“ที่เรียกมันว่าแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ ไม่ใช่เพราะว่ามันเป็นหยกจริงๆ แต่เป็นเพราะมันใสดุจคริสทัลและส่องสว่างเหมือนหยกมากกว่า แต่จริงๆ แล้วมันเป็นสสารสองชนิดที่รวมกับหยก บางคนเดาว่า สสารที่ไม่รู้จักและลึกลับนี้ ท้ายที่สุดแล้วจะนำไปสู่ผลลัพธ์อันน่ามหัศจรรย์ จากเรื่องนี้จะเห็นได้ว่า ข่าวลือไม่จำเป็นต้องเป็นเท็จเสมอไป
และวันนี้ คุณกู้ก็ยินดีที่จะนำสมบัติชิ้นนี้ออกมาแสดง ให้ทุกคนได้ศึกษาค้นคว้า เพราะว่าเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ยากที่จะทำด้วยกำลังของตัวเอง เพราะแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ทั้งสิบสองชิ้นนั้น กระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกซอกทุกมุมโลก ซึ่งหากต้องการหาทั้งสิบสองชิ้นนี้ด้วยตัวคนเดียว เกรงว่าแม้จะใช้เวลาทั้งชีวิตที่เหลือนั้นก็ยังยากที่จะหาพบ
ทุกท่านที่เข้าร่วมงานในวันนี้ ล้วนเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่และมีหน้ามีตาในวงการ คุณกู้หวังจะเชิญทุกท่านร่วมค้นหาแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ และหากใครพบเห็น หรือให้เบาะแสที่เป็นประโยชน์ หรือแม้กระทั่งสามารถรวบรวมแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ได้ ในอนาคตก็จะได้เสพสุขในความสำเร็จด้วยกัน และได้ร่วมมือกันทำภารกิจสำคัญ! “
เมื่อเสียงของพิธีกรดังขึ้น ทุกคนในสถานที่จัดงานยังคงตะลึงงัน และไม่ได้ตอบสนองเป็นเวลานาน
อะไรนะ?
ค้นหาแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ด้วยกัน? เสพสุขในความสำเร็จด้วยกัน?
ร่วมมือกันทำภารกิจที่ยิ่งใหญ่? เอาจริงเหรอเนี่ย?
มีคนในงานจำนวนไม่น้อยที่รู้จีกกู้ซือเฉียน และรู้ว่าสิ่งที่ออกจากปากของบุคคลนี้ โดยพื้นฐานแล้วไม่ใช่เรื่องโกหกแน่นอน
ดังนั้น ทุกคนจึงอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น
ในเวลานี้ พิธีกรได้เชิญกู้ซือเฉียนขึ้นพูดบนเวที
กู้ซือเฉียนก้าวขายาวของเขา ขึ้นไปข้างบน
อันที่จริงตัวเขาเองก็ไม่ยังไม่รู้จะพูดอะไร หนานกงจิ่นมอบหมายงานนี้ให้เขา เพียงอยากจะเห็นถึงศักยภาพความสามารถของเขาเท่านั้น
ตอนนี้กลุ่มชาวจีนไม่อยู่แล้ว และนอกจากตระกูลหนาน กลุ่มที่มีอิทธิพลที่สุดก็คือกลุ่มมังกร ถ้าเขาไม่มาพบกู้ซือเฉียน เขาก็ไม่รู้จะไปพบใครอีกแล้ว
เขามองไปยังผู้ชมที่เนืองแน่นด้านล่าง และพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมว่า “สิ่งที่พิธีกรพูดเมื่อครู่ คือสิ่งที่ฉันต้องการจะพูด เพื่อน ๆ ทุกคนที่อยากเห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของสมบัตินี้ สามารถให้เบาะแสอันมีค่าแก่ฉัน หรือเพียงแค่เอาแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ที่ตัวเองมีออกมา ทุกคนวางใจได้ ฉันรับรองด้วยเกียรติของฉันเองเลย ตราบใดผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในเรื่องนี้ ฉันจะไม่มีวันลืมชื่อเขา เฝ้ารอวันที่แผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์สิบสองชิ้นมารวมกัน และวันนั้นเขาจะเห็นเองว่างานเลี้ยงนี้แท้จริงแล้วคืออะไร”
มีคนถามขึ้นมาทันทีว่า “แค่ดูเท่านั้นเหรอ? ขอแบ่งผลประโยชน์ด้วยได้ไหม?”
“ใช่แล้ว ท้ายที่สุดแล้วมันก็คือสมบัติ ก็ควรจะแบ่งผลประโยชน์บางส่วนให้เราด้วยสิ จริงไหม?”
กู้ซือเฉียนมองไปที่คนเหล่านี้อย่างราบเรียบ มุมปากของเขายกขึ้นเผยให้เห็นรอยยิ้มที่เย็นชา
เขาพูดเสียงดังว่า “หลังจากแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์รวมกันเป็นหนึ่งเดียวแล้ว รูปร่างที่แท้จริงของมัน เราเองก็ไม่รู้ว่าเป็นยังไงเช่นกัน ดังนั้นตอนนี้ฉันเลยรับรองไม่ได้เลยว่า เมื่อถึงเวลานั้นทุกคนที่ให้เบาะแส หรือบริจาคแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์จะได้ลิ้มรสอิทธิฤทธิ์ของมัน ฉันเพียงรับรองได้ว่า พอถึงเวลานั้นทุกคนจะได้เป็นประจักษ์พยานของความสำเร็จ
ยิ่งกว่านั้น แม้ว่าคุณจะไม่ได้เอาของออกมา แต่ความจริงแล้วแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ที่ยังไม่ถูกรวบรวมนั้น ก็เป็นเพียงของเล่นธรรมดา ซึ่งไม่มีประโยชน์ใดๆ เลย มีแต่จะทำให้ตัวมันเองเสียคุณค่าไปเปล่าๆ เนื่องจากหากขาดไปเพียงแค่ชิ้นเดียว เป็นไปได้มากว่าความลับนี้จะถูกฝังกลบ และจะไม่มีใครไขความลับนี้ได้ไปตลอดกาล
ทุกคนล้วนแยกแยะถูกผิดได้ และยังเป็นผู้ที่หวงแหนทรัพย์สมบัติ ฉันเชื่อว่าทุกคนคงไม่ยอมให้ความลับนี้แพร่กระจายไปทั่วโลก เพราะไม่อย่างนั้นสมบัตินี้จะค่อย ๆ จางหายไป ดังนั้นฉันจึงได้มาพบทุกคน และหวังอย่างยิ่งว่าทุกคนจะสามารถผนึกรวมปัญญาและพลัง ร่วมด้วยช่วยกันค้นหาสิ่งนี้ และมาร่วมเป็นสักขีพยานในสิ่งมหัศจรรย์นี้ด้วยกัน ว่ายังไงล่ะ? “
เสียงพูดคุยลดลง เกิดความเงียบที่ด้านล่างนั่น
ไม่มีใครพูดอะไรจนเวลาผ่านไปเนิ่นนาน
เมื่อมองไปที่บรรดาผู้คนที่เงียบงัน กู้ซือเฉียนก็เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นอีกว่า “ถ้าทุกคนไม่พอใจ ฉันขอให้คำมั่นสัญญาอีกครั้ง ว่าใครก็ตามที่มีส่วนช่วยในเรื่องนี้ สามารถขออะไรก็ได้หนึ่งอย่างกับฉัน ตราบใดที่ไม่เป็นการละเมิดหลักการ ฉันก็จะยอมทุกอย่าง โดยสัญญานี้จะมีผลจนกว่าจะพบสมบัติทั้งหมด และยินดีต้อนรับทุกท่านที่มาแจ้งเบาะแส”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดเหล่านี้ บรรยากาศข้างล่างเวทีก็คึกคักขึ้นมา
หลายคนเริ่มกระซิบกระซาบกัน ทำให้สถานการณ์ในงานเต็มไปด้วยเสียงดังอลหม่าน
หลังจากที่กู้ซือเฉียนพูดจบ เขาก็ไม่อยู่บนเวทีต่อแล้ว
เขาก้าวลงจากเวที และเดินไปนั่งข้างๆ เฉียวฉีในแถวแรก ทั้งสองมองหน้ากัน โดยที่ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรให้มากความ พวกเขาก็รู้กันอยู่แก่ใจแล้ว
ในที่สุด พิธีกรก็ประกาศว่าทุกคนสามารถเข้ามาสังเกตชิ้นส่วนของแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ได้อย่างใกล้ชิด แต่เพื่อความปลอดภัย จึงขอความกรุณาเข้าดูทีละคน โดยห้ามสัมผัส และห้ามเปิดตู้กระจก ทำได้เพียงมองผ่านตู้ได้อย่างเดียวเท่านั้น
ในเวลานี้ ทุกคนต่างกระตือรือร้นที่จะลองดู
แม้แต่หลินซงเองหลังจากฟังคำพูดของกู้ซือเฉียนจบ ก็ยังแอบสงสัยอยู่เหมือนกัน
เขาไม่รู้ข้อตกลงระหว่างกู้ซือเฉียนและหนานกงจิ่นและเมื่อเห็นกู้ซือเฉียนเชื่อจริงๆ ว่าของสิ่งนี้จะทำให้คนตายฟื้นคืนชีพได้
เขาอดไม่ได้ที่จะสะกิดแขนเขาเบาๆ แล้วถามด้วยรอยยิ้มว่า “เอ๊ะ สิ่งนี้มันวิเศษจริงๆ เหรอ? รู้สึกเหมือนในเทพนิยายเลย ที่เมื่อเก็บดราก้อนบอลครบเจ็ดลูกจะสามารถอัญเชิญเทพเจ้าได้?”
กู้ซือเฉียนเหลือบมองเขาด้วยสายตาเมินเฉย
เขาพูดด้วยเสียงต่ำทุ้ม “ถ้านายไม่รู้เรื่องก็อย่าพูดจาไร้สาระ”
หลินซงพูดตัดพ้อ ด้วยเสียงต่ำ “ฉันจะบอกนายว่า เราทุกคนล้วนเป็นคนหนุ่มสาวยุคใหม่ และความเชื่องมงายล้าสมัยเป็นสิ่งที่รับไม่ได้”
เฉียวฉีทนไม่ไหวอีกต่อไป จึงขัดจังหวะเขา “สิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่เราอยากจะตามหา แต่คนจากตระกูลหนานขอให้เราค้นหามัน”
หลินซงตกตะลึง ที่จู่ ๆ ก็กลายเป็นเรื่องจริงจังขึ้นมา
ตระกูลหนาน?
สิ่งที่หนานมู่หรงพูดครั้งก่อน เขาก็อยู่ในที่เกิดเหตุ และแน่นอนว่าเขารู้ดีว่า ตราบใดที่เกี่ยวข้องกับตระกูลหนาน มันจะต้องไม่ใช่เรื่องง่ายดายอย่างแน่นอน
คิ้วของเขาขมวดเป็นปม มองไปที่กู้ซือเฉียนกับเฉียวฉี และถามว่า “หมายความว่าอะไร? พวกนายเคยไปเจอคนจากตระกูลหนานมาแล้วเหรอ? พวกเขาว่ายังไงบ้าง?
กู้ซือเฉียนไม่มีทางเลี่ยง เพราะรู้ว่าถ้าไม่ได้อธิบายให้เขาฟังอย่างชัดเจน เขาจะต้องซักไซ้ต่อไปแน่
จึงตัดสินใจเล่าเรื่องวันนั้นให้เขาฟัง ว่าพวกเขาทั้งสองคนไปพบหนานกงยวู่แห่งตระกูลหนาน และในตอนสุดท้ายพวกเขาก็ถูกหนานกงยวู่พาไปรู้ความลับที่อยู่เบื้องหลัง จากนั้นก็ได้พบกับ หนานกงจิ่น และทั้งสามคนก็ได้หารือกับเขาเกี่ยวกับการทำธุรกรรมร่วมกัน
หลังจากฟังจบ หลินซงก็นั่งตะลึงอยู่ตรงนั้น ไม่ตอบสนองอะไรอยู่พักใหญ่
เขากลืนกินน้ำลาย และมองซ้ายมองขวา เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครได้ยินพวกเขาทั้งสามคน จากนั้นก็ลดเสียงลงแล้วพูดว่า “นายหมายถึง ความจริงแล้วตระกูลหนานไม่ได้ถูกดูแลโดยหนานกงยวู่แต่โดยอีกคนหนึ่งที่ชื่อหนานกงจิ่นอย่างนั้นเหรอ?”
กู้ซือเฉียนพยักหน้า
“ทำไมล่ะ? คนคนนั้นคือใคร? หนานกงยวู่ไม่ใช่หัวหน้าครอบครัวของพวกเขาเหรอ? ทำไมอยู่ดีๆ ก็มีอีกคนโผล่มา?”
เฉียวฉีถึงกับปวดหัว
“เราก็ไม่รู้เรื่องพวกนี้เหมือนกัน เรารู้แค่ว่าชายคนนั้นดูจะอยู่คนละระดับกับหนานกงยวู่เลย เพราะหนานกงยวู่ให้เกียรติเขามาก จะว่าไป ดูแล้วหนานกงยวู่คงอายุห้าสิบถึงหกสิบปีได้ แต่ชายคนนั้นดูแล้วอายุไม่น่าจะเกินสามสิบปีโดยประมาณ”