แม้จะไม่รู้ว่าที่กู้ซือเฉียนให้ไปตรวจสอบนั้นคืออะไร แต่ว่าในที่สุดเขาก็พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง ตอบรับครับ จากนั้นก็หันหลังออกไป
ลูกน้องของฉินเยว่ มีอยู่ทีมหนึ่งสำหรับสายสืบหาข่าวสารโดยเฉพาะ
ดังนั้น เมื่อส่งมอบหน้าที่ลงไป ไม่นาน ก็สืบได้ข่าวแล้ว
เวลาเป็นช่วงเวลาสำหรับอาหารเย็นพอดี กู้ซือเฉียนกับลู่จิ่งเซินและยังมีจิ่งหนิง ทั้งสามคนกำลังนั่งรับประทานอาหารอยู่ในห้องอาหาร
ฉินเยว่ก้าวเท้าใหญ่เดินเข้ามาจากข้างนอก เมื่อเห็นทั้งสามคนอยู่ตรงนั้น จึงชะงักไปครู่หนึ่ง ราวกับว่าไม่รู้ว่าจะพูดดีหรือไม่พูดดี
กู้ซือเฉียนรู้ว่าเขามาทำไม และก็ไม่ได้หลบหลีก สั่งว่า“พูดมาเถอะ ”
ฉินเยว่จึงพูดขึ้นว่า“มีข่าวเกี่ยวกับเรื่องที่คุณให้ผมไปทำเมื่อตอนเที่ยงวันนี้ ”
พูดพลางก็หยิบเอกสารชุดหนึ่งออกมา ใช้สองมือส่งให้เขา
“คนพวกนั้นเป็นคนของตระกูลหนาน จากการตรวจสอบ พวกเขาเคยปรากฏตัวในเมืองที่คุณเฉียวหายตัวไป แต่ว่าความเคลื่อนไหวต่อมาเราตรวจไม่เจอ เหมือนกับมีคนตั้งใจช่วยพวกเขาปิดบัง ”
แววตากู้ซือเฉียนหม่นหมอง มองดูเอกสารพวกนั้น แล้วพยักหน้า
เขาโบกมือ แล้วกล่าวว่า“ออกไปเถอะ ”
ฉินเยว่จึงหันหลังจากไป
หลังจากรอเขาจากไปแล้ว กู้ซือเฉียนก็นำเอกสารหลายฉบับนั้นโยนไปตรงหน้าจิ่งหนิงกับลู่จิ่งเซิน แล้วกล่าวว่า“ผมสงสัยว่าเรื่องครั้งนี้ จะต้องเกี่ยวข้องกับตระกูลหนาน”
ทั้งสองต่างตกใจ
ตระกูลหนาน ก่อนหน้านั้นพวกเขาย่อมเคยได้ยินอยู่แล้ว
นั่นเป็นตระกูลที่มีประวัติศาสตร์มานานนับพันปี ใหญ่และร่ำรวยกว่าตระกูลจื่อจินอีก
หากจะบอกว่าบนโลกใบนี้ มีเพียงตระกูลเดียวที่ทำให้คนไม่อาจชัดเจนว่ามีอำนาจมากเท่าไหร่ ก็คือตระกูลหนาน
ขณะที่คิดเช่นนี้ จิ่งหนิงก็นึกถึงอำนาจลึกลับที่โจมตีกลุ่มชาวจีนขึ้นมาทันที
เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า“หรือว่ากลุ่มอำนาจลึกลับที่ว่าก่อนหน้านั้น ก็คือ………”
“มีความเป็นไปได้มาก”
ลู่จิ่งเซินกล่าวเสียงเคร่งขรึม“อย่างไรก็ตามอำนาจใต้ดินทั้งโลกนี้ สรุปแล้วก็มีเพียงเท่านี้ ตัดสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ทั้งหมด เหลือเพียงหนึ่งเดียวไม่ว่าจะเหลือเชื่อแค่ไหน ก็คือคำตอบที่ถูกต้อง”
เมื่อประโยคนี้ของเขาออกมา คนทั้งหมดบนโต๊ะอาหารก็เงียบไปทันที
อารมณ์หนักหน่วงเล็กน้อย
ต้องบอกว่า หากเป็นตระกูลหนาน พวกเขายังไม่มั่นใจว่าจะสามารถแทะกระดูกชิ้นนี้ได้ในชั่วขณะนี้
อย่างไรก็ตาม เวลาในการพัฒนาการของอีกฝ่ายไม่ใช่กี่สิบร้อย นับร้อยปี แต่เป็นหนึ่งพันปีเต็มๆ
ที่สำคัญ จนถึงตอนนี้ พวกเขาก็ยังไม่ชัดเจนว่า เป้าหมายของอีกฝ่ายที่เข้าร่วมในการสู้รบครั้งนี้คืออะไร
จิ่งหนิงขมวดคิ้ว แล้วกล่าวว่า“ตามหลักแล้วน่าจะไม่ใช่ พวกเขาพัฒนามาตั้งหลายปีแล้ว หากสนใจอาณาเขตของพวกเราจริงๆ น่าจะลงมือไปนานแล้ว ทำไมต้องรอถึงวันนี้ด้วย?”
“ที่สำคัญ ฉันรู้สึกว่า การลงมือในครั้งนี้ ไม่เหมือนสไตล์การทำงานของพวกเขา”
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตระกูลหนานเป็นต้นไม้ใหญ่รากลึก แต่ไม่ปรากฏตัวต่อสาธารณชนมาโดยตลอด เรียบง่ายจนทำให้คนรู้สึกไม่ถึงความมีอยู่ของพวกเขา
ตระกูลที่ไม่ปรากฏตัวต่อสาธารณชนเช่นนี้ ทำไมถึงต้องออกมาคลุกโคลนตมในตอนนี้ด้วย
กู้ซือเฉียนกล่าวเสียงเคร่งขรึม“ไม่ว่าเป็นเพราะอะไร ตราบใดที่อะเฉียวอยู่ในมือของพวกเขา ผมก็จะต้องไปเจอสักครั้งอย่างแน่นอน”
ทั้งสองต่างตกตะลึง เงยหน้าขมวดคิ้วมองดูเขา
จิ่งหนิงกล่าวว่า“คุณจะไปหาพวกเขาหรือ?อย่างไร? จะไปเอาคนกลับมาโดยตรงหรือ? พวกเขาโง่หรือถึงจะให้คุณ”
กู้ซือเฉียนยิ้มเย็นชา
“ผมย่อมมีวิธีการของผม”
เมื่อเขาพูดเช่นนี้ จิ่งหนิงกับลู่จิ่งเซินก็ไม่รู้จะพูดอะไรอีก
ดังนี้น พวกเขาก็เริ่มทานข้าวกันขึ้นมาอย่างเงียบๆ
หลังจากทานข้าวเย็นแล้ว ต่างแยกย้ายกลับไปพักผ่อนในห้องนอนของตัวเอง
จิ่งหนิงไม่อยากจะกลับไปถึงห้องเร็วขนาดนั้น จึงให้ลู่จิ่งเซินไปเป็นเพื่อนเดินเล่นที่สวนหลังบ้าน
ตอนนั้นเองที่อานอานวิดีโอคอลมาหาเธอ เธอนั่งอยู่ใต้ชั้นวางดอกไม้ในสวนดอกไม้ รับลมเย็นไปด้วยคุยวิดีโอคอลกับอานอานไปด้วย
เด็กทั้งสองบอกว่าคิดถึงเธอ ให้เธอกลับไป
จิ่งหนิงยิ้มปลอบใจพวกเขาอยู่พักหนึ่ง แล้วลู่จิ่งเซินที่นั่งอยู่ข้างหลังก็เข้ามา กอดเอวเธอไว้ กล่าวอย่างหึงหวงว่า“ทำไมพวกเขาไม่บอกว่าคิดถึงผมบ้าง?”
จิ่งหนิงยิ้มแล้วกล่าวว่า“คุณถามพวกเขาเอง”
ลู่จิ่งเซินพึมพำเสียงเบา ประธานลู่ผู้ทระนง ย่อมไม่ไปถามเรื่องเล็กน้อยพวกนี้อยู่แล้ว ดังนั้น จึงไปนั่งอยู่ข้างๆอย่างเงียบๆ
จิ่งหนิงกับลูกๆคุยกันอยู่พักหนึ่ง หลังจากปลอบใจทั้งสองแล้ว จึงวางสายลง
หันหน้าไป เห็นลู่จิ่งเซินนั่งหน้าบูดอยู่ตรงนั้น จึงเข้าไปหาด้วยรอยยิ้ม
“โถ โตขนาดนี้แล้ว ยังน้อยใจอยู่หรือ ”
ลู่จิ่งเซินเงยหน้ามองเธอแวบหนึ่ง ทันใดนั้น ยื่นมือไป ดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอด
เขากอดเธอไว้ จั๊กจี้เธอ แล้วกล่าวว่า“ใครหึงหวง?ใครหึงหวงหรือ ?”
จิ่งหนิงหัวเราะคิกๆคักๆ เกือบหายใจไม่ทั่วท้อง หัวเราะไม่หยุดแล้วกล่าวว่า“ฉันผิดไปแล้ว”
ลู่จิ่งเซินจึงหยุดลง
กอดเธอไว้ แล้วเสร้งทำเป็นโกรธ แล้วถามว่า“ผิดตรงไหน”
จิ่งหนิงกลั้นยิ้มไว้ แล้วกล่าวว่า“ไม่ควรจะหัวเราะเยาะคุณ”
ลู่จิ่งเซินพึมพำเสียงเบา “ค่อยยังชั่ว”
ทั้งสองเล่นกันอยู่ครู่หนึ่ง จิ่งหนิงจึงลุกขึ้นนั่งอย่างหายใจหอบ แล้วกล่าวว่า“พูดเรื่องจริงจัง คุณมีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับข่าวที่กู้ซือเฉียนได้มาวันนี้”
ลู่จิ่งเซินกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า“หากว่าเป็นตระกูลหนานเข้ามายุ่ง ไม่แน่ว่าเรื่องนี้จะซับซ้อนกว่าที่เราคิด อาจจะไม่ใช่อาณาเขตกับผลประโยชน์ทั้งหมด น่าจะยังมีสิ่งของอย่างอื่น”
จิ่งหนิงพยักหน้า “ฉันก็รู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน คุณว่าตระกูลหนานพัฒนามาตั้งหลายปีแล้ว มีของดีอะไรที่พวกเขาไม่เคยเห็นบ้าง? ไม่ว่าอย่างไรก็คงไม่เพื่อผลประโยชน์จนต้องเคลื่อนไหวใหญ่ขนาดนี้ ไม่ว่าอย่างไรตลอดเวลามานี้สไตล์ของพวกเขาเรียบง่ายมั่งคงเป็นหลัก แต่ครั้งนี้กลับมีความเคลื่อนไหวใหญ่เช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็รู้สึกผิดปกติ ”
ลู่จิ่งเซินก็ไม่รู้ว่าคิดอะไรขึ้นมาได้ จู่ๆก็ถามว่า“คุณรู้ว่าหัวหน้าตระกูลของตระกูลหนานคือใคร?”
จิ่งหนิงอึ้งไป แล้วกล่าวว่า“ไม่ใช่คนที่ชื่อหนานกงยวู่ หรือ?”
ลู่จิ่งเซินส่ายหัว
เมื่อจิ่งหนิงเห็นเช่นนั้น เลิกคิ้วอย่างประหลาดใจเล็กน้อย
“หมายความว่าอย่างไร? หรือว่าภายในตระกูลหนาน ยังมีคนอื่นเป็นหัวหน้าตระกูลด้วย ?”
ลู่จิ่งเซินส่ายหัว แล้วกล่าวเสียงเคร่งขรึมว่า“ไม่ หัวหน้าตระกูลมีเพียงคนเดียว แต่แม้ว่า หนานกงยวู่จะดำรงตำแหน่งหัวหน้าตระกูลคนปัจจุบัน แต่ผมรู้สึกว่า คนที่กุมอำนาจแท้จริงภายในตระกูลหนาน ไม่ใช่เขา ”
จิ่งหนิงขมวดคิ้ว “ทำไมถึงมีความรู้สึกนี้?”
“ผมไม่รู้”
ลู่จิ่งเซินหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า “มันเป็นสัญชาตญาณอย่างหนึ่ง!ก่อนหน้านั้นผมโชคดีเคยเจอหนานกงยวู่คนนี้หนึ่งครั้ง รู้สึกว่า……ตามกำลังความสามารถของเขา น่าจะไม่ถึงขั้นทำให้ตระกูลหนานพัฒนาอย่างมั่นคงมาถึงตอนนี้ได้ และที่สำคัญเขาเป็นคนที่ชอบทำการใหญ่ และก็ไม่ใช่สไตล์การทำงานของตระกูลหนานที่ทำมาตลอด”
จิ่งหนิงยิ้มกล่าวว่า“ไม่ถูก ชอบทำการใหญ่ ตอนนี้พวกเขาลงมือโจมตีกลุ่มชาวจีนแล้ว นี่ไม่ใช่การแสดงการทำการใหญ่หรือ? ”