สองคือ หากว่าคนเหล่านี้พูดโกหก ในความเป็นจริงแล้วเฉียวฉียังอยู่ในมือของพวกเขา
แต่ว่าเป็นเพราะผลประโยชน์ใหญ่หลวงบางอย่าง ทำให้พวกเขาไม่ยอมปล่อยคน
ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ตัวเองก็บีบคั้นเข้าไปทีละก้าว ก็จะสามารถทำให้พวกเขาได้ลิ้มลองรสชาติของการหมดหนทางไป สุดท้ายแล้วไม่อาจไม่ปล่อยคน
สองทางนี้ ล้วนเป็นสองทางที่ดีที่สุดที่เขาสามารถเดินได้ในตอนนี้
จิ่งหนิงฟังเขาพูดจบแล้ว ก็เงียบไปเหมือนกัน
ตอนนี้เธอเข้าใจแล้ว ว่าทำไมกู้ซือเฉียนจึงยืนกรานที่จะโจมตีเช่นนี้ โดยไม่ยอมเจรจาสันติภาพ
ก็ใช่ มาถึงขั้นนี้แล้ว และก็อีกเพียงนิดเดียวก็จะหาเฉียวฉีเจอแล้ว หากเจรจาสันติภาพกับพวกเขาจริงๆ ไม่แน่ว่าอีกฝ่ายจะนำคนไปซ่อนขึ้นมาทันที
เมื่อถึงเวลานั้น ต่อให้พลิกแผ่นดินหาก็อาจจะหาไม่เจอแล้วจริงๆ
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เธอก็อดที่จะถอนหายใจไม่ได้
แม้ว่าเธอจะไม่เคยเห็นเฉียวฉี แต่เป็นผู้หญิงที่สามารถทำให้ชายหนุ่มอย่างกู้ซือเฉียนหลงรักได้ คิดว่าจะต้องเป็นคนที่น่าสนใจอย่างแน่นอน
เธอก็หยิบขวดเหล้าจากบนพื้น เปิดออก แล้วชนกับกู้ซือเฉียว
แล้วกล่าวว่า“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ฉันก็จะไม่พูดอะไรมากแล้ว ขอให้คุณราบรื่นในวันพรุ่งนี้ ”
กู้ซือเฉียนมองดูเธอแวบหนึ่ง มีรอยยิ้มจางๆปรากฏที่มุมปาก แล้วชนขวดกับเธอ เงยหน้า นำเหล้าในมือดื่มหมดจนหมด
ทั้งสามคนนั่งอยู่ในสวนดอกไม้จนดึกจึงกลับห้องไป
ครั้งนี้ทั้งสองออกมา ไม่ได้พูดความจริงกับท่านปู่กับท่านย่า
เพราะว่าช่วงนี้สุขภาพของพวกเขาไม่ดี บำรุงรักษาสุขภาพอยู่ จิ่งหนิงกับลู่จิ่งเซินไม่อยากทำให้พวกเขากังวลตัวเองอีก
ดังนั้น จึงบอกกับพวกเขาว่าช่วงนี้ทั้งสองคนไปทำงานที่ต่างประเทศด้วยกัน พาลูกๆไปฝากไว้กับทางบ้านเก่า มีคนรับใช้คอยดูแล ท่านปู่กับท่านย่าเพียงแค่ช่วยดูแลเพียงครั้งคราว ไม่ต้องใช้แรงอะไรมาก
เวลานี้ กลับไปถึงห้องนอนเป็นเวลาดึกมากแล้ว
จิ่งหนิงเพราะอาบน้ำแล้วถึงไปสวนดอกไม้ ดังนั้นก็ไม่ได้นำมือถือไปด้วย
เมื่อกลับมาถึงห้อง จึงพบว่ามีสายไม่ได้รับหลายสาย และยังมีหลายข้อความในวีแชท
เธอเปิดวีแชทออก มองดูแวบหนึ่ง พบว่าอานอานส่งข้อความเสียงมา
ถามว่าเธอกำลังทำอะไร ทำไมคืนนี้ไม่โทรหาเธอ คิดถึงเธอมากอะไรประมาณนี้
จิ่งหนิงเปิดข้อความเสียงออกฟังหลายครั้ง ฟังน้ำเสียงออดอ้อนและนัวเนียของลูกแล้ว ในใจก็อดดีใจไม่ได้
เธอมองดูเวลาดึกมากแล้ว เวลานี้ ลูกๆน่าจะหลับแล้ว
ดังนั้นก็ไม่ได้ตอบกลับ กลัวว่าจะปลุกพวกเขาให้ตื่น จึงรอพรุ่งนี้เช้าตื่นมาค่อยตอบกลับ
ส่วนลู่จิ่งเซินนั้น จ้องมองท่าทีเธอกอดมือถือไว้ยิ้มอย่างพอใจ
เช้าวันรุ่งขึ้น จิ่งหนิงก็โทรไปหาอานอาน
ในโทรศัพท์ คุยกับลูกทั้งสองอยู่ครู่หนึ่ง ปลอบประโลมพวกเขา ให้พวกเขาเชื่อฟังปู่กับย่า แล้วสอนอานอานทำการบ้านสองข้อ จึงวางสายลง
ในบ้านย่อมมีครูประจำบ้านที่ดีที่สุดอยู่แล้ว แต่ว่าอานอานยังคงชอบตื๊อให้เธอสอนโจทย์ตัวเอง
บอกว่าแก้โจทย์ ที่จริงก็คือคิดถึงแม่แล้ว
ในใจจิ่งหนิงเข้าใจ และก็ไม่เปิดโปงเธอ แต่ในความเป็นจริงในใจตัวเองคาดหวังกับวันกลับมากขึ้น
ตอนนี้เธอไม่เหมือนกับสมัยอายุยังน้อย เวลานั้นอยู่ข้างนอกนานมากก็ไม่คิดถึงบ้าน
บุญคุณความแค้น เสื้อผ้าใหม่ๆที่หรูหราเป็นสิ่งที่เธอต้องการ รู้สึกว่าการอยู่บ้านตลอด จะทำให้คนเป็นสนิมแล้ว ชีวิตไร้รสชาติ
แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว
ก็ไม่รู้ว่าทำไม หลังจากที่อยู่กับลู่จิ่งเซินนานวันเข้า หรือว่าอาจจะเป็นเพราะบรรยากาศในบ้านดีเกินไป
ดังนั้นตอนนี้เธอชอบอยู่บ้าน บางครั้งลูกทั้งสองก็ไม่ต้องไปเรียน เธอก็ไม่ต้องไปทำงาน ก็จะสามารถอยู่บ้านกับพวกเขาได้ตลอดทั้งวันจริงๆ
และผ่านไปทั้งวันแล้ว ก็ยังไม่รู้สึกเบื่อเลยแม้แต่น้อย
จุดนี้ เป็นเรื่องที่เมื่อก่อนจิ่งหนิงไม่กล้าคิด
และที่อยู่ของหัวเหยาตอนนี้ก็ใกล้กับพวกเขา ไม่มีอะไรทำก็ยังมาเที่ยวหากัน ลูกๆหลายคนเล่นด้วยกัน ครึกครื้นมาก
จิ่งหนิงนั่งอยู่ตรงนั้น คิดฟุ้งซ่านไปเรื่อย
และเวลานี้ ลู่จิ่งเซินเดินมาจากข้างหลัง
“กำลังคิดอะไรอยู่?”
เขาโน้มตัวลง สองมือยันไปที่โซฟา แล้วถาม
จิ่งหนิงเงยหน้ามองดูเขาแวบหนึ่ง แล้วยิ้มกล่าวว่า“กำลังคิดถึงอานอานกับจิ้งเจ๋อ”
เธอหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า“เมื่อก่อนไม่รู้สึก ครั้งนี้ออกมานานเช่นนี้จึงพบว่า คิดถึงพวกเขาจริงๆ ”
เมื่อลู่จิ่งเซินได้ยินเช่นนั้น จึงเลิกคิ้ว
อ้อมมาจากอีกทางหนึ่ง เดินมานั่งลงข้างกายเธอ กอดเธอเข้ามาในอ้อมกอด
“รอจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จก่อน เราจะรีบกลับทันที เร็วแล้ว”
จิ่งหนิงพยักหน้า
ทั้งสองต่างพึ่งพิงกัน และเวลานี้ อีกด้านหนึ่ง
กู้ซือเฉียนได้มาถึงสถานที่เจรจาแล้ว
สองฝ่ายเจรจากัน การเลือกสถานที่ก็เป็นเรื่องสำคัญ
ต้องไม่ใช่อาณาเขตของกู้ซือเฉียน และก็ไม่ใช่อาณาเขตของกลุ่มชาวจีนด้วย
มิเช่นนั้น ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่วางใจที่จะมา และมักจะกังวลว่ามีคนซุ่มโจรตีได้
ดังนั้น สุดท้ายพวกเขาเลือกโรงน้ำชาแห่งหนึ่งในเมืองเล็กของชายแดนจุดเชื่อมต่อของทั้งสองอำนาจเป็นสถานที่เจรจา
โรงน้ำชาถูกเคลียร์ไปนานแล้ว แม้แต่บริเวณใกล้เคียงก็ไม่มีใครเข้าออก
คนของทั้งสองฝ่ายพบเจอกันตรงปากประตูแล้ว ก็เข้าไปในโรงน้ำชาด้วยกัน เดินขึ้นไปชั้นบน
ครั้งนี้ คนที่กลุ่มชาวจีนส่งมา ใครก็ไม่คิดว่า จะเป็นสวี่ฉางเปย
สวี่ฉางเปยคนนี้ กู้ซือเฉียนย่อมรู้จักอยู่แล้ว
ไม่เพียงแต่เขารู้จักอีกฝ่าย สวี่ฉางเปยก็รู้จักเขาด้วย
อย่างไรก็ตาม สงครามระหว่างกลุ่มหงส์แดงกับกลุ่มมังกรในตอนแรก ทั้งสองต่างเป็นหัวหน้าใหญ่ของทั้งสององค์กร มีการต่อสู้กันมานับไม่ถ้วน
เวลานี้ เป็นธรรมดาที่ศัตรูเจอหน้ากัน ย่อมต้องเขม่นกันเป็นพิเศษ
แต่คิดได้ว่าวันนี้มาเพื่อเจรจาสันติภาพ ดังนั้นก็ต้องปั้นใบหน้าฝืนยิ้มใส่กัน
หลังจากขึ้นไปถึงชั้นบนแล้ว ทั้งสองต่างโบกมือให้คนอื่นๆถอยออกไป ให้พวกเขาไปเฝ้าอยู่ปากประตู จากนั้นต่างพาคนสองคนเข้าไปด้วย
แต่ว่าสิ่งที่ไม่คาดคิดคือ กู้ซือเฉียนไม่ได้พาฉินเยว่คนสนิทของเขามาด้วย แม้แต่วันนี้ที่มา ก็ไม่เห็นฉินเยว่ปรากฏตัวเลย
แน่นอนว่า คนที่รู้ก็ไม่กล้าถาม
และสวี่ฉางเปยก็รู้ว่าข้างกายของกู้ซือเฉียนมีบุคคลคนนี้เหมือนกัน แต่ก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีความสำคัญกับกู้ซือเฉียนมากเท่าไหร่
ดังนั้น เขาจึงไม่สังเกตเห็นเลยว่า กู้ซือเฉียนไม่ได้พาฉินเยว่มาด้วยนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ปกติมากขนาดไหน