ศิษยาภิบาลพูดเสียงดังอีกครั้ง “เจ้าบ่าว คุณสามารถจุมพิตเจ้าสาวได้”
แต่สุดท้ายบรรยากาศก็ถูกทำลายไปแล้ว ทั้งสองคนที่จ้องหน้ากันในตอนนี้ต่างรู้สึกหนักใจและจะมีแก่ใจทำเรื่องพวกนี้ที่ไหนกัน?
กู้ซือเฉียนเองก็ดูออกว่าเธอไม่มีแก่ใจแล้ว ดังนั้นในท้ายที่สุด เขาก็แค่บรรจงจูบเธอที่หน้าผากเท่านั้น ซึ่งถือเป็นพิธีการ
หลังจากพิธีเสร็จก็ถีงเวลาของงานเลี้ยง
เฉียวฉีจะต้องเปลี่ยนชุด ดังนั้นกู้ซือเฉียนจึงกลับไปที่โรงแรมเป็นเพื่อนเธอ
แน่นอนว่าเธอจะต้องเอาของขวัญที่บรรดาแขกให้มากลับไปด้วย
ต่อให้ไม่ชอบหนานมู่หรง แต่ต่อหน้าแขกเหรื่อมากมายแบบนี้ จะให้หักหน้าคนอื่นโดยตรงแบบนี้
เพียงแต่ในตอนที่เฉียวฉียื่นมือไปหยิบกล่องของขวัญนั้นกลับรู้สึกวูบและสั่น
กู้ซือเฉียนหูตาไว้และพยุงเธอไว้ “เป็นอะไร?”
ผ่านไปไม่กี่วินาทีจึงได้สติและส่ายหน้า
“ไม่เป็นไรค่ะ”
กู้ซือเฉียนขมวดคิ้ว
เมื่อเห็นเธอมีสีหน้าซีดขาวจึงพูดด้วยความเป็นห่วง “เธอไม่สบายรึเปล่า? ทำไมสีหน้าถึงดูแย่จัง?”
เฉียวฉีโบกมือไปมา “ไม่เป็นไรจริงๆ ฉันคงจะตื่นเช้าไป เหนื่อยเกินไป”
เธอเป็นเจ้าสาวแล้ว นี่เป็นเหตุการณ์สำคัญในชีวิตของพวกเขา วันนี้พวกเขาตื่นนอนตีสี่และถูกดูแลโดยช่างแต่งหน้าและสไตลิสต์ ซึ่งแน่นอนว่ามันทำให้พวกเขานอนไม่หลับ
กู้ซือเฉียนเห็นแบบนั้นจึงรู้สึกไม่วางใจ
ทั้งสองกลับไปที่โรงแรมเพราะงานเลี้ยงตอนเที่ยงจัดที่โรงแรม ดังนั้นคนอื่นๆ จึงได้กลับไปด้วยอยู่แล้ว
เกาะแห่งนี้ตั้งแต่ถูกกู้ซือเฉียนซื้อมา ก็ไม่ได้มีการเปิดมากนักแม้แต่โรงแรมก็ว่างเช่นกัน
ครั้งนี้พวกเขามาจัดงานแต่งงานที่นี่ จึงได้จัดคนมาดูแลห้องพัก ห้องจัดเลี้ยง ห้องครัว และเรื่องอื่นๆ ของโรงแรมเป็นการชั่วคราว
เพราะมีลุงโออยู่ด้วย จึงดำเนินการไปอย่างมีระเบียบและไม่เลอะเทอะอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อกลับถึงห้องพัก เฉียวฉีก็หย่อนก้นลงนั่งบนโซฟา
กู้ซือเฉียนเห็นสีหน้าของเธอผิดปกติชัดเจนจึงยิ่งขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม
“อะเฉียวๆ”
เขาตบไหล่และเรียกเธอสองครั้ง
เฉียวฉีหันหน้ากลับมามองเขาแต่สายตากลับฝ้าฟาง
“อะเฉียว เธอไม่เป็นไรนะ? ทำไมเธอหน้าซีดแบบนี้ล่ะ?”
อย่างไรก็ตาม คราวนี้เฉียวฉีไม่ตอบ
ดวงตาของเธอมืดลงและล้มพับไป
ไม่มีใครคาดคิดว่างานแต่งงานดีๆ สุดท้ายแล้วจะเกิดเรื่องผิดพลาดในที่สุด
หลังเฉียวฉีเป็นลมไป กู้ซือเฉียนก็รีบเรียกหมอเข้ามาเพื่อทำการตรวจ หมอกลับพบว่าสถานการณ์ของเธอนั้นแปลกประหลาดมาก อย่าว่าแต่รักษา แม้แต่สาเหตุที่เป็นลมก็ยังไม่สามารถจะบอกได้
คนอื่นๆ เมื่อได้ยินข่าวนี้ก็ต่างรีบมา และออกันอยู่ที่หน้าห้อง
ภายในห้องนอนกู้ซือเฉียนดูแลเฉียวฉีที่อยู่บนเตียง และมองดูหมอที่กำลังทำการตรวจรักษาเธอแล้วพูดขึ้นอย่างกังวล: “เธอเป็นอะไรกันแน่? คุณพูดอะไรหน่อยสิ!”
หมอเป็นหมอที่อยู่ประจำในปราสาท เดิมทีในวันดีๆ คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องกับใครขึ้น
แต่ยังดีที่ลุงโอทำอะไรด้วยความรอบคอบ ถึงแม้จะไม่เคยคิดว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับเฉียวฉีและกู้ซือเฉียน แต่ที่สุดแล้วในเกาะส่วนตัวที่เป็นเกาะปิด จึงกลัวว่าจะเกิดข้อผิดพลาดกับแขกในงาน ดังนั้นจึงได้ป้องกันไว้ก่อน โดยการเตรียมหมอมาด้วยหนึ่งคน
คิดไม่ถึงว่าจะมีประโยชน์อย่างคาดไม่ถึง
ตอนนี้หมอทำการตรวจแล้วแต่ก็ยังไม่พบสาเหตุ
ครู่หนึ่งเขาก็พูดตะกุกตะกักขึ้นมา: “คุณชายกู้ ระ…เรื่องนี้ค่อนข้างซับซ้อน บนเกาะไม่มีอุปกรณ์ทางการแพทย์ ถ้าดูจากสถานการณ์ตรงหน้าในตอนนี้ ผมไม่สามารถวินิจฉัยหาสาเหตุว่าทำไมภรรยาของคุณถึงเป็นลมได้เลย”
กู้ซือเฉียนสีหน้าเคร่งขรึม
ลุงโอที่อยู่ด้านข้างพูดขึ้น: “ถ้าอย่างนั้นเรากลับปราสาทกันไหมครับ?”
ขณะที่กู้ซือเฉียนกำลังจะตกลง น้ำเสียงนิ่งๆ ของผู้ชายคนหนึ่งก็ดังเข้ามา
“ไม่จำเป็นต้องกลับหรอก ฉันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ”
เขาพูดและก้าวเท้าเข้ามา
ทุกคนตกใจอย่างรุนแรง และเห็นว่าคนคนนั้น หากไม่ใช่หนานมู่หรงแล้วจะเป็นใคร?
ดวงตาของกู้ซือเฉียนมืดมิด ถึงแม้ว่าจะยังไม่มั่นใจว่าสถานการณ์ในตอนนี้ของเฉียวฉีจะเกี่ยวข้องกับเขาไหม แต่เมื่อเห็นเขาในตอนนี้ก็เกิดความไม่สบายใจ
แน่นอนว่าหนานมู่หรงรู้ทันว่าเขากำลังคิดอะไร
แต่กลับไม่สนใจ
เขาเดินไปที่ข้างเตียง หยิบกล่องหนึ่งออกมาจากกระเป๋าของเขา และหยิบยาเม็ดสีเหลืองทองออกจากกล่อง พร้อมที่จะใส่เข้าไปในปากของเฉียวฉี
อย่างไรก็ตามระหว่างที่เขากำลังยื่นมือออกมานั้นก็ถูกกู้ซือเฉียนห้ามไว้
“หนานมู่หรง นายหมายความว่ายังไง?”
หนานมู่หรงมองไปที่เขาแล้วยิ้ม
“ทำไม? กลัวฉันจะวางยาเธอ? ฉันบอกนายแล้วกัน หากไม่มียาเม็ดนี้ของฉัน ไม่ต้องให้ฉันวางยาเธอ ภายในครึ่งชั่วโมงเธอก็ต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย”
เมื่อคำพูดนี้ถูกพูดออกไป ทุกคนต่างตกใจ
ลุงโอเป็นฝ่ายถามขึ้นก่อน “คุณหนาน ชีวิตของคนเป็นเรื่องสำคัญ จะเอามาล้อเล่นไม่ได้! สิ่งที่คุณพูดเมื่อครู่หมายความว่ายังไงครับ?”
เมื่อเห็นสายตาที่สงสัยของทุกคน หนานมู่หรงก็รู้ตัวว่าหากวันนี้เขาไม่อธิบายให้กระจ่าง เขาคงไม่ได้ออกไปจากที่นี่แน่
เขาไม่กังวลเลยและอธิบายอย่างละเอียด
“อาการของเธอตอนนี้ เป็นโรคทางพันธุกรรมที่หาได้ยาก ปกติแล้วก็ไม่มีอะไร แต่จะมีอาการเมื่อถึงอายุที่กำหนด หลังจากเกิดอาการ ร่างกายจะอยู่ในอาการโคม่า อวัยวะภายในและหลอดเลือดจะย่ำแย่อย่างรวดเร็ว หากปราศจากยาแก้พิษเธอคงตายภายในเวลาอันสั้นอย่างไม่ต้องสงสัย”
สีหน้าของกู้ซือเฉียนเปลี่ยนไป
และสีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไป
มีคนถามขึ้น: “พวกเราจะพิสูจน์ได้ยังไงว่าคุณพูดจริง?”
หนานมู่หรงเลิกคิ้ว
“ได้ พวกคุณจะไม่เชื่อผมก็ได้ เธอไม่ต้องกินยานี้ก็ได้ แต่ผมคงจะต้องพูดอะไรที่ไม่น่าฟังไว้ก่อนว่าเพียงแค่ครึ่งชั่วโมง หลังจากครึ่งชั่วโมงนั้นไป ต่อให้ผมมียา เธอก็คงไม่สามารถจะฟื้นตัวได้ พวกคุณก็ชั่งน้ำหนักกันเองก็แล้วกัน”
พูดเสร็จก็หันหลังเดินออกไป
ยังไม่ทันที่จะเดินไปถึงประตู เสียงเย็นเยียบก็ดังลอยมา
“เดี๋ยวก่อน!”
กู้ซือเฉียนจ้องที่เขาอย่างเย็นชา “เอายามา”
หนานมู่หรงยิ้มเล็กน้อย หันกลับมาแล้ว่ส่งยาให้เขา
อย่างไรก็ตาม หลังจากกู้ซือเฉียนได้ยาไป กลับไม่ได้รีบร้อนป้อนยาและกลับสั่งฉินเยว่ “เชิญคุณหนานกับคุณนายหนานไปพักดื่มชาที่วิลล่าข้างๆ ห้ามใครรบกวนถ้าไม่มีคำสั่งจากฉัน”
คำพูดแบบนี้ ทุกคนต่างเข้าใจได้
มันคือการกักบริเวณแบบตบตา
ถ้าหากเฉียวฉีฟื้นขึ้นมาก็ดีไป แต่ถ้าหากไม่ฟื้น ทั้งหนานมู่หรงกับหลินเยว่เอ๋อร์คงจะไม่สามารถออกไปจากที่นี่ได้แน่
หนานมู่หรงหรี่ตาเล็กน้อย ไม่น่าแปลกใจที่เขาจะทำเช่นนี้
กู้ซือเฉียนเป็นคนยังไงกัน?
ตั้งแต่เด็กเขาเป็นคนที่ไร้ความปรานีและโตมากับธุรกิจสีดำ มีหรือที่เขาจะเชื่อคำพูดของเขาโดยง่ายและป้อนยาให้เฉียวฉี
ดังนั้น หนานมู่หรงจึงไม่โกรธจึงให้ความร่วมมือและพาหลินเยว่เอ๋อร์ไปที่วิลล่าข้างๆ
กู้ซือเฉียนให้ลุงโอเทน้ำมาหนึ่งแก้วแล้วให้เฉียวฉีกินยาเม็ดนั้น
หลังจากกินยาก็เฝ้าเธอไม่ห่างและมองเธออย่างกระวนกระวาย
ผ่านไปประมาณสิบกว่านาที เฉียวฉีจึงค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา
หลังจากฟื้นแล้วเห็นเขาสิ่งแรกที่เธอถาม “ฉันเป็นอะไรไปคะ?”