ถึงแม้ไม่ได้เดาถูกทั้งหมด แต่ก็ถูกต้องเกินครึ่งแล้ว
หรือว่านี่ก็คือเจตจำนงของสวรรค์
พอนึกถึงตรงนี้ เขาถอนหายใจคำหนึ่ง ยิ่งเงียบกว่าเดิม สูบยาเส้นของเขาต่ออย่างกลัดกลุ้ม
จิ่งหนิงมองเขาอย่างลึกซึ้ง ท่านปู่ชิวที่เงียบอยู่ยิ่งดูแก่หง่อมกว่าเดิม ทั้งหลังค่อมไว้ ดูน่าสงสารมากจริงๆ
นั่งได้สักพัก เธอลุกขึ้นมา
“ดึกแล้ว หนูก็ไม่รบกวนท่านพักผ่อนแล้ว ท่านปู่คิดพิจารณาให้ดีๆ เถอะ หนูรู้ว่าท่านไม่ใช่คนใจร้าย เจอคนลำบากแต่ไม่ช่วย เรื่องแบบนี้ถึงแม้ไม่ได้เพื่อทำบุญอะไร แต่ถ้าอยู่ในสังคมมันก็ไม่มีศีลธรรมอยู่ดี ท่านทำไม่ลงหรอก ที่ยิ่งกว่านั้นพวกหนูยังเป็นคนรุ่นหลังที่ถูกแนะนำมาจากเพื่อนเก่าของท่าน หนูรู้ว่าท่านมีเรื่องในใจที่พูดยาก ดังนั้นหนูจะไม่ทำให้ท่านลำบากใจ และไม่อยากบังคับท่านด้วย แค่หวังว่าท่านจะสามารถพิจารณาดูดีๆ คิดได้แล้วค่อยมาหาพวกหนู ถ้ามีเรื่องอะไรต้องการให้ช่วยท่านก็บอกมาเลย พวกหนูจะไม่ปฏิเสธแน่นอน”
เธอพูดไปด้วยค้อมตัวต่ำลงไปทางเขาเล็กน้อยด้วย คำนับครั้งหนึ่งจึงหันหลังจากไป
เงาของผู้หญิงค่อยๆ หายไปจากประตู
ท่านปู่ชิวสูบยาเส้นไปด้วย มองด้านที่จากไปของเธอไปด้วย ดวงตาขุ่นมัวคู่หนึ่งกลับค่อยๆ แดงขึ้นมา
ผ่านไปเนิ่นนานถึงหัวเราะเยาะใส่ตัวเอง
“อะยู่อ่า เธอดูสิ เหมือนเธอแค่ไหนเนี่ย ฉลาดเช่นนี้ เสียดายจริงๆ เลย!”
เขาถอนหายใจคำหนึ่งและส่ายหัว ในที่สุดก็ลุกขึ้นมาเดินไปห้องนอนที่อยู่ข้างหลัง
จิ่งหนิงและลู่จิ่งเซินคนกลุ่มหนึ่งเช่าลานบ้านครอบครัวเกษตรกรที่อยู่ในหมู่บ้านหนึ่งหลัง พออาศัยกล้อมแกล้มหนึ่งคืน
เวลานี้ดึกมากแล้ว และก็ไม่มีที่ไปดีๆ อย่างอื่น ตอนแรกที่พวกเขามาถึงยังนึกว่าเรื่องนี้จัดการได้ภายในวันเดียว จัดการเสร็จก็สามารถกลับไปในวันนั้นเลย เพราะฉะนั้นจึงไม่ได้เตรียมตัวจะอาศัยอยู่ที่นี่เลย ยิ่งไม่มีสัมภาระใดๆ เลย
ขณะนี้กลับรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดเลย ในพื้นที่ชนบทก็ไม่มีโรงแรมหรือห้องพักอะไรอยู่แล้ว
ยังดีที่คนที่นี่รู้ว่าพวกเขาเป็นคนรวยที่มาจากในเมือง แค่ยอมให้เงินก็ไม่ขาดสถานที่สามารถอาศัย แต่สภาพก็จะค่อนข้างแย่หน่อย
แต่มาถึงขนาดนี้แล้ว ก็ไม่มีอะไรน่ารังเกียจหรอก
คนกลุ่มหนึ่งพออาบน้ำทำความสะอาดเสร็จก็นอนหลับอย่างอิดออดแล้ว
วันถัดมา เมื่อจิ่งหนิงตื่นขึ้นมาแค่เจ็ดโมงเช้าอยู่เลย
สถานที่ชนบทมีไก่เยอะ ตีสี่ตีห้าก็เริ่มขันเอ้ก อี เอ้ก เอ้กแล้ว เธอไม่ชิน ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาตอนกลางคันหลายครั้งแล้ว หลังๆ มาลู่จิ่งเซินช่วยปิดหูให้เธอ จึงหลับลึกได้หลายชั่วโมง
เมื่อตื่นมาทั้งคนยังมึนๆ อยู่เลย
เฉียวฉีกับกู้ซือเฉียนก็ไม่ได้ดีไปถึงไหน
เมื่อวานกู้ซือเฉียนถูกท่านปู่ชิวแกล้ง เมื่อคืนก็นอนไม่ค่อยดี ตื่นมาเช้าตรู่ก็รู้สึกได้ว่าความกดอากาศในตัวผู้ชายคนนี้ยิ่งต่ำลงแล้ว เหมือนอยู่ใกล้ภายในสิบก้าวก็จะกลายเป็นน้ำแข็งอย่างนั้น
จิ่งหนิงยิ้มและยกอาหารเช้าเดินไปนั่งฝั่งตรงของเขากับเฉียวฉีหยอกล้อว่า: “อุ๊ย ถ้าไม่ใช่เห็นอากาศข้างนอก ฉันยังนึกว่าฤดูหนาวมาถึงแล้วนะเนี่ย ทำไมข้างตัวหนาวยะเยือกอย่างนี้”
เฉียวฉีรู้อยู่แล้วว่าเธอพูดอะไรอยู่ เม้มปากยิ้มและแอบส่งสายตาให้เธอ
จิ่งหนิงเข้าใจแต่ไม่ค่อยแคร์เท่าไหร่ กลับเป็นยิ่งอยากแกล้งกู้ซือเฉียนเล่น
“นี่ ฉันถามคุณหน่อย ถ้าวันนี้ท่านปู่ชิวยังไม่ยอมเอาของมาออกมาให้ คุณจะทำยังไง”
กู้ซือเฉียนกินข้าวต้มในปากอย่างไร้ความรู้สึกพร้อมพูดอย่างเย็นชาว่า: “มัดไว้ค้นเองเลย!”
จิ่งหนิงยกคิ้ว
ปรบมือ “ช่างเป็นความคิดที่ดีเลยเนาะ ใช่สิ ทำไมฉันคิดไม่ถึงเลยเนี่ย ท่านคนแก่คนหนึ่งอาศัยอยู่ที่นั่น สถานที่กว้างขนาดนั้น ของไม่อยู่กับตัวก็ต้องอยู่ในบ้าน แค่พวกเราค้นด้วยความอดทน ยังไงก็ต้องค้นออกมาแน่นอน กู้ซือเฉียน ดูไม่ออกเลยจริงๆ เก่งก็คือเก่ง วิธีโจรแบบนี้ก็มีแค่คุณที่คิดออกมาได้ นักธุรกิจจริงๆ จังๆ อย่างพวกเราแบบนี้คิดวิธีแบบนี้ออกมาไม่ได้หรอก…”
ยังไม่ทันพูดจบ ก็ได้รับสายตาแหลมคมอย่างเย็นชา
กู้ซือเฉียนมองเธออย่างสะพรึง “น้องเซเว่น กวนตีนอีกแล้วใช่ไหม”
สีหน้าของจิ่งหนิงเกร็งขึ้นมา
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเมื่อก่อนตอนที่เธอได้ยินกู้ซือเฉียนเรียกตัวเองว่าน้องเซเว่นยังไม่รู้สึกอะไร
ทีตอนนี้ฟังเข้าหูแล้วกลับฟังยังไงก็รู้สึกไม่สบาย ราวกับมีเหาติดตัว คันทั้งตัวอย่างนั้น
เธอยิ้มแห้งๆ ขอโทษขอโพยว่า: “ได้ ฉันผิดไปแล้ว บอสกู้ ท่านชายกู้ ท่านค่อยๆ กินนะ กินเสร็จแล้วพวกเราไปช่วยกันคิดวิธี แค่ของยังอยู่ ยังไงเขาก็ต้องเอาออกมาอยู่ดี”
กู้ซือเฉียนจึงฮื้อเสียงหนึ่งหนักๆ จากนั้นกินข้าวต่อ
ทุกคนกินข้าวเช้าเสร็จได้พอประมาณ จากนั้นก็ออกบ้านไปวิลล่าของท่านปู่ชิว
ยังไงท่านปู่ชิวก็อายุมากแล้ว นอนน้อย ตื่นเช้า
เมื่อพวกเขามาถึง ท่านปู่กำลังซ้อมกังฟูในลานบ้านอยู่เลย
ถึงแม้แปดสิบกว่าปีแล้ว อายุที่คนทั่วไปมักจะแม้แต่เดินยังไม่ค่อยแข็งแรง แต่ท่านปู่ชิวกลับสามารถกวัดแกว่งมีดาบอย่างผึ่งผาย กระเหี้ยนกระหือรือ ดูสนุกสุดยอดมากเลย
ทุกคนก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าเขาจะมีอุบายนี้ด้วย จิ่งหนิงนึกถึงตอนเช้าที่กู้ซือเฉียนบอกว่าจะมัดคนไว้แล้วค้นเองเลย ก็อดหันไปดูเขาและหัวเราะไม่ไหว
กู้ซือเฉียนรู้อยู่แล้วว่าเธอหัวเราะอะไรอยู่เลยจ้องเธอ
ลู่จิ่งเซินกลับขมวดคิ้ว ดึงจิ่งหนิงมาข้างตัวเอง
จิ่งหนิงพูดเบาๆ ว่า: “ทำไมเหรอ”
สีหน้าของลู่จิ่งเซินดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ รอท่านปู่ชิวยังกวัดแกว่งมีดาบอยู่ ถามเธอเบาๆ ว่า “คุณยิ้มมองเขาทำไม”
จิ่งหนิงตะลึง มีความงงเล็กน้อย “ฉันยิ้มแล้วทำไมเหรอ สมัยนี้ยิ้มยังผิดกฎหมายหรือไง”
“ฮ่า ใช่ผิดกฎหมาย ผิดกฎหมายของผม”
จิ่งหนิงอึ้ง เพิ่งเข้าใจได้ว่าเขาหมายความว่าอะไร
สงสัยผู้ชายคนนี้จะหึงแล้ว
อยู่ๆ ก็รู้สึกจะร้องไห้ก็ไม่ใช่จะหัวเราะก็ไม่ถูก ในเวลาเดียวกันในใจก็หวานราวกับใส่น้ำผึ้งอย่างนั้น
เธอจ้องเขาอย่างโมโห “อย่าพูดมั่ว นี่ฉันก็แค่แกล้งๆ เขาหน่อยนิ กว่าจะหาโอกาสจนได้ ให้ฉันแกล้งหน่อยไม่ได้เหรอ”
ลู่จิ่งเซินทำเสียงไม่พอใจเบาๆ สำหรับคำอธิบายนี้ของเธอ จะบอกว่าเห็นด้วยก็ไม่ใช่ แต่ก็รู้สึกว่าดีกว่าไม่ได้อธิบายอะไรเลย
จิ่งหนิงรู้ว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนขี้หึง และยังเป็นขั้นเทพอีกด้วย ถ้าทำให้โมโหจริงจะง้อยากมาก ทันใดนั้นจึงไม่ล้อเล่นอีกแล้ว ตั้งใจชมดูท่านปู่ชิวซ้อมกวัดแกว่งมีดาบ
อดพูดไม่ได้เลยว่าถึงแม้อายุของท่านปู่ชิวจะเยอะมากแล้วก็ตาม แต่ฝีมือการใช้มีดดาบคือดีจริงๆ
แม้แต่จิ่งหนิงกลุ่มนี้ โดยหลักแล้ว นอกจากคนอ่อนแออย่างจิ่งหนิงคนนี้แล้ว ที่เหลืออีกสามคนล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้หมด
โดยเรื่องกังฟูนี้ ดังคำกล่าวที่ว่าทำเป็นหนึ่งอย่างก็ทำเป็นได้ทุกอย่างแล้ว ถึงแม้ตัวเองจะไม่เป็น แต่แค่ดูก็ดูเทคนิคออกแล้ว
พวกเขาจำใจต้องยอมรับ ก่อนที่จะมาคือพวกเขาดูถูกท่านปู่ชิวแล้ว
พูดถึงแค่ฝีมือการใช้มีดดาบนี้ ถ้ามีอายุน้อยกว่านี้อีกสิบกว่าปีจริงๆ ไม่แน่พวกเขาอาจจะไม่ใช่คู่แข่งของเขาเลยด้วยซ้ำก็เป็นไปได้
พอนึกถึงตรงนี้ ในดวงตาของลู่จิ่งเซินก็อดเผยความชื่นชมออกมาไม่ได้
หลังจากรอท่านปู่ชิวฝึกซ้อมฝีมือการใช้มีดดาบเสร็จ ปรบมือขึ้นมาอย่างชื่นชมเป็นคนแรก