เธอยกมือขึ้น พร้อมกับเหยียดแขน เหยียดขาขณะเดินไปด้วย
ขณะที่เธอยืดเส้นยืดสาย เธอก็พูดว่า “ก็ดีนะ ไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษ”
จิ่งหนิงพูดขึ้นว่า “ฉันได้ยินกู้ซือเฉียนพูดว่า เมื่อคืนคุณหมอบอกว่าร่างกายของคุณยังมีฤทธิ์ยานอนหลับตกค้างอยู่ น่าจะใช้เวลาสองสามวันกว่าจะขับมันออกไปหมด”
“แบบนั้นเหรอ?” เธอคิดไปคิดมา ก่อนจะยิ้มขึ้น “อาจจะใช่แหละ แต่ฉันก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรพิเศษกว่าเดิม แค่รู้สึกง่วง แล้วก็อยากนอนตลอดเวลา”
“งั้นก็คงใช่”
จิ่งหนิงพูด ก่อนจะชะงักไป แล้วถามขึ้นว่า “ใช่สิ ฉันยังไม่ได้ถามเธอเลย ช่วงที่เธอถูกพวกมันขังไว้ พวกนั้นไม่ได้รังแกอะไรเธอใช่ไหม? เธอถูกขังไว้ในนั้นตลอดเวลาเลยเหรอ?”
ในตอนที่กู้ซือเฉียนไปช่วยเธอ เขาก็โทรมาเล่าสถานการณ์คร่าว ๆ ให้ลู่จิ่งเซินกับจิ่งหนิงฟัง
อย่างแรกคือขอให้พวกเขาช่วยเตรียมหมอที่บ้านไว้ให้ทันที ส่วนอีกอย่างคือกู้ซือเฉียนบอกพวกเขาว่า ประสบการณ์ที่พวกเขามีนั้นไม่น้อยไปกว่าตัวเอง เขากลัวว่าคนพวกนั้นอาจจะใช้วิธีการบางอย่างจัดการกับเฉียวฉี เขาอาจจะไม่ทันสังเกตเห็น แต่แค่ได้บอกพวกเขาไว้ ก็อาจจะพอเป็นหลักประกันไว้ได้บ้าง
เพราะงั้น จิ่งหนิงก็เลยได้รู้ว่าตอนนั้นเฉียวฉีถูกช่วยออกมาจากห้องแปลก ๆ
เฉียวฉีพอได้ยิน ก็ตอบกลับไปว่า “ไม่มีใครรังแกอะไรนะ แต่ฉันก็จำไม่ค่อยได้ เหมือนจะ….ไม่มีแหละ”
จิ่งหนิงเห็นท่าทีขมวดคิ้วครุ่นคิดของเธอ ก็รู้สึกแปลกใจ
“จำไม่ได้? ทำไมถึงจำไม่ได้ล่ะ?”
เฉียวฉีส่ายหน้าไปมา
“ฉันก็ไม่รู้”
เธอพูดขึ้น ราวกับอยู่ ๆ ก็รู้สึกเหมือนกับร่างกายของเธอมีอะไรไม่ถูกต้อง เธอจับไปที่หัวแล้วเขย่าเบา ๆ
“จะว่าไปแล้ว ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ตั้งแต่กลับมาก็รู้สึกตลอดเลยว่า ในหัวมันสับสนวุ่นวาย เหมือนเลอะเลือนอยู่เรื่อยเลย”
จิ่งหนิงขมวดคิ้วด้วยความเป็นห่วง
“รู้สึกไม่สบายมากรึเปล่า? นอกจากเลอะเลือนแล้ว ยังมีอาการอะไรอีกไหม?”
“อาการอื่น ๆ….ก็ไม่มีนะ”
เธอพูดขึ้น แล้วอยู่ ๆ ก็หยุดเดิน
จิ่งหนิงเองก็หยุดเดินเช่นกัน ทันใดนั้นสีหน้าของเฉียวฉีก็เปลี่ยนเป็นสีขาวซีด ก่อนที่เธอจะเอามือกุมไว้ที่หัว จากนั้นก็คุกเข่าลงไปด้วยท่าทางเจ็บปวด
จิ่งหนิงตกใจขึ้นมาทันที
และเพราะว่าตกใจ แม้แต่เชือกในมือเธอก็ปล่อยออก สุนัขทั้งสองตัวจึงวิ่งไล่กันออกไปด้านหน้าทันที
ตอนนี้เธอไม่สนใจที่จะไล่ตามสุนัขแล้ว จิ่งหนิงคุกเข่าลงอย่างร้อนรน พร้อมกับถามขึ้นว่า “เฉียวฉี เกิดอะไรขึ้น? คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
เฉียวฉีไม่ได้ตอบอะไร เธอเม้มริมฝีปากตัวเองแน่น สองมือกุมอยู่ที่หัว ใบหน้าของเธอขาวซีดไร้ร่องรอยของสีเลือด
เมื่อจิ่งหนิงเห็นดังนั้น เธอก็ยิ่งตื่นตระหนก
“เฉียวฉี คุณอย่ามาทำให้ฉันตกใจนะ คุณไม่สบายตรงไหน?”
เธอพูดขึ้น พร้อมกับควักโทรศัพท์ออกมา เพื่อโทรหากู้ซือเฉียน
แต่ยังไม่ทันที่จะได้กดโทรออก เธอก็ถูกเฉียวฉียั้งมือเอาไว้เสียก่อน
จากนั้นก็ได้ยินเสียงเธอพูดอย่างอ่อนแรงว่า “ฉันไม่เป็นไร อย่าบอกเขานะ”
จิ่งหนิงหยุดการกระทำของเธอไปชั่วขณะ พร้อมกับขมวดคิ้วมองเฉียวฉี
ผ่านไปสักพัก เฉียวฉีก็ค่อย ๆ ผ่อนคลายลง
ขณะนี้ เหงื่อเย็น ๆ แผ่กระจายอยู่เต็มหน้าผากเธอ ร่างของเธอทั้งร่างดูอ่อนแรงราวกับว่าเธอเพิ่งถูกอุ้มขึ้นมาจากน้ำ
เธอมองไปที่จิ่งหนิง ก่อนจะบอกว่า “ฉันไม่เป็นไร คุณไม่ต้องเป็นห่วง”
จิ่งหนิงยังคงขมวดคิ้วแน่น พร้อมกับค่อย ๆ ประคองเธอลุกขึ้น
“สรุปแล้วนี่มันเรื่องอะไร? เมื่อครู่คุณ….”
เธอตอบเสียงเรียบว่า “ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร ตั้งแต่เมื่อคืนวานจนถึงวันนี้ อยู่ ๆ ฉันก็มีอาการปวดหัวขึ้นมาเป็นครั้งคราว แต่ว่าเวลาปวดแต่ละครั้งมันก็ไม่ค่อยนาน แค่ต้องปล่อยให้มันค่อย ๆ คลายไปเอง แค่นี้ก็ไม่เป็นไรแล้ว”
ขณะที่พูด เฉียวฉีก็สังเกตเห็นใบหน้าที่เป็นกังวลของจิ่งหนิง เธอเลยรีบยิ้มให้จิ่งหนิงอย่างอ่อนแรง
“คุณไม่ต้องห่วงหรอก เมื่อคืนวานคุณหมอก็มาตรวจร่างกายให้ฉันแล้ว ร่างกายของฉันไม่มีอะไรผิดปกติ ฉันเดาว่าอาการปวดหัวนี้ น่าจะเป็นผลมาจากการใช้ยาเกินตั้งแต่ก่อนหน้านี้เท่านั้น พอผ่านไปสักพัก ยาถูกขับออกไปจนหมดแล้วอาการฉันก็คงจะดีขึ้น”
จิ่งหนิงไม่รู้ว่าสิ่งที่เธอพูดนั้นจริงรึเปล่า แต่เธอก็เลือกที่จะไม่บอกกู้ซือเฉียน เธอในตอนนี้จะเพิกเฉยต่อความต้องการของคนอื่นได้ยังไง
ดังนั้น จิ่งหนิงจึงพยักหน้ารับ ก่อนจะพูดขึ้นอย่างเป็นห่วงว่า “เรื่องนี้จะละเลยไม่ได้ ฉันว่าคุณขอให้คุณหมอมาตรวจให้อีกรอบดีกว่าไหม?”
เฉียวฉีคิดไปคิดมา แล้วตอบว่า “ได้ งั้นตอนบ่ายค่อยเรียกคุณหมอมาตรวจ”
พอเห็นเธอรับปาก จิ่งหนิงถึงจะวางใจได้
ทั้งสองคนค่อย ๆ เดินต่อไปข้างหน้าอีกครั้ง
พอเดินรอบสอนดอกไม้ไปได้สักพัก สองสาวจากที่ไม่ค่อยคุ้นเคยกัน ตอนนี้ทั้งคู่สนิทสนมกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
มิตรภาพระหว่างหญิงสาว มักจะรวดเร็วกว่ามิตรภาพระหว่างชายหนุ่มเสมอ ในช่วงเวลาสั้น ๆ เพียงไม่กี่ชั่วโมง ทั้งคู่ก็ดูเหมือนเพื่อนสนิทที่พร้อมจะคุยกันได้ทุกเรื่อง
อันที่จริง อาจเป็นเพราะทั้งสองมีบุคลิกที่คล้ายกันด้วย ซึ่งเป็นคนประเภทที่เห็นอะไรก็พูดไปอย่างนั้น ทั้งตรงไปตรงมาแล้วก็ไม่โอ้อวด
ดังนั้น ถึงแม้พวกเขาจะเพิ่งรู้จักกัน แต่เวลาที่อยู่ด้วยกันกลับเหมือนได้เจอเพื่อนเก่าที่ไม่ได้พบกันนาน
พอถึงตอนที่ทานข้าวกลางวัน ทั้งคู่ก็อยู่ด้วยกันตามปกติ
กู้ซือเฉียนกับลู่จิ่งเซินสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดีกว่าก่อนหน้านี้มาก พวกเขาจึงพากันอดยิ้มไม่ได้
หลังจากทานข้าวเสร็จ จิ่งหนิงที่เคยชินกับการนอนกลางวัน ก็ดึงลู่จิ่งเซินกลับห้องทันที
ส่วนเฉียวฉีที่ก่อนหน้านี้นอนไปเยอะแล้ว ตอนนี้เธอเลยดูมีชีวิตชีวาขึ้น ทำยังไงก็นอนไม่หลับ
พอดีกับที่ช่วงนี้เธอไม่ค่อยรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในปราสาทสักเท่าไร ก็เลยขอให้กู้ซือเฉียนเข้ามาเล่าให้เธอฟังหน่อย
เมื่อเช้าวันนี้ตอนที่เธอตื่นขึ้นมา จิ่งหนิงเข้ามาเล่าให้เธอฟังถึงเรื่องที่เกิดขึ้นแค่คร่าว ๆ เท่านั้น ส่วนรายละเอียดต่าง ๆ เธอก็ยังไม่รู้
ดังนั้น เธอจะต้องถามเขาให้ชัดเจน
เดิมทีกู้ซือเฉียนก็ไม่ค่อยอยากจะพูด แต่พอเห็นเธอตั้งมั่นแล้วว่าจะฟัง เขาก็เลยทำได้แค่ตามเข้ามาอย่างจนปัญญา
เขาไม่มีอะไรต้องปิดบังเธออยู่แล้ว เพราะทั้งคู่เติบโตมาด้วยกัน ทั้งยังรู้จักนิสัยใจคอของกันดีเกินไป ดังนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงความไม่สบายใจแล้วก็ความเข้าใจผิดมากมายที่ไม่จำเป็น
หลาย ๆ เรื่อง ถ้าพูดออกมายังไงก็ดีกว่าไม่พูด เพราะสุดท้ายแล้ว ถ้าพูดออกมาอีกฝ่ายก็อาจจะแค่กลัวสิ่งที่จะเกิดหลังจากนั้น แต่ถ้าไม่พูดอะไรเลย อีกฝ่ายก็จะจะคิดแล้วก็เป็นกังวลตลอดเวลา จนสุดท้ายมันอาจจะก่อให้เกิดการเข้าใจผิดกันได้
เขาเล่าเรื่องออกมาด้วยท่าทีนิ่งสงบ ส่วนเฉียวฉีที่อยู่อีกฝั่งก็นั่งฟังด้วยความสงบเช่นกัน
เธอเติมชาให้เขาบ้างบางครั้ง ก่อนจะรินชาให้ตัวเองด้วย ซึ่งก็ใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมงกว่าเขาจะเล่าเรื่องทุกอย่างเสร็จ
กู้ซือเฉียนขมวดคิ้วมองเธอ พร้อมกับพูดว่า “คร่าว ๆ ก็ประมาณนี้ล่ะ ก่อนหน้านี้คุณยังไม่กลับมา พวกเราก็ทั้งห่วงหน้าพะวงหลัง ตอนนี้คุณกลับมาแล้ว สถานการณ์ต่าง ๆ ก็ชัดเจนขึ้น คุณไม่ต้องห่วงนะ ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มชาวจีนหรือตระกูลหนาน ใครก็ตามที่กล้ามารังแกคุณ ผมจะเอาคืนพวกเขาทีละคน จะไม่มีทางปล่อยพวกมันไปง่าย ๆ แน่”
เธอมองไปยังชายหนุ่มกับท่าทางที่ให้คำมั่นต่อตัวเอง ให้ความรู้สึกเหมือนกับเห็นภาพในอดีตที่ผ่านมานาน ตอนเธอยังเป็นเด็กเธอถูกรังแกอยู่ข้างถนน ก่อนที่จะมีเด็กผู้ชายคนหนึ่งพุ่งเข้ามาผลักอกอีกฝ่ายพร้อมกับให้คำมั่นว่าจะเอาคืนที่คนที่รังแกเธอ
เธออดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา ในใจรู้สึกอบอุ่นอย่างพูดไม่ถูก
“ฉันรู้ แต่เรื่องที่เกิดครั้งนี้ มันกลายเป็นเรื่องใหญ่เกินไป ฉันรู้สึกเป็นห่วงนิดหน่อย……”
กู้ซือเฉียนเอื้อมมือมากุมมือเธอไว้