เธอยิ้มและพูดว่า “ยินดีต้อนรับสู่เมืองหลวง”
พร้อมกับกางแขนทั้งสองข้างของเธอ และกอดเฉียวฉี
เฉียวฉีก็ดีใจมากเช่นกัน ที่ดีใจก็เพราะเพียงไม่นานเธอก็พบเบาะแสแล้ว และการได้พบกับจิ่งหนิงก็เป็นเรื่องที่น่าดีใจอีกเรื่องหนึ่ง
ตอนนี้ลู่จิ่งเซินอยู่ที่บริษัท เลยไม่สามารถมาทักทายพวกเขาได้ แต่โชคดีที่เขาโทรมาล่วงหน้าแล้ว
ทั้งสองเข้าใจดี และรอให้เขากลับมาจากเลิกงานก่อน แล้วค่อยพูดคุยเรื่องสำคัญกัน
หลังจากเข้าไปในบ้าน ป้าหลิวก็เตรียมอาหารอร่อยๆ ไว้ให้เรียบร้อยแล้ว
เธอเคยได้ยินเกี่ยวกับกู้ซือเฉียนและเฉียวฉีมาก่อนแล้ว ครั้งก่อนที่จิ่งหนิงกลับมาจากเมืองหลิน ก็นำอาหารพื้นเมืองมาฝากเยอะแยะเลย จากนั้นมาป้าหลิวก็ชมเธอไม่หยุด
ได้เจอหน้ากันคราวนี้ ยิ่งรู้สึกว่าหนุ่มสาวคู่นี้ทั้งหล่อทั้งสวย แถมยังมีสง่าราศี เหมือนกับคุณท่านและคุณนายไม่ผิดเลย
ทั้งหมดเข้าไปในห้องอาหารเพื่อทานอาหารค่ำ วันนี้จิ้งเจ๋อน้อยและอานอานต้องไปเรียน ทั้งคู่ก็เลยไม่อยู่ ที่บ้านจึงเงียบลงไปทันตา
หลังอาหารเย็น จิ่งหนิงพาพวกเขาไปเดินเล่นในเมืองหลวงรอบหนึ่ง ส่วนกู้ซือเฉียนนั้นเป็นเพราะตระกูลกู้ จึงได้มาประเทศจีนบ่อยๆ เพราะอย่างนั้นจึงไม่รู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้ดูแปลกตาเท่าไหร่
แต่กลายเป็นเฉียวฉี ที่มาประเทศจีนเป็นครั้งแรก จึงเต็มไปด้วยความอยากรู้เกี่ยวกับทุกที่
ทั้งสามคนเดินไปรอบๆ และใช้เวลาไม่นาน พวกเขาก็มาถึงข้างล่างอาคารกู้ซื่อกรุ๊ป
จิ่งหนิงยิ้มและพูดว่า “ว่าไงล่ะ? ถึงบ้านคุณแล้ว อยากจะเชิญพวกเราขึ้นไปนั่งข้างบนหน่อยไหม?”
แม้ว่ากู้ซือเฉียน จะเข้ายึดครองธุรกิจส่วนใหญ่ของกู้ซื่อกรุ๊ปแล้ว แต่อาคารกู้ซื่อกรุ๊ปตึกนี้ เขาก็ไม่ได้มาบ่อยนัก
เพราะแม่ของเขา เขายังคงเกลียดชังตระกูลกู้เข้ากระดูกดำ
แม้ว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมากู้ฉางไห่จะพยายามเอาใจเขาแล้วก็ตาม แต่ความเกลียดชังแบบนั้น ไม่สามารถลบล้างได้ภายในวันหรือสองวัน
ดังนั้น เมื่อฉันได้ยินสิ่งที่จิ่งหนิงพูด เขาก็ชำเลืองมองเธออย่างเฉยเมย แล้วพูดว่า “อยากไปก็ไปเองสิ เธอคุ้นเคยกับที่นี่มากไม่ใช่หรือไง?”
เมื่อจิ่งหนิงเห็นเขาเหมือนจะหัวเสีย จึงหัวเราะออกมาเบาๆ “หึ ฉันไม่คุ้นเคยเท่าคุณหรอก ก็ได้ ถ้าคุณไม่อยากไปก็ช่างเถอะ มันก็ไม่สำคัญกับฉันหรอก เพราะเหตุผลหลักที่ฉันมาก็เพราะว่าตามเฉียวฉีมา ตามว่าที่คุณผู้หญิงมาที่นี่ เพื่อตรวจดูพื้นที่ของตัวเองสักหน่อยก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ?”
เมื่อเธอพูดแบบนี้ กู้ซือเฉียนก็คิดไปถึงขั้นนั้น
แล้วรีบหันไปมองที่เฉียวฉี
เฉียวฉีจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าในใจเขากำลังคิดอะไรอยู่ แต่หากเขารู้สึกสะเทือนใจ เธอก็บังคับอะไรเขาไม่ได้มาก
เขาจึงยิ้มอย่างอ่อนโยน “วันนี้พอแล้วดีไหม พวกเรายังต้องไปอีกหลายที่ อย่ามัวเสียเวลาอยู่ที่นี่เลย”
ขณะที่จิ่งหนิงมองดูคู่สามีภรรยาที่เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยแบบนี้ ก็ส่ายหน้าและถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้
“นี่พวกนาย เห็นฉันเป็นธาตุอากาศหรือไง ถึงแสดงความรักแบบหวานชื่นต่อหน้าคนอื่นแบบนี้เนี่ย”
เฉียวฉีเม้มริมฝีปากและยิ้ม
ทั้งสามคนเดินเล่นอยู่เป็นเวลานาน จนถึงเวลาหกโมงเย็น รถก็มารอรับอยู่ด้านล่างอาคารลู่ซื่อกรุ๊ป
จิ่งหนิงโทรหาลู่จิ่งเซิน และถามเขาว่าเขาเลิกงานแล้วหรือยัง ถ้าเขาเลิกงานแล้ว จะได้รอรับเขากลับไปด้วยกันเลย
ลู่จิ่งเซินไม่รอช้า ภายในไม่กี่นาทีหลังจากรับสาย เขาก็เดินลงมา
หลังจากขึ้นรถ ทั้งหมดก็ไม่ได้รีบร้อนกลับวิลล่า แต่ไปปักหลักที่เถาหรันจูที่อยู่ข้างๆ และกินข้าวนอกบ้านกัน
หลังจากนั่งลงแล้ว จิ่งหนิงก็สั่งอาหาร และในขณะที่รออาหารมาเสิร์ฟ ทั้งสี่ก็เริ่มพูดถึงจุดประสงค์ที่จะมาประเทศจีนในครั้งนี้
“ท่านปู่ชิวที่คุณพูดถึงก่อนหน้านี้ เมื่อวานหนิงหนิงได้ตรวจสอบแล้ว และข้อมูลที่เป็นรูปธรรมพวกคุณน่าจะรู้ชัดแล้ว แล้วมันบังเอิญมาก ฉันได้โทรหาคุณย่าของฉันวันนี้ และเธอบอกว่าเธอเคยพบกับท่านปู่ชิวมาก่อน พวกเขามาจากที่เดียวกัน และยินดีที่จะแนะนำพวกเรา พอถึงตอนนั้นฉันสามารถไปหาเขาเป็นเพื่อนพวกนายได้ “
ลู่จิ่งเซินกล่าวด้วยเสียงราบเรียบ ดวงตาของเฉียวฉีเป็นประกาย
“จริงเหรอ? เยี่ยมไปเลย”
ตอนบ่ายวันนี้ขณะที่อยู่บนรถ จิ่งหนิงได้บอกข้อมูลที่พบเมื่อวานนี้ให้พวกเขาฟังแล้ว
เมื่อรู้ว่าท่านปู่คนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา เขาจึงกังวลว่าหากบุ่มบ่ามเข้าไป คนคนนั้นจะเต็มใจช่วยเหลือพวกเขาหรือไม่
แต่ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว หากมีคำแนะนำจากท่านย่าลู่ ก็เหมือนกับการลงทุนลงแรงเพียงนิดเดียวแต่ผลตอบแทนเป็นทวีคูณเลยทีเดียว
ลู่จิ่งเซินหัวเราะเบา ๆ “พวกนายอย่ามองโลกในแง่ดีเกินไป เท่าที่ฉันรู้มาท่านปู่ชิวท่านนั้น ตั้งแต่หลานสาวของเขาหายตัวไปก็เปลี่ยนไปมาก ไม่ได้คุยง่ายเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แม้จะมีคำแนะนำของคุณย่า ก็ไม่มีใครรู้ว่าจะมอบแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์หยกชิ้นนี้ให้หรือเปล่า”
กู้ซือเฉียนขมวดคิ้ว “ไม่ว่าเขาจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม ฉันต้องได้ของมา”
ลู่จิ่งเซินพยักหน้า “ถึงตอนนั้นค่อยดูอีกทีแล้วกัน ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็ค่อยช่วยกันหาทางออก”
คุยกันไม่กี่คำ อาหารก็มาเสิร์ฟ พวกเขาจึงหยุดพูดถึงประเด็นนี้ และเปลี่ยนไปคุยเรื่องอาหารแทน
ทุกคนทานอาหารอย่างมีความสุข พอทานเสร็จ ทั้งสี่ก็นั่งรถกลับบ้านด้วยกัน ป้าหลิวได้ทำความสะอาดห้องพักรับรองแขก และเตรียมของที่ใช้ในชีวิตประจำวันทั้งหมดไว้แล้ว
เนื่องจากเป็นเวลาดึกแล้ว และต้องออกเดินทางแต่เช้าตรู่ของวันพรุ่งนี้ กู้ซือเฉียนไม่ได้ไปเยี่ยมท่านย่าลู่และท่านปู่ เขาจึงเพียงโทรศัพท์ไปทักทายเท่านั้น นอกจากนี้เขายังขอบคุณสำหรับการแนะนำของพวกเขา จากนั้นก็ผล็อยหลับไป
วันรุ่งขึ้น ลู่จิ่งเซินจัดการเรื่องบริษัทเรียบร้อยแล้ว และพาพวกเขาไปที่ เมืองผิงกับจิ่งหนิง
เมืองผิงอยู่ทางตอนใต้ของจีน เป็นเมืองชายแดนที่มีการพัฒนาด้านการท่องเที่ยวอย่างมากเมืองหนึ่งเลย
หมู่บ้านของท่านปู่ชิวตั้งอยู่ทางตอนล่างของ เมืองผิงในสถานที่ที่เรียกว่า หมู่บ้านตระกูลว่าน
ที่เรียกที่นี่ว่าหมู่บ้านตระกูลว่านไม่ได้หมายความว่าคนที่นี่ทุกคนแซ่ว่านแต่ที่นี่เคยรุ่งเรืองและพัฒนาอย่างมาก ขณะที่มีประชากรมากที่สุด ก็มีนับหมื่นครัวเรือน ขนาดในยุคที่เศรษฐกิจยังด้อยพัฒนา ประชากรยังเยอะขนาดนี้
ต่อมาเศรษฐกิจของเมืองพัฒนา และคนหนุ่มสาวก็ออกจากชนบทกันไปทีละคน ทำให้คนในหมู่บ้านเหลือน้อยลง จนถึงทุกวันนี้ ก็ตกต่ำลงเรื่อยๆ บางคนที่ไม่มีหนทางไปก็เต็มใจที่จะอยู่บ้านเกิดต่อ อาศัยทำงานหัตถกรรมและงานเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเพื่อใช้ชีวิตให้ผ่านไปในแต่ละวัน
เมื่อทั้งสี่มาถึงหมู่บ้านตระกูลว่านก็ยังเป็นเวลาเช้าอยู่ ภายใต้การนำของชาวบ้านในท้องที่ พวกเขาก็มาถึงวิลล่าที่ท่านปู่ชิวอาศัยอยู่
เนื่องจากเขาเป็นคนเดียวในหมู่บ้านนี้ที่มีวิลล่า ตระกูลชิวจึงหาได้ไม่ยาก
จากนั้นก็เห็นสิ่งปลูกสร้างที่ปูด้วยกระเบื้องสีแดงและผนังสีขาวอยู่ข้างหน้า วิลล่านี้ค่อนข้างใหญ่เลยทีเดียว แต่ประตูถูกล็อกอย่างแน่นหนา และรอบๆ ก็ไม่มีบ้านของมนุษย์อยู่เลย ด้านหลังมีภูเขาอยู่หนึ่งลูก และเมื่อมองผ่านกำแพงที่กั้นบริเวณลานบ้านสามารถมองเห็นดอกไม้ต้นไม้ข้างในได้อย่างเลือนราง น่าจะไม่มีคนมาทำความสะอาดและตัดแต่งมานานแล้ว ใบไม้หลายใบเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหมดแล้ว ยิ่งดูก็ยิ่งหดหู่และอ้างว้าง
กู้ซือเฉียนก้าวไปข้างหน้า และเคาะประตู
“มีใครอยู่ไหมครับ?”
ไม่มีเสียงตอบรับจากภายใน
เขาจึงเคาะอีกสองสามครั้ง แต่ดูเหมือนว่าไม่มีใครอาศัยอยู่ภายใน อย่าว่าแต่คำตอบรับเลย แม้แต่เสียงการเคลื่อนไหวใดๆ ก็ไม่มี
เขาหันหน้าไปทางผู้นำทางในท้องที่ที่เชิญมาชั่วคราว และถามว่า “คุณแน่ใจเหรอว่าท่านปู่ชิวอยู่ที่บ้าน?”
ผู้นำทางเป็นชายวัยกลางคนธรรมดาๆ เกาหัวด้วยความงุนงง “น่าจะอยู่นะครับ เขาแก่แล้ว ตาก็ไม่ดีอีก ปกติเขาไม่ค่อยออกไปข้างนอก เวลานี้เขาก็น่าจะต้องอยู่บ้านนะ”
หลังจากพูดเสร็จ เขาก็ไม่ยอมแพ้และเดินขึ้นไปเคาะประตู พร้อมกับตะโกนด้วยภาษาท้องถิ่นอีกสองสามประโยค
สักพัก ก็มีเสียงดังมาจากข้างใน
มันเป็นเสียงคนแก่ที่แหบแห้ง แต่เต็มไปด้วยพลัง
“ไม่ต้องเคาะแล้ว! จะเคาะอะไรนักหนา!”
เมื่อเสียงสิ้นสุดลง ประตูก็ถูกเปิดออกจากด้านใน