ในตอนที่เขาเดินทางไปที่ประเทศจีน เขาได้ผ่านหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง และได้ยินมาว่าในหมู่บ้านแห่งนั้นมีอาจารย์ท่านหนึ่งที่ชื่นชอบการสะสมของโบราณ อาจารย์ท่านนั้นมีอายุมากกว่าเก้าสิบปีแล้ว แต่ร่างกายยังคงแข็งแรง ในตอนที่เขายังเป็นหนุ่ม เขาได้เดินทางตั้งแต่เหนือจรดใต้เพื่อรวบรวมของโบราณ พอแก่ตัวลงเขาก็ไม่อยากอยู่ในเมือง เพราะอากาศไม่ค่อยดี เลยพาหลานสาวย้ายไปอยู่ที่ชนบท
ปกติแล้วเจียงต๋ามักจะชอบค้นคว้าเกี่ยวกับโบราณวัตถุ และนั่นก็นับได้ว่าเป็นงานอดิเรกของเขา ดังนั้นเขาจึงไปเยี่ยมเยียน เพราะอยากจะดูโบราณวัตถุสองสามชิ้นที่เขาสนใจ
และอีกฝ่ายก็ไม่ได้ปฏิเสธเขาแต่อย่างใด แต่กลับให้การต้อนรับเขาอย่างอบอุ่น อีกทั้งยังนำสิ่งของดีๆ ที่ตัวเองมีทั้งหมด มาให้เขาดูอีกต่างหาก
ท่านปู่เป็นคนที่มีฐานะดีมากคนหนึ่ง หนำซ้ำยังไม่กลัวว่าเมื่อดูเสร็จแล้วเขาจะแย่งชิงไปทันที ยังคงรอให้เขาดูเสร็จ แล้วถึงจะเก็บสิ่งนั้นไป
เขายิ้มและวางสำรับอาหารที่เขากินเสร็จแล้วไว้ จากนั้นก็ส่งเขาออกไป
และในตอนนั้นเอง ที่เจียงต๋าได้เห็นแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ชิ้นนั้น
จากที่เขาพูดมา ในตอนนั้นแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ถูกเก็บเอาไว้ในที่ที่ไม่ได้โดดเด่นเท่าไหร่นัก จะพูดว่ามันถูกโยนเอาไว้บนโต๊ะตัวเก่า และปนอยู่กับของชิ้นเล็กชิ้นน้อยอื่นๆ ที่ไม่มีค่าก็ว่าได้
ดูเหมือนว่า พวกเขาจะเพิ่งขุดของเหล่านั้นขึ้นมาจากดิน เพราะบนของพวกนั้นยังคงมีกลิ่นของดินติดอยู่ และแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ชิ้นนั้นก็เช่นเดียวกัน
ไม่รู้เหมือนกันว่าตาของท่านปู่ไม่ดีเองหรือเปล่า เขาไม่เห็นคุณค่าของแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ชิ้นนั้น หรือเดิมทีแล้วเขาก็ไม่ได้ชอบอะไรแบบนั้นอยู่แล้ว เพราะบนแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ยังไม่ได้ถูกทำความสะอาด แต่วางเอาไว้อย่างนั้นเลย
เขาเห็นมันในตอนที่เขากำลังจะกลับพอดี ความจริงเขาก็อยากจะเข้าไปดูให้ละเอียดกว่านี้อีกสักหน่อย แต่ก็ช่วยไม่ได้เพราะมันใกล้ได้เวลาขึ้นเครื่องแล้ว เขาจึงไม่สามารถอยู่ต่อได้
และอีกอย่างท่านปู่ก็ไม่ได้ตั้งใจจะรั้งให้เขาอยู่ต่อ เขาจึงไม่สามารถทำเกินกฎเกณฑ์ได้ ดังนั้นเขาจำต้องจากไป
และด้วยเหตุนี้เอง ในตอนนั้นเขาจึงทำได้แค่เพียงกวาดสายตามองมันคร่าวๆ เท่านั้น และเขาก็ไม่ได้มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า ของชิ้นนั้นมันจะเป็นแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์
ตอนนี้ เขาแค่คิดที่จะลองเสี่ยงดู และให้เบาะแสนี้แก่กู้ซือเฉียน
หลังจากที่กู้ซือเฉียนฟังจบ เขาก็นิ่งเงียบไปประมาณสองสามวินาที
จากนั้นเขาก็มองตรงไปที่ เจียงต๋า และถามออกไปว่า “ท่านปู่ที่คุณเพิ่งจะพูดถึงเมื่อสักครู่นี้ เขาชื่อว่าอะไรนะครับ?”
เจียงต๋าตอบกลับไปว่า “เขาแซ่ชิว ส่วนชื่อของเขาผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันครับ ผมรู้เพียงแค่ว่าภายใต้ยุทธจักรนี้สมญานามของเขาคือตาแก่ชิวคนที่อายุมากกว่าหรือคนที่ไม่คุ้นเคย ลับหลังก็เรียกเขาว่าอย่างนี้กันหมด แม้กระทั่งคนรุ่นหลังที่เคารพนับถือเขา ก็เรียกเขาแค่ว่าท่านปู่ชิว”
กู้ซือเฉียนพยักหน้าตอบรับ
“เข้าใจแล้วครับ ขอบคุณนะครับสำหรับเบาะแสทั้งหมด หลังจากที่ฉันได้ตรวจสอบเบาะแสนี้แล้ว ฉันจะติดต่อกลับไปหาคุณอีกที พอถึงตอนนั้นถ้าคุณมีเรื่องอะไรที่อยากจะขอร้อง คุณก็บอกฉันมาได้โดยตรงเลยนะครับ”
เจียงต๋ารีบลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว และกล่าวขอบคุณออกมา
“ขอบคุณมากนะครับคุณกู้ ผมไม่มีเรื่องที่อยากจะขอร้องหรอกครับ ถ้ามันสามารถช่วยคุณได้ นั่นก็ถือว่าเป็นเกียรติอย่างสูงสำหรับผมแล้ว”
กู้ซือเฉียนเม้มริมฝีปากแน่น และไม่ได้สนใจคำพูดที่สุภาพของเขาเท่าไหร่นัก
และให้ลุงโอเดินออกไปส่งเขา หลังจากนั้นก็กลับมาพูดคุยกับเฉียวฉี
“คุณคิดว่าสิ่งที่เขาพูดมา มันเป็นเรื่องจริงหรือว่าเรื่องโกหกกันแน่?”
เฉียวฉีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดออกไปว่า “ฉันไม่คิดว่าเขาจะโกหกเรานะ ดูแล้วเขาก็เป็นคนที่ซื่อสัตย์คนหนึ่งเลย ว่ากันว่าเขาทำได้ดีมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อีกอย่าง เขาคงไม่กล้าโกหกคุณ เกี่ยวกับข้อเท็จจริงของเบาะแสนี้หรอกมั้ง “
เธอหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง และหัวเราะออกมา “ใครจะไปรู้ล่ะ? ต้องไปที่นั่น พอได้ดูสิ่งสิ่งนั้นเดี๋ยวก็จะรู้ได้เอง”
กู้ซือเฉียนพยักหน้าตอบรับ “งั้นพรุ่งนี้พวกเราเดินทางไปประเทศจีนกัน”
เฉียวฉีตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นเธอก็พูดออกไปด้วยน้ำเสียงประหลาดใจว่า “ทำไมมันถึงได้เร็วขนาดนี้ล่ะ?”
“แน่นอน ผมป่าวประกาศเรื่องแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ออกไปแล้ว และตอนนี้ทุกคนต่างก็รู้เรื่องนี้กันหมดแล้ว ว่าของสิ่งนี้มีทั้งหมดสิบสองชิ้น และอีกอย่างคนที่อยากจะได้ของสิ่งนี้ไม่ใช่แค่เพียงหนานกงจิ่นและเราสองสามคนเท่านั้น จะต้องมีคนอื่นที่อยากจะได้มันเหมือนกันอย่างแน่นอน
“การที่เจียงต๋าเอาข่าวนี้มาเปิดเผยให้เราได้รู้ นั่นก็รับประกันไม่ได้ว่าเขาจะไม่เอาไปบอกคนอื่นด้วยเหมือนกัน เพราะอย่างนั้นเราจึงต้องชิงลงมือก่อน”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เฉียวฉีก็มีปฏิกิริยาตอบสนองขึ้นมาทันที จากนั้นเธอก็พยักหน้าตอบกลับไป “ได้ งั้นฉันจะไปเก็บของตอนนี้เลย”
“โอเค”
หลังจากที่เฉียวฉีขึ้นไปที่ชั้นบนแล้ว กู้ซือเฉียนก็เดินไปสั่งให้ฉินเยว่ไปจัดเตรียมรถและเครื่องบินที่จะเดินทางไปในวันพรุ่งนี้ และในเวลาเดียวกัน เขาก็ต่อสายไปหาจิ่งหนิง
เมื่อได้รับสายโทรศัพท์จากเขา จิ่งหนิงก็รู้สึกแปลกใจขึ้นมาเล็กน้อย
กู้ซือเฉียนไม่ได้ปิดบังเหตุผลที่เขากำลังจะไปประเทศจีนในครั้งนี้แต่อย่างใด เพราะเขารู้ว่า เมื่อเขาไปถึงประเทศจีน ไม่ว่าเขาจะทำอะไร พวกเขาก็ต้องรู้การเคลื่อนไหวของเขาอย่างแน่นอน
เมื่อถึงตอนนั้นแทนที่จะต้องมาคอยหวาดระแวงกัน สู้บอกไปเลยตั้งแต่ตอนนี้จะยังดีกว่า
และเมื่อมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับความเป็นความตายของเฉียวฉี เขาจึงเชื่อว่าจิ่งหนิงและลู่จิ่งเซินจะต้องไม่นิ่งเฉยอย่างแน่นอน
แน่นอนว่า หลังจากที่จิ่งหนิงฟังจบ หล่อนก็ตอบตกลงทันที และบอกให้พวกเขาออกเดินทางไปก่อน แล้วหล่อนกับลู่จิ่งเซินจะจัดการเรื่องอื่นๆ ให้
เพียงไม่นานกู้ซือเฉียนก็กดวางสาย
และทันทีที่เขาวางสายไป จิ่งหนิงก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นหล่อนก็นำเรื่องนี้ไปบอกกับโม่หนาน เพื่อให้เขาไปตรวจสอบเรื่องของท่านปู่ชิวสักหน่อย
กู้ซือเฉียนและคนอื่นๆ จะออกเดินทางในวันพรุ่งนี้ เพราะอย่างนั้นก่อนหน้าที่พวกเขาจะออกเดินทาง ก็ยังเหลือเวลาอีกสิบชั่วโมง เธอจึงหวังว่าข่าวที่เธอไปหามา มันจะเป็นประโยชน์ต่อพวกเขาบ้างที่จะเริ่มออกมาเดินทางในวันพรุ่งนี้
ด้วยความที่เรื่องนี้อยู่ในประเทศจีน เพราะอย่างนั้นโม่หนานจึงตรวจสอบมันได้ไม่ยาก
ไม่นาน เธอก็สืบหาข่าวได้ และนำมันกลับไปบอกพวกเขาอีกครั้ง
จากการไปสืบข่าวมาของโม่หนานท่านปู่ชิวคนนี้ ตอนที่เขายังเป็นหนุ่มเขาก็เป็นพ่อค้าของเก่าที่ทุกคนต่างก็รู้จักกันเป็นอย่างดี
หลังจากที่ได้เดินทางขึ้นเหนือจรดใต้มาตลอดหลายสิบปี เขาก็ได้สินค้าดีๆ มามากมาย แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะการซื้อเข้าขายออกวัตถุโบราณเหล่านี้หรือเปล่า ที่ทำให้สูญเสียผลบุญไป หรืออาจเพราะสาเหตุอื่น
เขามีลูกชายสองคน และลูกสะใภ้อีกสองคน หลังจากนั้นทั้งคู่ก็เสียชีวิตลงทีละคนๆ อย่างไม่ทราบสาเหตุ
ส่วนภรรยาของเขาก็ด่วนจากไปเร็วมากเช่นกัน เมื่อลูกชายของเขาเสียชีวิตลง ก็ได้ทิ้งลูกเอาไว้คนหนึ่ง เพราะอย่างนั้นเขาก็เลยต้องเลี้ยงดูเด็กคนนั้นต่อ และพาไปไหนมาไหนด้วย ต่อมาเด็กคนนั้นก็ได้แต่งงาน และให้กำเนิดลูกสาวคนหนึ่ง
ความจริงเขาก็คิดว่าหลังจากนี้ครอบครัวของเขาก็คงจะได้อยู่อย่างมีความสุข แต่ไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะคำสาปจริงๆ หรือเปล่า เพราะเพียงไม่นานพวกเขาสองสามีภรรยาก็เสียชีวิตลงด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์
หลังจากที่พวกเขาเสียชีวิต ก็ทิ้งเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเอาไว้ชื่อว่า เสี่ยวฮัว ท่านปู่ชิวทนไม่ได้ที่จะต้องมาเห็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ ถูกทิ้งเอาไว้ข้างนอกเพียงลำพัง เพราะอย่างนั้นเขาจึงเอาเด็กคนนั้นมาเลี้ยง แต่ด้วยความที่เขากลัวว่าหล่อนจะเป็นเหมือนกับปู่ย่าและพ่อแม่ของหล่อน เพราะอย่างนั้นเขาก็เลยเปลี่ยนชื่อเล่นให้หล่อนว่าหมาน้อย
ในชนบท มีเด็กชายคนหนึ่งที่ชื่อว่าหมาน้อยในขณะที่ทุกคนกำลังมีความสุขอยู่นั้นจู่ๆ เด็กชายก็เสียชีวิต แถมไม่มีใครรู้สึกอะไรด้วยซ้ำ
แต่เด็กผู้หญิงกลับไม่เหมือนกัน
เสี่ยวฮัวไม่เคยยอมรับชื่อของตัวเองเลย ไม่เพียงแต่ท่านปู่ชิวจะเปลี่ยนชื่อให้เธอแล้ว เขายังฝากเธอให้เพื่อนบ้านในชนบทเลี้ยงดูเธออีก และจะมาหาเธอเป็นระยะๆ เพราะอย่างนั้นเธอจึงมักจะหนีไป
เขารอจนกระทั่ง เสี่ยวฮัว เติบโตอย่างปลอดภัยจนถึงอายุสิบแปดปี เขาคิดถึงบ้าน และหลังจากกลับมายังบ้านเกิด เพราะอายุที่มากแล้ว ทำให้ใช้ชีวิตไม่ค่อยสะดวก ดังนั้นเขาจึงพาหลานสาวคนนี้มาอยู่เคียงข้างเขา และคอยดูแลเขาในช่วงบั้นปลายชีวิต
แต่ก็ไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะคำสาปแห่งโชคชะตาจริงๆ หรือว่ามันเป็นเพราะอย่างอื่นกันแน่ เพราะเพียงไม่นานหลังจากที่หลานสาวกลับมาหาเขา จู่ๆ หล่อนก็หายตัวไปอีกครั้ง
ใช่แล้ว มันไม่ใช่การตาย แต่มันเป็นการหายตัวไป