“เฮ้ย ฉันว่านะ เด็กผู้หญิงสองคนนั้นยังรู้จักทำงานเลย พวกแกก็อย่าอยู่ว่างๆ สิ ฝนรั่วซึมเข้ามาหลังคาบ้านตรงบนหัวฉันตั้งหลายวันแล้ว พวกแกซ่อมหลังคาบ้านเป็นหรือเปล่า ไปช่วยซ่อมหลังคาบ้านให้ฉันหน่อยสิ”
สีหน้าของลู่จิ่งเซินเย็นชาดั่งน้ำแข็ง จิ่งหนิงลากแขนเสื้อของเขาไว้และดึงสองที ยิ้มพูดว่า: “ท่านปู่ไว้ใจได้เลย จะซ่อมหลังคาให้ดีแน่นอน”
ท่านปู่มองเธออย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง จึงจากไปอย่างพึงพอใจ
หลังจากรอเขาจากไป กู้ซือเฉียนพูดด้วยเสียงต่ำทุ้ม: “ผมว่าไอ้แก่นี่ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วแน่เลย อะเฉียว พวกคุณไม่ต้องสนเสื้อผ้าสกปรกเหล่านั้นเลย เดี๋ยวเอามีดวางที่คอของแก ผมไม่เชื่อหรอกว่าเขายังจะกล้าไม่เอาของออกมาให้อีก!”
พูดเหมือนกำลังเอามีดขึ้นมาลับอย่างนั้น
จิ่งหนิงมองเขาแวบหนึ่งและมองบน
“คุณชายกู้สี่ ต้องขออภัยที่บอกคุณแบบนี้นะ วิธีการนั้นของคุณคงไม่มีผลต่อท่านปู่ชิวหรอกนะ”
ลู่จิ่งเซินขมวดคิ้วแน่นๆ “ทำไม”
จิ่งหนิงถอนหายใจที
“ท่านอายุมากขนาดนี้แล้ว ตอนวัยเยาว์ก็ทำการค้าขายวัตถุโบราณไปมาจนทั่ว เคยเจอสถานการณ์ต่างๆ มาตั้งเยอะแยะมากมายมาแล้ว อีกอย่าง ยังไงคุณย่าก็เคยโทรหาท่านแล้ว เขาก็ไม่ใช่ว่าไม่รู้พวกเราเป็นใคร รู้แล้วแต่กลับยังกล้าสร้างความลำบากใจให้พวกเราขนาดนี้ แสดงว่าไม่แคร์อะไรเหล่านี้แล้วแน่นอน
ตอนนี้คือพวกเรากำลังต้องการความช่วยเหลือจากคนอื่นอยู่ ของอยู่ในมือของท่าน ถ้าท่านไม่ยอมบอก ฉันว่าถึงแม้พวกคุณฆ่าท่านจริงๆ ก็ไม่แน่ว่าเขาจะบอกพวกคุณ
ถึงพวกคุณจะไม่แคร์ชีวิตของท่าน ยังไงก็ต้องแคร์ชีวิตของเฉียวฉี แตกคอกันแล้วไม่มีผลดีอะไรต่อพวกเราเลย เพราะฉะนั้นก็อดทนไว้ก่อนเถอะ ยังดีที่เป็นแค่ซ่อมแซมหลังคาบ้านกับซักผ้าเฉยๆ ก็ไม่ถือว่าเป็นอะไร สามารถได้ของมาถึงมือก็พอแล้ว”
พอได้ฟังเธออธิบายแบบนี้ ลู่จิ่งเซินกับกู้ซือเฉียนก็กลับมาคิดได้แล้ว
เฉียวฉีก็พยักหน้าตาม “ใช่สิ ยังดีที่ไม่ใช่เรียกพวกเราไปฆ่าคนเผาบ้าน พวกเราต้องการความช่วยเหลือจากคนอื่น ก็เกรงใจคนอื่นเขาเอาของมาให้พวกเราฟรีๆ แบบนี้แล้วก็ฟังของเขาก่อน หลังจากนั้นค่อยดูว่าเขาจะว่ายังไงดีเสียกว่า”
ผู้ชายสองคนจึงพยักหน้า และยังมีการตักเตือนกำชับให้กันและกัน จากนั้นถึงแยกย้ายกันไปปฏิบัติ
เสื้อผ้าตั้งเยอะขนาดนี้ ไม่สะดวกซักในลานบ้านอยู่แล้ว
ดังนั้น เฉียวฉีกับจิ่งหนิงจึงย้ายเสื้อผ้าไปที่ริมแม่น้ำตามทางที่เพื่อนบ้านในหมู่บ้านชี้ให้ จากนั้นถึงเริ่มซัก
ถึงแม้ชีวิตในเมื่อก่อนของจิ่งหนิงจะลำบากมากก็ตาม แต่โดยรวมแล้วชีวิตก็ยังถือว่าพอใช้ได้ ไม่ตกถึงขั้นต้องใช้มือเปล่าซักเสื้อผ้าเยอะขนาดนี้
ดังนั้น นี่ยังเป็นครั้งแรกที่เธอซักเสื้อผ้าจำนวนมากขนาดนี้ในครั้งเดียว
และประเด็นคือไม่รู้เหมือนกันว่าเสื้อผ้าเหล่านี้ใส่มานานแค่ไหนแล้ว รอยเปื้อนบนเสื้อเยอะจนเกิดเป็นขุยขึ้นมาแล้ว ยังดีที่เป็นสีเข้ม ถ้าไม่ดูดีๆ ก็ยังดูไม่ค่อยออกเท่าไหร่ ไม่อย่างนั้นก็จะยิ่งซักยากกว่าเดิม
เธอซักไปด้วย ถอนหายใจล้อเล่นไปด้วย
“นี่เฉียวฉี ตอนนี้คือมือคู่ที่เซ็นสัญญาการสั่งซื้อสินค้าหลายพันล้านกำลังช่วยเธอซักเสื้อผ้าอยู่นะ และยังมีมือสองคู่ที่มีค่าหลายหมื่นล้านกำลังช่วยเธอซ่อมหลังคาบ้านอยู่เลยนะ เธอต้องสู้และหายเร็วๆ นะ ไม่อย่างนั้นไม่เพียงแค่ทำให้เธอเองผิดหวังอย่างเดียว และเธอยังทำให้พวกเราผิดหวังด้วยนะ”
เฉียวฉีหัวเราะ “คิๆ”
“ได้ หรือว่าเธอพักก่อนไหม ฉันซักเอง?”
จิ่งหนิงยกคิ้ว
“เธอแน่ใจเหรอ เสื้อผ้าเยอะขนาดนี้ เธอสามารถซักให้หมดก่อนพระอาทิตย์ตกเหรอ”
เฉียวฉีตอบตรงๆ “ซักไม่หมด”
“ก็นั่นนะสิ”
เธอยิ้มอ่อนๆ “แต่ก็ไม่ต้องท้อนะ ถึงแม้ท่านปู่ชิวจะทำให้พวกเราลำบากใจ แต่สัญชาตญาณบอกฉันว่าท่านไม่ใช่คนไม่ดี แค่เราทำตามใจของท่าน หลังจากนั้นท่านต้องเอาของให้พวกเราแน่นอน”
เฉียวฉีเงียบสักครู่
สักพัก ยิ้มอย่างพยายาม “จิ่งหนิง ขอบใจพวกเธอนะ”
จิ่งหนิงอึ้ง สังเกตเห็นสีหน้าของเธอและยิ้มพูดว่า: “เป็นอะไรเนี่ย เธออย่าคิดมากเลย พวกเราเป็นเพื่อนกัน ควรช่วยเหลือซึ่งกันและกันอยู่แล้ว”
เฉียวฉีพยักหน้า “อืม ฉันเข้าใจ”
ถึงแม้ปากจะพูดแบบนี้ แต่ในใจของเธอรู้ดี น้ำใจที่เธอกับกู้ซือเฉียนติดค้างจิ่งหนิงกับลู่จิ่งเซินในครั้งนี้คือติดค้างเยอะเลยทีเดียวจริงๆ
เพราะยังไงแล้ว เธอให้สองคนนี้ไปคุยเรื่องธุรกิจให้เธอไม่เป็นอะไรเลย นั่นคือสนามรบหลักของพวกเขา พวกเขาก็เป็นมือเก่าแล้วด้วย
แต่ตอนนี้คือให้พวกเขาไปขอร้องคนอื่นอย่างต่ำต้อย ยิ่งกว่านั้นคือช่วยคนอื่นซักเสื้อผ้าด้วยมือและซ่อมแซมหลังคา
น้ำใจนี้คืนยังไงก็คืนไม่หมด
เธอก้มหน้าก้มตาเล็กน้อย นิ้วมือจับเสื้อไว้แน่นๆ สักพักจึงหายใจเข้าลึกๆ คำหนึ่ง เริ่มซักไปแรงๆ
ซักตลอดจนถึงพระอาทิตย์ใกล้จะตกดิน เสื้อผ้าสี่ถังเต็มๆ ถึงซักจนหมดสิ้น
ลู่จิ่งเซินกับกู้ซือเฉียนก็ซ่อมหลังคาเรียบร้อยแล้วเช่นกัน เห็นเธอสองคนยังไม่ได้กลับไปก็มารับเธอสองคน
พอมาถึงจึงเห็นทั้งสองคนนอนอยู่บนโขดหินใหญ่ริมแม่น้ำอย่างไร้เรี่ยวแรง เห็นเขาสองคนเดินเข้าใกล้แล้ว จิ่งหนิงโบกมือให้พวกเขา
“เฮ้ย ทางนี้!”
สองคนวิ่งเร็วเข้ามา จิ่งหนิงชี้ไปที่เสื้อผ้าสี่ถังนั้น “พวกคุณยกเลย เราสองไม่มีแรงแล้ว”
ลู่จิ่งเซินเพิ่งสังเกตเห็นนิ้วมืออันเรียวเล็กและขาวนุ่มของจิ่งหนิงคู่นั้น เนื่องจากซักเสื้อผ้ามาครึ่งวันแล้ว ขณะนี้มือแช่น้ำจนซีดแล้ว
ผิวหนังเกิดรอยยับขึ้นมาเป็นเส้นๆ เนื่องจากแช่น้ำ อดเจ็บใจจนขมวดคิ้วไม่ไว้
จิ่งหนิงสังเกตเห็นสายตาของเขาได้ รีบซ่อนมือเอาไว้ทันทีและยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวพักผ่อนครู่หนึ่งก็จะหายดีแล้ว”
กู้ซือเฉียนมองเธอแวบหนึ่งอย่างลึกซึ้งและพูดว่า: “จิ่งหนิง น้ำใจครั้งนี้ผมจดจำไว้ในใจแล้ว”
จิ่งหนิงหรี่ตายิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “ได้เลย ฉันก็จำคำนี้ไว้แล้วเช่นกัน วันหลังถ้ามีเรื่องจะให้คุณช่วย เธอสองคนห้ามปฏิเสธเลยนะ”
“แน่นอน”
เห็นเธอสองคนพักผ่อนได้พอประมาณแล้ว ผู้ชายสองคนจึงต่างคนต่างถือเสื้อผ้าสองถังเดินกลับไปพร้อมกัน
ระหว่างทางเฉียวฉีถามว่า: “พวกคุณว่าตอนนี้พวกเรากลับไปแล้ว ท่านปู่ชิวจะเอาของให้พวกเราหรือไม่”
กู้ซือเฉียยิ้มอย่างเย็นชา “เขาให้ก็ต้องให้ ไม่ให้ก็ต้องให้”
ลู่จิ่งเซินก็พยักหน้าเห็นด้วยเช่นกัน “ใช่แล้ว ถึงแม้อันเนื่องมาจากพวกเราขอความช่วยเหลือจากเขา สิ่งที่เขาบอกพวกเราก็ทำเสร็จเรียบร้อยแล้วด้วย แต่เรื่องนี้จะตามใจเขาทุกอย่างไม่ได้ ดังคำกล่าวที่ว่าให้เริ่มจากธรรมเนียมมารยาทก่อน แล้วจึงค่อยยกกำลังเข้าประหัตประหาร จะสร้างความลำบากใจให้ผู้อื่นก็ต้องมีขีดจำกัด ถ้าถูกเขาดึงจมูกเดินไปจริงๆ จะกลับทำให้เสียงานซะงั้น”
จิ่งหนิงพยักหน้าเห็นด้วย
คนกลุ่มหนึ่งกลับมาถึงวิลล่าของท่านปู่ชิวแล้ว กำลังอยากเรียกเขาออกมาตรวจสอบ แต่กลับสังเกตได้ว่าในบ้านไม่มีคนอยู่เลย
ออกจากไปสอบถาม ถึงรู้ว่าเขาออกไปกะทันหันแล้ว
ทั้งสี่คนขมวดคิ้ว
จิ่งหนิงมองไปที่ลู่จิ่งเซิน “ตอนนี้ควรทำยังไงดี”
ลู่จิ่งเซินคุยกับตัวเองอย่างลังเลได้สักพัก “รอก่อนเถอะ เขาก็แค่ตาเฒ่าคนหนึ่ง ไปไม่ไกลหรอก ยังไงก็ต้องกลับมาอยู่ดี ไม่แน่อาจจะแค่ออกไปทำธุระข้างนอกกะทันหันเฉยๆ เดี๋ยวรอสักพักก่อนค่อยว่ากันดีกว่า”
พอสามคนได้ฟังแล้วก็ต่างพยักหน้ากัน
คนกลุ่มหนึ่งนั่งรออยู่ในห้องรับแขก
แต่การรอครั้งนี้กลับรอจนถึงเวลาสี่ทุ่มแล้ว
เห็นว่าท้องฟ้าข้างนอกสงบและมืดลงมาแล้ว ถ้ายังรอต่อไปอีกก็จะเลยเที่ยงคืนแล้ว แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของท่านปู่ชิวเลย
พวกเขาเพิ่งจะรู้สึกแปลกขึ้นมา
สีหน้าของกู้ซือเฉียนดูแย่มาก เดินไปเดินมาอยู่ในห้องรับแขก เนิ่นนาน พูดด้วยเสียงโมโหว่า: “ไอ้แก่นี่ถ้ากล้าหนีไป รอจับเขาได้แล้วผมจะตีขาของเขาให้ขาด”
จิ่งหนิงขมวดคิ้วและมองเขาแวบหนึ่ง