พูดแล้วก็ยื่นมือออกไปและเอนไปข้างหน้าทีละนิด
ลู่จิ่งเซินเห็นแล้วยกมุมปากยิ้มและยืนกอดอกอยู่ตรงนั้นมองดูพวกเขาเล่นกัน
ครั้งนี้ไม่รู้ว่าจิ้งเจ๋อน้อยฝึกจนเก่งแล้วหรือถูกพี่สาวของเขาสอนมาดี จึงไม่มีเสียงสักแอะ
จิ่งหนิงได้แต่คลำไปเรื่อย ๆ ค้นหาและพูดไปด้วย “อานอาน จิ้งเจ๋อ พวกลูกอยู่ไหน? แมวเหมียวจะจับพวกหนูแล้วนะ หลบเร็ว”
เด็กน้อยทั้งสองหลบอยู่มุมหนึ่ง อานอานใช้มือปิดปากของจิ้งเจ๋อไว้ ยิ้มเหลือบไปมองเธอและเดินไปที่ประตูทีละนิด
ลู่จิ่งเซินหรี่ตาลง
ในระหว่างที่จิ่งหนิงกำลังใช้ความคิดว่าพวกเขาจะไปหลบที่ไหนอยู่นั้น
ทันใดนั้นปลายนิ้วก็แตะไปโดนขอบเสื้อและตาก็เป็นประกาย
“ฮ่า แม่จับพวกหนูได้แล้ว!”
เธอคว้าเสื้อไว้แล้วเหยียดมืออีกข้างไปจับข้อมือของอีกฝ่าย
เพียงแต่วินาทีนั้นเธอก็รู้สึกตัวว่านั่นไม่ใช่ข้อมือของเด็ก
ในขณะที่กำลังสงสัยก็ถูกมือของอีกฝ่ายถูกดึงไว้ จากนั้นโอบเอวแน่น และคนคนนั้นก็ถูกจับและกดเข้าไปในอ้อมแขนของอีกฝ่าย
จิ่งหนิงตกใจมาก
จึงรีบแกะที่ปิดตาออก แสงสว่างก็สาดเข้ามาสู่การมองเห็นด้วยใบหน้าที่อ่อนโยนและหล่อเหลาของชายผู้นั้น
อานอานตบมือและยิ้มชอบใจอยู่ด้านหลัง: “โอ้ๆ ๆ หม่ามี๊จับแด๊ดดี้ได้แล้วๆ!”
จิ้งเจ๋อน้อยซึ่งไม่รู้ว่าเธอหมายถึงอะไร และยิ่งไม่รู้ว่าทำไม หม่ามี๊ที่เห็นอยู่ชัดๆ ว่าควรจะจับตัวเขากับพี่สาวกลับจับตัวแด๊ดดี้ไม่ยอมปล่อยแถมยังกอดกันกลม
แต่ในเมื่อพี่สาวของเขากำลังตบมือ เช่นนั้นเขาก็จะทำตามแล้วกัน
ดังนั้นเขาจึงตบมือและหัวเราะงงๆ ในขณะที่ตบมือ
จิ่งหนิงหน้าแดงเล็กน้อยและผลักเขาแล้วพูดฮัมเบาๆ “ทำอะไรน่ะ? ปล่อยนะคะ!”
ลู่จิ่งเซินยกริมฝีปากและยิ้มอย่างแผ่วเบา “จับฉันได้แล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไมต้องปล่อยด้วยล่ะ?”
จิ่งหนิงรู้ว่าผู้ชายคนนี้จงใจทำเรื่องมิดีมิร้าย จึงเลิกตาโตใส่เขาและกระซิบเตือนเบาๆ “อย่าทำอะไรเหลวไหล เด็กๆ ยังอยู่นะคะ”
แน่นอนว่าลู่จิ่งเซินไม่มีทางทำเรื่องเหลวไหลต่อหน้าลูกๆ
ความจริงแล้ว เพียงแค่เขาเห็นภาพที่แสนอบอุ่นตรงหน้าเมื่อครู่ ก็ทำให้เขารู้สึกได้และมันก็ยิ่งอ่อนโยนขึ้น
เขาปล่อยเอวของจิ่งหนิงและรับผ้าปิดตาจากมือเธอไป
“คนแพ้จะต้องเป็นแมวเหมียวใช่ไหมนะ?”
จิ่งหนิงอึ้งไปยังไม่ทันที่เธอจะรู้ตัวอานอานก็ตอบแล้ว “ใช่ค่ะ แด๊ดดี้ถูกจับแล้ว แด๊ดดี้เป็น!”
ลู่จิ่งเซินยิ้ม “ได้ แด๊ดดี้เเป็น”
เขาพูดและใช้ผ้าปิดตาโพกศีรษะตัวเอง
จิ่งหนิงเห็นดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอบอุ่นใจและถอยหลังไปก้าวหนึ่งและพูด: “ในเมื่อจะเล่นก็ห้ามโกงนะคะ”
พูดจบก็ไปแอบกับลูกๆ
ครอบครัวสี่คนมีช่วงเวลาที่ดี
ในขณะเดียวกัน อีกด้าน
ณ เมืองหลิน ที่อยู่ห่างออกไป
หลังจากกู้ซือเฉียนไปส่งลู่จิ่งเซินและกลุ่มเพื่อนแล้ว เขาได้จัดการตั้งค่าความปลอดภัยในปราสาทใหม่ แม้ว่าตอนนี้จะเคลียร์เรื่องกลุ่มชาวจีนแล้ว แต่ก็ยังมีกองกำลังเล็ก ๆ บางส่วนกระจัดกระจายอยู่ด้านนอก
แม้จะมีความเป็นไปได้สูงที่พวกเขาจะไม่ทำงานให้กับองค์กรที่ล่มสลาย แต่ในโลกนี้พวกเขาไม่กลัวเรื่องที่แน่นอนแต่กลัวเรื่องอะไรที่คาดไม่ถึง
เมื่อก่อนเขาเป็นคนโสดตัวคนเดียวย่อมไม่มีอะไรต้องกลัว แต่ตอนนี้มีเฉียวฉี สำหรับเธอ เขาต้องทำให้การรักษาความปลอดภัยในปราสาทมีเสถียรภาพมากขึ้นเล็กน้อย
เฉียวฉีที่ถูกเขาจัดแจงแบบนี้จึงไม่มีความคิดเห็นอะไรอีก
ในตอนนี้กู้ซือเฉินได้ขอเธอแต่งงานแล้ว ตอนนี้เธอไม่ใช่แขกภายนอกผู้มาอาศัยอยู่ในปราสาทนี้เหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป แต่ตอนนี้เธอเป็นนายหญิงของที่นี่แล้ว
ดังนั้นทัศนคติของเหล่าคนงานที่มีต่อเธอย่อมให้ความเคารพเป็นธรรมดา
ส่วนลุงโอนอกจากจะเคารพเธอแล้วยังสนิทสนมขึ้นไปอีกขั้นด้วย
ในตอนบ่าย เขานำข้อมูลชุดเจ้าสาวจำนวนมากมาให้เฉียวฉีแล้วยิ้มและพูด “คุณชายบอกว่าให้คุณเลือกแบบชุดเจ้าสาว ดูว่ามีแบบที่ถูกใจหรือไม่ ถ้าหากไม่มี ผมจะหามาเพิ่มอีก หรือจะให้ดีไซเนอร์มาออกแบบให้ก็ได้”
จนถึงตอนนี้ เฉียวฉียังคงกระอักกระอ่วนเล็กน้อยเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนั้น ราวกับว่าเธอกำลังฝันไป
เธอพยักหน้า “ได้ค่ะ ฉันรู้แล้ว เดี๋ยวฉันจะดูนะคะ”
ลุงโอจึงยิ้มขึ้นแล้วจากไป
หลังจากเขาออกไปแล้ว เธอก็ยื่นมือออกไปพลิกภาพดู
ก็พบว่าภาพในนั้นเป็นผลงานการออกแบบชุดแต่งงานจากดีไซเนอร์ระดับโลกทั้งนั้น มีแบบมากมายและสวยทุกแบบ
เธอกำนิ้วแน่นและลังเลเล็กน้อย
และไม่รู้ว่าเพราะอะไร เมื่อคิดถึงงานต่งงานที่กำลังจะถึง ก็รู้สึกกระวนกระวายในใจ
เธอเคยได้ยินมาว่าเจ้าสาวที่กำลังจะแต่งงานมักจะมีความวิตกกังวลอยู่เสมอในช่วงก่อนแต่งงาน ความคิดนั้น เรียกว่าความวิตกกังวลก่อนแต่งงาน
เธอคิดเอาเองว่าตนเองกับกู้ซือเฉียนนั้นผ่านอะไรด้วยกันมาเยอะขนาดนี้ และก้าวมาถึงจุดนี้ ตนคงไม่มีความรู้สึกแบบนี้แล้ว
แต่คิดไม่ถึง…
เธออดที่ส่ายหัวและยิ้มไม่ได้
ในตอนนี้เอง กู้ซือเฉียนเดินเข้ามาจากด้านนอก
“ลุงโอเอาของมาส่งให้รึยัง?”
เฉียวฉีเงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วยิ้มและพูด: “ส่งมาแล้ว ฉันกำลังดูอยู่ คุณเองจะมาดูด้วยหน่อยไหม?”
กู้ซือเฉียนพยักหน้าแล้วเดินเข้ามา เอนตัวพิงพนักพิงเก้าอี้ของเธอ ไขว้หลังด้วยมือข้างหนึ่ง เกือบจะพาเธอเข้ามาในระยะของเขา มองดูอัลบั้มภาพตรงหน้าเธอและพูด: “แบบนี้เธอไม่ชอบเหรอ?”
เฉียวฉีส่งเสียง “อือ” และสับสน “ชอบก็ชอบนะ แต่เพราะชอบมากก็เลยรู้สึกว่าสวยไปหมดทุกชุด เลยไม่รู้จะเลือกยังไง”
กู้ซือเฉียนยิ้มเล็กน้อยและลูบหัวเธออย่างรักใคร่
“ไม่เป็นไร ค่อยๆ เลือก ตอนแรกคิดว่าจะสั่งตัด แต่เพราะเวลากระชั้นเกินไป กลัวว่าสั่งตัดแล้วจะไม่ดีขนาดนั้น ดังนั้นเลือกจากที่มีอยู่แล้วดีกว่า”
เฉียวฉีแหงนหน้ามองเข้าและสังเกตเห็นการสายตาที่รักใคร่ของชายผู้นั้น เพียงรู้สึกว่าหัวใจของเขาหวานราวกับน้ำผึ้ง
เธอยิ้มแล้วพูด: “แบบนี้ก็ดีมากแล้ว คุณก็รู้ว่าฉันไม่ได้สนเรื่องแบบแผนอะไร”
กู้ซือเฉียนยิ้มและพูด: “ต่อให้ไม่สน แต่เรื่องที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในชีวิต ก็ต้องใส่ใจให้มาก”
ในเมื่อเขาพูดแบบนี้ เฉียวฉีย่อมไม่สามารถจะโต้แย้งอะไรได้และตั้งใจดู
เมื่อดูจนหมดก็เลือกชุดที่เธอชอบที่สุดชุดหนึ่ง
กู้ซือเฉียนดูชุดนั้นแล้วพยักหน้าแล้วส่งให้ลุงโอไปจัดการ
หลังจากลุงโอออกไปแล้ว เขาก็ถามขึ้นอีก: “เธออยากจัดงานแต่งงานที่ไหน?”
เฉียวฉีพูด: “ได้หมด ฉันไม่มีคำขออะไร”
กู้ซือเฉียนเห็นดังนั้นแล้วก็ถอนใจ
เขากุมมือเธอแล้วพูดอย่างเหลืออด: “คุณเฉียวครับ คุณช่วยรู้สึกว่าตัวเองเป็นเจ้าสาวได้ไหม บนโลกนี้มีเจ้าสาวที่ไหนที่ไม่เลือกอะไรสักอย่างแบบเธอบ้าง? ที่ไหนก็ได้อะไรกัน”
เฉียวฉีเห็นดังนั้นจึงทนไม่ไหวแล้ว “หึ” หัวเราะออกมา
เฉียวฉีทำตาโตใส่เขา “คุณหัดพูดจากะล่อนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
กู้ซือเฉียนส่งเสียงออกมาเบาๆ “ฉันเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพียงแต่ว่าเมื่อก่อนเธอไม่เปิดโอกาสให้ฉันเลย”