“ดูแล้ววันนี้ซือเฉียนมีการเตรียมการมา ช่างเถอะ เชิญเข้ามานั่งในบ้านก่อน ”
พูดพลาง ก็พาเขาเดินเข้าไปในบ้าน
ทั้งสองเข้าไปในบ้าน แล้วมีคนรับใช้ยกน้ำชามาให้
ยังไม่ได้นั่งลง ก็ได้ยินน้ำเสียงอ่อนหวาน“คุณหนาน มีแขกมาหรือ ?”
เห็นหลินเย่วเอ๋อร์ใส่ชุดกี่เพ้าสีแดงเข้ม กำลังเดินลงมาชั้นบน
ผมของเธอยุ่งเหยิงเล็กน้อย แฝงไปด้วยกลิ่นอายความขี้เกียจ เหมือนกับเพิ่งจะลุกจากเตียงไม่นาน
เมื่อเห็นคนที่ยืนอยู่ในห้องรับแขก ตะลึงไปเล็กน้อย สีหน้าเปลี่ยนไปทันที
หนานมู่หรงสายตาล้ำลึกเล็กน้อย มองดูเธอแวบหนึ่ง แล้วก็มองไปทางกู้ซือเฉียนอยากกับคิดอะไรอยู่ แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า“เยว่เอ๋อร์ คุณกู้มาหา รีบมาทักทายเร็ว ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของหลินเยว่เอ๋อร์ค้างอยู่ที่มุมปาก หยุดไปครู่หนึ่ง สีหน้าฝืนเป็นปกติ แล้วเดินเข้ามา
“คุณกู้เป็นคนงานยุ่ง ทำไมวันนี้ถึงคิดจะมาได้?”
น้ำเสียงเธอเรียบๆ แฝงไปด้วยความเยาะเย้ย
กู้ซือเฉียนไม่อยากจะสนใจเธอ มองไปทางหนานมู่หรงแล้วกล่าวเสียงเคร่งขรึมว่า“ที่ผมมาในวันนี้ มีเรื่องหนึ่งอยากจะถามคุณ”
หนานมู่หรงเลิกคิ้ว แล้วกล่าวว่า“ผมรู้แล้ว คุณถามมา ”
กู้ซือเฉียนหยิบเอกสารในอกออกมาวางไปบนโต๊ะ
นิ้วมือหนานมู่หรงที่จับแก้วไว้ชะงักไปเล็กน้อย สายตาจ้องไปที่บนเอกสารฉบับนั้น แววตาหม่นหมองลงทันที
เอกสารถูกกางออก ดังนั้น ไม่ต้องหยิบขึ้นมาเปิดดูอีก ก็เห็นรายละเอียดบนนั้นได้อย่างชัดเจนแล้ว
เห็นเพียง นั่นเป็นข้อมูลของสามคนนั้น บนนั้นเขียนประวัติภูมิหลังของบุคคลพวกนั้นอย่างละเอียด และช่วงนี้ไปที่ไหนมาบ้าง
ที่สำคัญก็คือ ข้อสรุปสุดท้ายของพวกเขา นั่นก็คือ ทั้งสามคนนี้มีความเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของเฉียวฉี
กู้ซือเฉียนกล่าวเสียงเคร่งขรึม “ผมกับคุณรู้จักกันมาตั้งหลายปี ก็จะไม่อ้อมค้อมแล้ว คุณรู้ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเฉียวฉี และก็น่าจะรู้ว่า เรื่องที่เธอหายตัวไปในครั้งนี้ คนสามคนนี้เป็นคนของพวกคุณตระกูลหนาน ผมหวังว่าหากเฉียวฉีอยู่ในมือพวกเขาจริง ยังต้องขอให้คุณคืนให้ผมเหมือนเดิม”
หนานมู่หรงเงียบไปครู่หนึ่ง
ผ่านไปไม่นาน มองดูกู้ซือเฉียน แล้วยิ้มเล็กน้อย
“ซือเฉียน ผมรู้ว่าเรื่องการหายตัวไปของเฉียวฉีมีผลกระทบต่อคุณอย่างมาก เรื่องของพวกคุณกับกลุ่มชาวจีนในช่วงนี้ผมก็ได้ยินแล้ว เพียงแต่ว่า………”
เขาชะงักไปเล็กน้อย แล้วยิ้ม“ผมเป็นนักธุรกิจ คุณเฉียวไม่เพียงเป็นคนรักของคุณ และก็เป็นเพื่อนของผมด้วย ด้วยเหตุนี้ผมจะจับเธอมาทำไม?”
“อีกอย่าง ผลการตรวจสอบของคุณ ก็เพียงแค่ว่าคนสามคนนี้เคยปรากฏตัวในสถานที่สุดท้ายที่เฉียวฉีหายตัวไป ไม่ได้เป็นหลักฐานแสดงว่าพวกเขาลักพาตัวเฉียวฉีไป ”
“พูดสิ่งที่ไม่น่าฟังนะ เวลาเดียวกันในวันนั้น มีคนมากมายที่เคยปรากฏตัวในบริเวณนั้น ทำไมคุณถึงแน่ใจว่าคนของผมจับตัวเธอไป?”
เมื่อเขาพูดประโยคนี้ออกมา ทันใดนั้นบรรยากาศเงียบขึ้นมาทันที
ในอากาศแฝงไปด้วยบรรยากาศตึงเครียดเหมือนกับชักดาบดึงธนู
ผ่านไปครู่หนึ่ง จึงได้ยินกู้ซือเฉียนกล่าวเสียงเย็นชาว่า“พูดอย่างนี้ คุณไม่ยอมรับใช่ไหม?”
หนานมู่หรงถอนหายใจเบาๆแล้วกล่าวว่า“ไม่ใช่ผมไม่ยอมรับ หากเรื่องนี้ผมทำจริงๆ ตอนนี้คุณหามาถึงบ้านแล้ว ผมไม่ยอมรับก็ไม่มีประโยชน์อะไรใช่ไหม?”
“แต่ในความเป็นจริง เรื่องนี้ผมไม่รู้จริงๆ ผมไม่เคยสั่งการแบบนี้ ดังนั้นเกี่ยวกับปัญหาเรื่องที่อยู่ของคุณเฉียว ต้องขอโทษด้วยผมอยากช่วยแต่ช่วยไม่ได้จริงๆ ”
เขาพูดจบ ก็หันหน้าไปทางอื่น ไม่มองเขาอีก
อารมณ์เย็นชาเล็กน้อย
กู้ซือเฉียนพยักหน้า
เขาลุกขึ้น
ตอนที่ทุกคนคิดว่าเขาจะหันหลังจากไป ปรากฏว่าจู่ๆเขาก็หยิบปืนจากเอวออกมา จี้ไปบนหัวของหนานมู่หรง
ทุกคนต่างตกใจหน้าซีดเผือด
ตอนนี้ในบ้านแม้จะมีเพียงพวกเขาสามคน แต่ว่าภายในและภายนอกคฤหาสน์นี้ ไม่รู้มีคนซุ่มซ่อนไว้เท่าไหร่
และในห้องรับแขกก็มีกล้องวงจรปิด อีกด้านของกล้องวงจรปิดต่อไปในห้องเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย
ดังนั้น เมื่อเขาหยิบปืนออกมา ทันใดนั้น ประตูใหญ่ก็ถูกเปิดออก เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยนับไม่ถ้วนพุ่งเข้ามา
“วางปืนลง!”
พวกเขาชี้ไปที่กู้ซือเฉียน แล้วกล่าวด้วยความโกรธ
และในเวลาเดียวกันนี้ พวกฉินเยว่ที่รออยู่ข้างนอกตลอดเวลา เมื่อเห็นสถานการณ์ไม่ปกติ ก็พุ่งเข้ามาล้อมพวกเขาไว้
บรรยากาศตึงเครียดราวกับสายเครื่องดีดสี เมื่อสัมผัสก็ระเบิดทันที
หลินเยว่เอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้างๆ ตกใจจนตะลึงงัน อ้าปากค้างจนแทบจะยัดไข่ไก่ได้หนึ่งปาก มองดูสถานการณ์ตรงหน้าที่เปลี่ยนไปด้วยสีหน้าตกใจ
สีหน้าหนานมู่หรงหมองลง
เขากล่าวเสียงเรียบว่า“ซือเฉียน นี่คุณหมายความว่าอย่างไร ?”
กู้ซือเฉียนกล่าวอย่างเย็นชา“บอกมาว่าเธออยู่ที่ไหน แล้วผมจะปล่อยคุณไปทันที”
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนหนึ่งของหนานมู่หรงตะโกนว่า“ปล่อยคุณหนาน มิเช่นนั้นเราจะยิง”
กู้ซือเฉียนใช้สายตาเย็นชากวาดมองไป คนคนนั้นถูกรัศมีของเขาทำให้ตกใจ ตอนแรกเหมือนในลำคอยังมีคำจะพูด ทันใดนั้นก็พูดไม่ออก
พวกฉินเยว่ก็เหมือนภูเขาล้อมพวกเขาจากข้างนอกอย่างแน่นๆ รอเพียงกู้ซือเฉียนสั่งการ ก็สามารถจัดการคนพวกนี้ให้ราบเรียบ
ดังนั้น ทันใดนั้นสถานการณ์ก็เปลี่ยนไป
สุดท้ายแล้ว หนานมู่หรงยกมือขึ้น ส่งสัญญาณให้ลูกน้องตัวเองเงียบ
จากนั้นมองดูกู้ซือเฉียนอย่างสงบ แล้วกล่าวว่า“ผมไม่ได้โกหกคุณ ผมไม่รู้ที่อยู่เธอจริงๆ ส่วนคนสามคนที่คุณพูด”
เขาหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า“ตระกูลหนานใหญ่ขนาดนี้ ผมเป็นเพียงคนกระจอกคนหนึ่งเท่านั้น พวกเขาสามคนแม้เคยทำงานกับลูกน้องผม แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นคนของผม หากคุณต้องการ ผมสามารถให้ตำแหน่งที่อยู่ตอนนี้ของพวกเขาสามคน คุณไปหาพวกเขาเอง ส่วนคุณเฉียว ผมไม่เคยแตะต้องเธอจริงๆ”
กู้ซือเฉียนยิ้มเย็นชา“ตกลง ในเมื่อคุณพูดเช่นนี้ ผมก็เชื่อคุณ”
เขาพูดพลาง แต่ไม่เก็บท่าทางในมือสักที
เพียงแต่ถามด้วยเสียงเคร่งขรึมว่า“งั้นผมขอถามคุณอีกครั้ง พวกเขาเป็นคนของใคร?”
หนานมู่หรงขมวดคิ้วขึ้นมา
กู้ซือเฉียนกล่าวว่า“ปกติใครเป็นคนสั่งการพวกเขา เรื่องนี้คุณน่าจะรู้ใช่ไหม?”
แววตาหนานมู่หรงคมกริบและสงบนิ่ง กล่าวเสียงเคร่งขรึมว่า“ซือเฉียน นี่คุณกำลังบังคับให้ผมทรยศตระกูลของผม”
ทันใดนั้น กู้ซือเฉียนก็หัวเราะออกมาอย่างเยาะเย้ย
“ทรยศหรือ? เมื่อกี้คุณยังบอกอยู่ว่าเรื่องการหายตัวไปของอะเฉียวไม่เกี่ยวกับพวกคุณไม่ใช่หรือ ?จู่ๆ ทำไมถึงไปเชื่อมกับเรื่องทรยศล่ะ?”
เขาพูดพลาง ก้มตัวลงเล็กน้อย จ้องมองเขาด้วยตาเขม็ง กล่าวทีละตัวทีละคำว่า“คุณวางใจได้ ขอเพียงเรื่องจริงยืนยันได้ว่าอะเฉียวไม่ได้อยู่ในมือของพวกเขา ผมจะไม่ทำให้พวกเขาลำบากใจอย่างแน่นอน กลับกัน หากถูกผมตรวจสอบได้ว่าเป็นพวกเขาจริงๆ…….. ”
เขาหัวเราะฮ่าฮ่า น้ำเสียงนั้น เหมือนเสียงภูตผีปีศาจ ทำให้คนกลัวนัก
“ผมก็จะไม่ปล่อยง่ายๆอย่างแน่นอน!”
พูดพลาง กำปืนที่อยู่บนหัวเขาแน่นๆ ตะโกนว่า“พูด! เป็นคนของใคร?”
ใบหน้าหนานมู่หรงตึงเครียด
เห็นได้ว่า เป็นเพราะคำพูดของกู้ซือเฉียนเมื่อกี้นี้ ทำให้เขาโกรธแล้ว