ข่าวการตั้งครรภ์ของจิ่งหนิง แพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว
คนในตระกูลลู่รู้กันทั้งหมดโดยธรรมชาติ ทางด้านตระกูลจี้ ก็ได้ข่าวแล้วเช่นกัน
จี้หยุนซูหาเวลามาเยี่ยมเธอโดยเฉพาะ ลุงหลานทั้งสองไม่ได้เจอกันนานแล้ว จึงคุยกันอย่างร้อนแรง
ตอนกลางวัน เดิมทีแล้วจิ่งหนิงอยากให้อยู่ทานอาหาร แต่ถูกจี้หยุนซูปฏิเสธ
เขามองเธอด้วยความรัก ยิ้มแล้วพูดขึ้น “ฉันหาเวลามาเยี่ยมเธอ กลางวันมีนัดกินข้าวกับเพื่อนคนหนึ่ง จะไม่กินข้าวที่นี่ เธอดูแลสุขภาพตัวเองให้มากๆ ระวังตรงท้องด้วย อย่าเหนื่อยเกินไป มีเรื่องอะไรก็โทรหาฉันได้ทุกเมื่อ”
จิ่งหนิงพยักหน้า และไม่ได้บังคับอีก ไปส่งเขาด้วยตัวเอง แล้วหันตัวกลับไป
ไม่คิดว่าหลังจากกลับไป ก้นยังนั่งไม่ทันร้อน ท่านปู่ลู่และนายหญิงหชิน พาลู่หลันจือคุณน้าของลู่จิ่งเซินมาด้วย
ปัจจุบันนี้เธอและลู่จิ่งเซินอาศัยที่วิลล่าเฟิงเฉียว ไปที่บ้านหลังเก่าไม่บ่อยนัก หนึ่งคือยุ่ง สองคือผู้อาวุโสสองท่านไม่เหมือนกับผู้อาวุโสทั่วไป ตอนกลางคืนรู้สึกโดดเดี่ยว พวกเขามีชีวิตเป็นของพวกเขาเอง ถ้าไม่มีเรื่องอะไร ก็ไม่ชอบให้ใครมารบกวน
ด้วยเหตุนี้ เธอกับลู่จิ่งเซินจึงไปเยี่ยมทุกอาทิตย์เท่านั้น แต่ปกติจะไม่ไปเยี่ยมที่บ้าน
ในเวลานี้ ผู้อาวุโสสองท่านมาด้วยกันเลย ใช้จมูกคิดก็รู้ว่าทำเพื่อเด็ก
จิ่งหนิงยิ้มขณะต้อนรับพวกเขาเข้ามา นายหญิงมองท้องของเธอ ทั้งๆ ที่ตรงนั้นมันยังแบนราบอยู่ มองอะไรไม่ออก หล่อนเหมือนมองเห็นเหลนของตัวเอง ยิ้มจนหุบไม่ได้
“โอ๊ย หนิงหนิง เธออย่าลุกขึ้นมา นั่งดีกว่า! ฉันจะบอกเธอให้ อย่าคิดว่าท้องลูกคนที่สองแล้วจะทำตามใจชอบได้ ผู้หญิงคลอดลูกน่ะก็คือการผ่านประตูผี แม้แต่ลูกคนที่สองก็ไม่ผ่อนคลายไปกว่าคนแรก”
จิ่งหนิงยิ้ม สั่งให้ป้าหลิวชงชา แล้วถามขึ้น “วันนี้พวกคุณมาได้ยังไงคะ?”
นายหญิงเหลือบมองเธอ “เด็กโง่ เธอมีข่าวดี เราไม่มาเยี่ยมได้เหรอ?”
ในเวลานี้ ลู่หลันจือที่ไม่พูดอะไรอยู่ตลอดก็พูดแทรก “ใช่ๆ เรามาเยี่ยมเธอโดยเฉพาะเพราะดีใจกับเธอ”
เมื่อก่อน ลู่หลันจือไม่ชอบจิ่งหนิง วางแผนร้ายกับเธออย่างลับๆ ไม่น้อย
แต่ผ่านมาหลายปี บางทีอาจจะเพราะไปมาหาสู่กันเป็นเวลานาน รู้ว่านิสัยจิ่งหนิงไม่ได้แย่อย่างที่เธอจินตนาการไว้ และบางทีเธออาจจะมองออก ความรักอันยาวนานของลู่จิ่งเซินและจิ่งหนิง เป็นไปไม่ได้ที่จะแยกจากกันแล้ว จึงยอมรับชะตากรรม
กล่าวสรุปคือสองสามปีมานี้ เธอไม่ได้พุ่งเป้าไปที่หล่อนเหมือนตอนแรกแล้ว บางครั้งค่อนข้างสนิทกันด้วยซ้ำ
จิ่งหนิงรู้ว่าพ่อแม่ลู่จิ่งเซินเสียชีวิตไปนานแล้ว ตอนเด็กคุณน้าคนนี้ก็ดูแลและช่วยเหลือสงเคราะห์ไม่น้อย แน่นอนว่าพายเรือตามน้ำอย่างสุขใจ
เธอเห็นลู่หลันจืออบอุ่นแบบนี้ ก็ยิ้มพูดขึ้น “ขอบคุณคุณน้ามากค่ะที่เป็นห่วง ลำบากแย่เลยที่พวกคุณมา เราก็เพิ่งรู้ข่าวเมื่อสองวันก่อนเองค่ะ หมอบอกว่าเด็กสบายดี แค่ต้องบำรุงครรภ์อย่างสบายใจก็พอ ไม่ต้องกังวลมากเกินไป”
นายหญิงพยักหน้าซ้ำๆ “งั้นก็ดีแล้ว งั้นก็ดีแล้ว”
ขณะที่พูด ก็ถามอย่างเป็นห่วงอีกครั้ง “อายุเท่าไรแล้ว?”
จิ่งหนิงตอบ “เพิ่งหกสัปดาห์ค่ะ”
“อุ๊ยตาย หกสัปดาห์แล้ว ทำไมเพิ่งรู้ล่ะ?”
ลู่หลันจือตะโกนเสียงดังขึ้นมา “รู้ไหมว่าสามเดือนแรกมันอันตรายที่สุดเลย ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาจะทำยังไง?”
เมื่อพูดคำนี้ออกไป นายหญิงก็ไม่พอใจทันที
หันศีรษะไปจ้องเธอ “เกิดเรื่องอะไร? จะเกิดเรื่องอะไรได้? เธออย่าประหม่าได้ไหม สามเดือนอันตรายที่สุดอะไร พูดเหมือนเธอเคยคลอดอย่างนั้นแหละ”
“ฉัน……”
ลู่หลันจือโกรธมาก ถึงเธอจะเคยแต่งงาน แต่เพราะไม่ลงรอยกับสามี เลิกกันไปตั้งนานแล้ว ตอนนี้โสด อย่าว่าแต่คลอดลูก ไม่เคยคิดเรื่องนี้เลย
ตอนนี้นายหญิงเอาเรื่องนี้มาทำให้เธอไม่ชอบใจ เห็นได้ชัดว่าปากพูดว่าไม่ตั้งใจ แต่คนฟังคิดมาก
เห็นขอบตาเธอเหมือนแดงก่ำขึ้นมา จิ่งหนิงรีบยิ้มไกล่เกลี่ย “ถึงคุณน้าจะไม่เคยคลอด แต่ก็เคยเห็นมาเยอะมากนี่คะ อีกอย่างจิ่งหนิงก็เป็นคนที่คุณน้าเลี้ยงจนโตมานี่หน่า ด้านนี้แน่นอนว่าเธอต้องเข้าใจมากกว่าฉัน ฉันเข้าใจความเป็นห่วงของคุณน้าค่ะ”
จิ่งหนิงอธิบายเช่นนี้ สีหน้าลู่หลันจือก็ผ่อนคลายลงนิดหน่อย
รวมถึงคนที่พูดคำนี้เป็นแม่อาวุโสของเธอ นายหญิงหชิน เธอไม่กล้าเถียงจริงๆ
ด้วยเหตุนี้จึงทำเสียงฮึดฮัดเบาๆ แสร้งทำเป็นโกรธ “แม่ คุณดูสิ หนิงหนิงพูดจาเป็น”
นายหญิงตอบเรียบๆ “หล่อนคำนึงถึงเกียรติของเธอ เธอคิดว่าทุกคนเป็นเหมือนเธอหรือไง แก่ป่านนี้แล้วยังไม่ทำสิ่งที่ควร ให้เธอไปหาผู้ชายมาแต่งงาน เธอก็ไม่ยอม เอาแต่อยู่กับคนไม่ได้เรื่องทั้งวัน มันเหมือนอะไร!”
คำพูดของนายหญิง ทำให้สีหน้าผ่อนคลายของลู่หลันจือในตอนแรก มืดมนลงทันที
เธอยืนขึ้น พูดขึ้นอย่างสะเทือนใจ “แม่ นี่แม่พูดอะไร? อะไรคือคนไม่ได้เรื่อง?”
นายหญิงสีหน้าไม่เปลี่ยน น้ำเสียงแฝงด้วยความดูถูกอย่างเห็นได้ชัด “ดาราต๊อกต๋อยสองคนนั้นที่เธออยู่ด้วยคราวก่อนไง ไม่ใช่คนไม่ได้เรื่องเหรอ?”
“พวกเขาเป็นนักแสดง! มีฝีมือแสดงดีมาก! แม่ แม่ไม่รู้แล้วอย่าพูดมั่วๆ!”
“ฝีมือแสดงดีเหรอ? เฮอะ ทำไมฉันไม่เคยเห็นพวกเขาแสดงอะไรเลย? คนประเภทนี้ไม่มีดีอะไรหรอก เธอใช้เวลากับพวกมันน้อยๆ หน่อย”
ขณะที่เธอพูด ราวกับตระหนักอะไรบางอย่างได้ ก็ยิ้มตาหยีให้กับจิ่งหนิงแล้วพูดอธิบายหนึ่งประโยค “ฉันหมายถึงนักแสดงต๊อกต๋อยที่ไม่ถ่ายหนังดีๆ วันๆ เอาแต่ยั่วยวนเจ้าชู้ ไม่ได้ว่าเธอนะ”
จิ่งหนิงยิ้ม แน่นอนว่าเธอเข้าใจความหมายของนายหญิงหชิน
ความจริงแล้วเธอก็เคยเจอหลายครั้ง ลู่หลันจืออยู่กับหนุ่มน้อยคนหนึ่ง เพราะเหตุผลการทำงาน หนุ่มน้อยคนนั้นเธอก็รู้จักเช่นกัน เหมือนเป็นนักแสดงหน้าใหม่ที่มีชื่อเสียงอยู่บ้างในละครออนไลน์เมื่อปีก่อน
นิสัยเป็นอย่างไร เธอไม่เคยติดต่อด้วยก็พูดอะไรไม่ได้ แต่ลู่หลันจือปีนี้อายุสี่สิบกว่าแล้ว หนุ่มน้อยคนนั้นแค่ยี่สิบต้นๆ ด้วยนิสัยและทัศนคติของลู่หลันจือ ถ้าบอกว่าอีกฝ่ายชอบวิสัยทัศน์และนิสัยหล่อน เธอไม่เชื่อจริงๆ
แต่อย่างไรแล้วเหล่านี้เป็นเรื่องส่วนตัวของเธอ รวมถึงสถานะของลู่หลันจือ ถ้าเธอต้องการเลี้ยงหนุ่มหน้าขาวสักสองสามคนจริงๆ ก็ไม่เป็นอะไร
ด้วยเหตุนี้ เธอจึงไม่พูดอะไรมาก
จิ่งหนิงยิ้มขณะเปลี่ยนหัวข้อ “คุณย่า ช่วงเวลาที่ฉันท้อง อาจจะดูแลอานอานและจิ้งเจ๋อไม่ได้ ถึงตอนนั้นอาจจะต้องการความช่วยเหลือพวกคุณหน่อยนะคะ”
นายหญิงยิ้มแล้วพูดขึ้น “นี่มันคำพูดอะไร ครอบครัวเดียวกัน การช่วยเหลือเป็นสิ่งที่ควรทำ”
ขณะที่เธอพูด ก็ยิ้มตาหยีลูบมือหล่อน “ฉันรู้ เธอต้องทำงาน แถมยังท้อง และต้องดูแลลูกสองคน ต้องยุ่งมากแน่ๆ รวมถึงลูกเสียงดังโวยวาย จะมีผลกระทบต่อการบำรุงครรภ์ของเธอเหมือนกัน เอาแบบนี้แล้วกัน อีกสักพักฉันจะรับจิ้งเจ๋อและอานอานไปที่บ้านหลังเก่า เธอแค่ดูแลสุขภาพให้ดีก็พอ”
จิ่งหนิงกลับส่ายหน้า
“ไม่ต้องหรอกค่ะ คุณย่า คุณช่วยฉันรับอานอานไปดูแลสักพักก็พอแล้ว ส่วนจิ้งเจ๋อ ให้เขาอยู่ที่นี่ก็ได้ค่ะ”