“ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง เป้าหมายของพวกมันไม่ใช่คุณแล้ว แต่เป็นกลุ่มมังกรที่อยู่ข้างหลังคุณต่างหาก เหมือนกับก่อนหน้านี้ ที่พวกมันลงมือกับจิ่งหนิง ซึ่งเป้าหมายจริง ๆ ก็ไม่ใช่จิ่งหนิง แต่เป็นตระกูลลู่และตระกูลจื่อจินที่อยู่ข้างหลังเธอ”
“อะเฉียว ผมเคยคิดว่า ผมใช้ชีวิตมาจนถึงอายุปูนนี้ ผ่านอะไรมาหลายอย่าง ผมเจอกับการต่อสู้มามากมายจนแทบจะไม่มีจุดอ่อนอะไรเหลือแล้ว แต่วันนี้ผมเพิ่งจะเข้าใจ ว่าคุณคือจุดอ่อนของผม ดังนั้น เพื่อตัวผมเอง จากนี้ไปคุณรับปากได้ไหมว่าจะดูแลตัวเองดี ๆ จะไม่ทำให้ตัวเองต้องตกอยู่ในอันตรายอีก ตกลงไหม?”
เฉียวฉีเงยหน้าขึ้น พร้อมกับมองเขาอย่างลึกซึ้ง
เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นแววตาอันอ่อนโยนจากชายหนุ่ม
เธอรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างติดอยู่ในหัว แล้วก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร หัวใจของเธอถึงได้เต้นแรงอย่างอธิบายไม่ถูก
เธอยื่นมือออกไป ลูบแก้มที่ซีดเผือดเล็กน้อยเพราะช่วงนี้เขาต้องวิ่งวุ่นไปทั่วแถมยังต้องทำงานหนักอีก ก่อนที่เธอจะตอบว่า “ตกลง”
กู้ซือเฉียนจึงยิ้มออกมาอย่างวางใจ
ทันใดนั้นเฉียวฉีก็เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เธอรีบพูดขึ้นนอย่างร้อนรนว่า “ใช่แล้ว ฉันมีบางอย่างต้องบอกคุณ”
“อะไรเหรอ?”
“เสี่ยวเยว่เป็นคนของ กลุ่มชาวจีนก่อนหน้านี้ที่ฉันต้องตกไปอยู่ในกำมือของพวกเขา ก็เป็นเพราะการคาดการณ์ของเธอ”
กู้ซือเฉียนเลิกคิ้วก่อนจะตอบว่า “ผมรู้แล้ว”
เฉียวฉีถูกลักพาตัวไป เรื่องใหญ่ขนาดนี้ เขาจะไม่สืบสาวราวเรื่องให้ละเอียดชัดเจนได้ยังไง?
เพราะงั้น หลังจากที่เธอหายตัวไปได้สองสามวัน เขาก็สืบพบว่าตัวตนของเสี่ยวเยว่นั้นถูกปลอมแปลงมา ชื่อจริง ๆ ของเธอคือ เยว่หลิง ซึ่งเป็นสายที่ กลุ่มชาวจีนส่งเข้ามาในปราสาท
พอเห็นว่าเขารู้แล้ว เธอก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
ก่อนจะพูดอย่างเป็นกังวลอีกว่า “คนอย่างเสี่ยวเยว่ที่อยู่ในปราสาทมาตั้งหลายปียังเป็นสายของพวกเขาได้ เราไม่รู้เลยว่าจริง ๆ แล้วที่นี่จะมีคนของพวกเขาอีกสักเท่าไร กู้ซือเฉียนฉันคิดว่าคุณควรตรวจสอบให้ละเอียดอีกรอบนะ”
กู้ซือเฉียนพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “ทำไม? กลัวเหรอ?”
เฉียวฉีพยักหน้า
ชายหนุ่มชะงักไป
เมื่อก่อน หญิงสาวคนนี้เป็นคนที่แข็งแกร่งขนาดไหน? ถึงขนาดต่อให้มีมีดมาจ่อที่คอเธอยังไม่สะทกสะท้านเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการที่เธอจะยอมรับว่าตัวเองกลัว
แต่ตอนนี้ เธอกลับยอมรับออกมาอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด ซึ่งมันแทงใจกู้ซือเฉียนเต็ม ๆ
เขาตอบเธอด้วยสีหน้าจริงจังว่า “คุณวางใจเถอะ มีผมอยู่ พวกมันทำอะไรคุณไม่ได้หรอก”
แต่ทว่า เฉียวฉีกลับส่ายหน้าเบา ๆ
“ฉันไม่ได้เป็นห่วงตัวเอง ฉันเป็นห่วงคุณ”
ขณะที่เธอพูด เธอก็กุมมือเขาพร้อมกับหลุบตาลง “คนที่ใช้ชีวิตโดยที่มีปลายมีดจ่อคออย่างพวกเรา ไม่รู้ว่าวันไหนจะได้เจอกับอันตรายบ้าง ซึ่งปกติรอบตัวคุณก็จะถูกรายล้อมไปด้วยคนที่คุณไว้ใจหรือภักดีต่อคุณ แต่ฉันก็ยังเป็นห่วง ถ้าหากในกลุ่มคนเหล่านั้นมีคนที่เป็นสายลับหรือเป็นศัตรูล่ะ?”
“เหมือนกับครั้งก่อน ที่คุณเดินทางไปทำธุรกิจที่เมืองข้าง ๆ แล้วกลางดึกก็มีคนเข้ามาวางระเบิดในห้องคุณ ครั้งนั้นถือว่าคุณโชคดีที่หลบได้ทัน แต่ถ้าคุณหลบไม่ทันล่ะ? กู้ซือเฉียนฉันนึกภาพไม่ออกจริง ๆ ว่าผลมันจะออกมาเป็นยังไง”
พอเธอพูดแบบนี้ คิ้วของกู้ซือเฉียนก็ค่อย ๆ ผ่อนลงอย่างเคร่งขรึม
คำพูดของเฉียวฉีได้เตือนสติเขาอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้หลังจากที่เกิดเรื่องขึ้น เขาก็ได้ออกคำสั่งให้ ตรวจสอบคนในปราสาททุกคน แต่ตอนนั้นก็เป็นเพียงการตรวจสอบแบบผ่าน ๆ
เพราะถึงยังไงตอนนั้นก็มีเรื่องที่ต้องจัดการมากมาย เลยไม่สามารถตามเรื่องทั้งหมดได้ในคราวเดียว
แต่ตอนนี้ อีกไม่นาน กลุ่มชาวจีนก็จะถูกกำจัดออกไปแล้ว ถึงตอนนั้นก็จะมีคนอีกจำนวนมากที่สนใจเข้าร่วมกลุ่มมังกร ปราสาทแห่งนี้ก็จะต้องส่งคนมาประจำการเพิ่มขึ้น
ส่วนเรื่องรายละเอียดแล้วก็เบื้องหลังของพวกเขาเหล่านี้คงต้องตรวจสอบกันอย่างละเอียดอีกที
ดังนั้น เขาจึงพยักหน้ารับ
“ตกลง ผมเข้าใจแล้ว ”
พอเฉียวฉีเห็นเขาฟังความคิดของเธอ เธอถึงจะวางใจลงได้
ทั้งสองคนพูดคุยกันอยู่พักหนึ่ง ผ่านไปไม่นาน ลุงโอก็ยกยาเข้ามาให้เธอ
เนื่องจากก่อนหน้านี้เคยมีคนวางยาพิษในอาหารของเฉียวฉี ดังนั้นตอนนี้ ทั้งอาหารและยาของเธอทั้งหมด จึงถูกควบคุมด้วยตัวลุงโอเอง
ลุงโอเป็นคนที่ดูแลกู้ซือเฉียนมาตั้งแต่เด็ก เพราะฉะนั้นจึงเชื่อถือได้แน่นอน
เฉียวฉีดื่มยาเสร็จก็รู้สึกง่วงขึ้นมานิดหน่อย จากนั้นเธอจึงหลับไปอีกรอบ
รอจนเธอหลับสนิท กู้ซือเฉียนถึงจะเดินออกจากห้องไป
เขามองไปที่ลุงโอพร้อมกับสั่งการว่า “ถ่ายทอดคำสั่งลงไป ให้ตรวจสอบคนที่ยังเหลืออยู่ในปราสาททุกคนอีกครั้ง เรื่องนี้จัดการเงียบ ๆ อย่าเพิ่งแหวกหญ้าให้งูตื่น”
ลุงโอชะงัก พร้อมกับมองเขาอย่างประหลาดใจ
แต่ไม่นานเขาก็เข้าใจ ก่อนจะพยักหน้ารับอย่างร้อนรน “ครับ”
รอจนเขาจากไป กู้ซือเฉียนจึงเดินกลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป
เศรษฐกิจของ กลุ่มชาวจีนพังทลายลง อาณาเขตทั้งหมดถูกยึดครอง แม้กระทั่งสำนักงานใหญ่ก็ถูกนำโดยกู้ซือเฉียน
ที่นั่น เขาเห็นผู้อาวุโสหลายคนที่เคยอยู่ในกลุ่มหงส์แดงและกลุ่มมังกรมาก่อน
ผ่านไปหลายปี ก็ได้กลับมาพบกันอีกครั้ง แถมยังเป็นอีกฉากหนึ่ง
อย่างไรก็ตามกู้ซือเฉียนเมื่อสี่ปีก่อนไม่เคยใจอ่อนอยู่แล้ว ส่วนกู้ซือเฉียนในสี่ปีต่อมาก็ยิ่งใจแข็งมากกว่าเดิมอีก
แค่เพราะว่าสี่ปีที่แล้ว ยังมีเฉียวฉีออกหน้าขอร้องแทนพวกเขา แต่สี่ปีต่อมา พอเฉียวฉีรู้ข่าว เธอก็บอกกับเขาอย่างเฉยเมยว่า พี่น้องของเธอเสียชีวิตไปนานแล้ว คนเหล่านี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเธอทั้งนั้น
เธอไม่พูดช่วยเหลือพวกเขาอีกแม้แต่ประโยคเดียว
ดังนั้น พวกสมาชิกระดับสูงซึ่งเดิมทีเคยอยู่ในกลุ่มมังกรและกลุ่มหงส์แดง แล้วได้ขายตัวเองให้กับ กลุ่มชาวจีนเพราะคิดว่าพวกเขาจะได้มีอนาคตที่สดใส
ทุกวันนี้ ได้แต่วกไปวนมา สุดท้ายก็หนีไม่พ้นจุดจบแบบนี้อยู่ดี ทั้งหมดทุกคนต่างตกอยู่ในกำมือของกู้ซือเฉียน
ส่วนเฉียวฉีเธอไม่ได้เข้าร่วมการเคลื่อนไหวในครั้งนี้ เพราะงั้น เธอเลยไม่รู้ว่ากู้ซือเฉียนใช้วิธีใดในการจัดการกับคนเหล่านั้น
เธอเองก็ไม่อยากถาม เพราะถึงยังไงคนพวกนั้นก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเธอ
หลังจากการล่มสลายของ กลุ่มชาวจีนกลุ่มอำนาจของเขาก็ถูกแบ่งไปโดยหลายกลุ่ม
หลังจากการเคลื่อนไหวของกลุ่มมังกรในครั้งนี้ ก็เหมือนกับได้เติมพลังพอดี ทำให้พวกเขากลับมามีพลังพอที่จะคานอำนาจทั้งหมดได้อีกครั้ง
ส่วนตระกูลจิ้นก็ยังคงอยู่ในประเทศเอฟ พวกเขาสร้างรากฐานอยู่ที่นั่น แค่อาณาเขตที่ตรงนั้นก็เพียงพอสำหรับพวกเขาแล้ว ดังนั้น นอกจากจะยึดกองกำลังของ กลุ่มชาวจีนที่อยู่ใกล้เคียงแล้ว พวกเขาไม่ได้มีความคิดที่จะขยายอำนาจออกไปอีก
ด้านตระกูลลู่เดิมทีก็เริ่มมาจากวงการธุรกิจ ผ่านมาหลายปี ก็ไม่ค่อยได้มีส่วนร่วมกับกลุ่มวงการใต้ดินสักเท่าไร
ดังนั้น หลายสิ่งหลายอย่างที่อยู่เบื้องหน้าของธุรกิจ ก็ถูกปล่อยให้ลู่จิ่งเซินจัดการ
ทางด้านตระกูลจื่อจิน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย
หลังจากที่จูเก่อเฟิงรู้ข่าวว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับจิ่งหนิงในตอนแรกเป็นฝีมือของ กลุ่มชาวจีนเขาก็เกลียดพวกนั้นเข้ากระดูกดำเลยทีเดียว ซึ่งเขาก็ตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าไม่ช้าก็เร็วจะต้องกำจัดพวกนั้นให้ได้
เพราะสุดท้ายแล้ว ก็ไม่ง่ายเลยที่เขาจะหาจิ่งหนิงซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องเจอ จะให้เขาทนเห็นเธอถูกรังแกได้ยังไง?
ดังนั้น เรื่องการแบ่งผลประโยชน์ในครั้งนี้ เขาก็ไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไร กลับรอให้พวกเขาแบ่งกันจนเสร็จ จากนั้นตัวเองก็ค่อยเอาส่วนที่เหลือไป
แต่ที่แปลกก็คือ ก่อนหน้านี้พวกเขาคิดมาตลอดว่า ที่ตระกูลหนานลงมือ คงเป็นเพราะผลประโยชน์เช่นกัน
แต่ในตอนที่แบ่งผล กลับไม่เห็นตระกูลหนานโผล่ออกมาเลย
ในจุดนี้ ไม่ใช่แค่ลู่จิ่งเซินกับกู้ซือเฉียนที่ไม่เข้าใจ แม้แต่คนที่เจ้าอุบายอย่างจูเก่อเฟิงเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน
แต่ในขณะเดียวกัน ณ คฤหาสน์อันงดงามราวกับภาพวาดที่ตั้งอยู่บนเกาะ
ชายหนุ่มผู้สง่างามนอนเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้เอนกาย เสียงเคาะเป็นจังหวะดังมาจากมือของเขา จากนั้นเขาก็หรี่ตาลงเล็กน้อย พลางขยับพัดในมือเบา ๆ