จิ่งหนิงมองซี่โครงหมูในชามตัวเอง ก็ยิ้มพูดขึ้น “ตอนนี้ไม่โกรธแล้วเหรอ?”
อานอานหน้าแดงเขินอายเล็กน้อย ลู่จิ่งเซินจ้องมองเธอ
“ลูกฟังคนอื่นพูดไร้สาระ”
จิ่งหนิงกระแทกแขนเขา บ่งบอกเขาว่าอย่าทำให้ลูกตกใจกลัว จากนั้นก็ตักซี่โครงหมู่ชิ้นนั้นมากินหนึ่งคำ
“อืม ซี่โครงหมูที่อานอานเราตัก มันอร่อยกว่าชิ้นอื่น”
อานอานได้ยินดังนั้น ก็ยิ้มขึ้นมาอย่างสุขใจ
ตักอาหารให้เธอเพิ่มอีกหลายอย่าง จิ่งหนิงขำเธอจนสุขใจอย่างยิ่ง อารมณ์ก็ดีขึ้นไม่น้อย อาหารเย็นก็ทานเพิ่มขึ้นอีกครึ่งชามเล็ก
ทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว เธอก็โทรไปหาทานด้านบ้านหลังเก่า บอกพวกเขาว่าอานอานไม่ไปแล้ว
เธอก็ไม่ได้บอกเหตุผลละเอียด กลัวพูดมากไปแล้ว ผู้อาวุโสทั้งสองท่านจะกังวล แค่บอกว่าอานอานไม่อยากไป อยู่ที่นี่ก็โอเค ถ้าดูแลไม่ไหวจริงๆ ถึงตอนนั้นค่อยเชิญแม่นมสองคนมาดูแลพวกเขา
ท่านปู่และนายหญิงเห็นว่าเป็นเช่นนี้ ก็ไม่ได้ยืนกรานต่อ
วันต่อมาตอนเช้าตรู่ จิ่งหนิงเพิ่งส่งอานอานออกไปเรียนเปียโน ก็ได้ยินว่าลู่หลันจือมาอีกแล้ว
จิ่งหนิงรู้ว่าทำไมหล่อนถึงมา หลังจากกลับไปถึงห้องรับแขก อย่างที่คิดไว้ ก็เห็นหล่อนกำลังนั่งโซฟา กำลังรอเธอด้วยใบหน้าคาดหวัง
“หนิงหนิง เธอกลับมาแล้วเหรอ อานอานไปเรียนแล้วเหรอ?”
จิ่งหนิงยิ้มเยาะเดินไป “อืม วันนี้คุณน้ามาอีกทำไมคะ?”
ลู่หลันจือมองเธออย่างตำหนิ “ดูเธอพูดสิ นี่คำพูดอะไร? นี่บ้านหลานชายฉันนะ มันมามันผิดเหรอ?”
จิ่งหนิงยิ้มเรียบๆ “แน่นอนว่าไม่ผิดค่ะ คุณน้าเชิญนั่ง”
ลู่หลันจือถึงได้นั่งลง
หลังจากนั่งลง ก็ลังเลสักพักหนึ่ง “คือ……หนิงหนิง เมื่อวานฉันผิดไปแล้ว ฉันใจร้อนก็เลยพูดไม่ดีออกไป เธอจะไม่โทษฉันใช่ไหม?”
จิ่งหนิงยกถ้วยชาขึ้นมาจิบหนึ่งอึก แล้วพูดเสียงเรียบ “คุณน้าเป็นผู้ใหญ่ ฉันไม่โทษคุณอยู่แล้วค่ะ”
ลู่หลันจือได้ยินดังนั้น ก็โล่งใจ
“แล้วเรื่องเงิน……”
“ฉันบอกจิ่งเซินแล้ว เขายอมให้คุณยืมเงินค่ะ”
ขณะที่จิ่งหนิงพูด ก็หยิบเช็กหนึ่งใบออกมา “นี่ร้อยล้านที่คุณต้องการ หวังว่าครั้งนี้คุณน้าจะลงทุนได้อย่างราบรื่น ชนะตั้งแต่ยกแรก”
ลู่หลันจือรีบยิ้มขณะรับมา แล้วพยักหน้าซ้ำๆ
“ได้ๆๆ ขอบคุณสำหรับคำอวยพร รอฉันทำเงินได้ต้องมีของเธอแน่ๆ”
เธอยืนขึ้นมา “งั้นไม่มีอะไรแล้วฉันไปก่อนนะ ฉันยุ่งอยู่ล่ะ”
จิ่งหนิงพยักหน้า ก่อนจะมองตามหลังเธอออกไป
หลังจากเธอไปแล้ว ป้าหลิวก็เดินมา ค่อนข้างไม่พอใจ
“คุณนาย คุณก็ใจดีมาก คุณนายกูวยุให้คุณกับคุณหนูใหญ่แตกคอกันขนาดนั้น คุณยังให้เธอยืมเงินอีก”
จิ่งหนิงพูดเรียบๆ “ยังไงเธอก็เป็นคนตระกูลลู่ แต่ก่อนเธอก็ลำบากเพื่อลู่จิ่งเซินก็ควรได้อะไรดีๆ บ้าง เงินร้อยล้าน ก็ให้เธอไปเถอะ”
ป้าหลิวเห็นเธอพูดแบบนี้ ก็ไม่รู้จะพูดอะไรอีกไปชั่วขณะหนึ่ง
จึงเก็บของแล้วลงไป
และในขณะนี้ อีกด้านหนึ่ง
สุดท้ายลู่หลันจือก็ได้เงินมา ก็ออกจากวิลล่าเฟิงเฉียวอย่างมีความสุข
เมื่อออกมา ก็รับโทรศัพท์สายหนึ่ง
“ฮัลโหล พี่หลันจือ พี่อยู่ที่ไหนอ่ะ? สมาคมพนันหินวันนี้พี่ยังไปไหม?”
ลู่หลันจือยิ้มพูดขึ้น “ไปแน่นอน นายอยู่ไหน ฉันจะไปรับนาย”
“ได้สิ ผมจะส่งที่อยู่ไปในโทรศัพท์พี่”
“โอเค”
วางสายไป เธอมองที่อยู่ในโทรศัพท์ก่อนจะขับรถไปที่นั่น
ครึ่งชั่วโมงต่อมา เธอก็มารับเขาที่ด้านนอกก๋วเม่า
นั่นคือชายหนุ่มรูปหล่อคนหนึ่ง ดูแล้วแค่ประมาณยี่สิบปี
เมื่อเห็นเธอ เขาก็ทำหน้ายิ้มหวาน “พี่หลันจือ ในที่สุดพี่ก็มา ผมรอพี่ตั้งนานล่ะ”
ลู่หลันจือมองคร่าวๆ แน่ใจแล้วว่ารอบๆ ไม่มีคนรู้จักเดินผ่าน ก็โบกมือให้เขา “แล้วนายยังอึ้งอยู่ทำไม? รีบขึ้นรถ!”
หลังจากขึ้นรถ ผู้ชายคนนั้นก็ยิ้มหน่อมแน้มให้เธอ “พี่หลันจือ ผมได้ยินว่าสมาคมพนันหินวันนี้ คนที่มาเป็นคนสุดยอดๆ ทั้งนั้นเลย พี่รู้ไหมว่ามีใครบ้าง?”
ลู่หลันจือหัวเราะอย่างดูถูก “จะมีใครได้ล่ะ ก็คนพวกนั้นไม่ใช่เหรอ? จะสุดยอดแค่ไหนเชียว?”
สิ่งที่ชายหนุ่มชอบมากที่สุดก็คือท่าทางของเธอที่วางแผนไว้เป็นอย่างดี ยิ้มตาหยีพูดขึ้น “ถ้างั้นวันนี้เราไป จะต้องชนะรางวัลใหญ่กลับมา!”
ลู่หลันจือชะงัก หันศีรษะไปมองเขา
“ฉันบอกแล้วไง วันนี้เราไปดูเฉยๆ ฉันไม่เล่นพนัน”
ชายหนุ่มตกใจมาก “ฮะ? สมาคมพนันหิน พี่ไม่พนันหินแล้วจะไปทำอะไร?”
ลู่หลันจือส่ายหน้า “นี่นายไม่เข้าใจเหรอ เฮอะ! แต่ไม่เป็นไร ตอนนี้ฉันยังไม่อยากบอกนาย ถึงเวลานายจะรู้เอง”
ขณะที่ทั้งสองคุยกัน ไม่นานก็ขับรถมาถึงจุดหมายปลายทาง
ตั้งแต่คราวก่อนที่ลู่หลันจือพนันหินจนเกือบทำให้ครอบครัวล่มจม นายหญิงหชินจึงกระจายข่าวออกไปข้างนอก สถานที่จัดงานพนันหินจึงไม่อนุญาตให้เธอเข้าไป
ด้วยเหตุนี้ มันก็นานมากแล้วที่ลู่หลันจือไม่ได้มาสถานที่แบบนี้
ครั้งนี้ ได้ยินว่าผู้อยู่เบื้องหลังที่จัดสมาคมพนันหินเป็นคนจีนที่กลับมาจากต่างประเทศ เดาว่าคงไม่รู้กฎเกณฑ์นี้ เธอหาบัตรมาได้สองใบโดยผ่านมาหลายมือ สามารถเข้างานได้
แต่ลู่หลันจือก็ไม่ได้โง่ พนันหินเธอก็เคยเล่นแล้ว รู้ว่ามันเป็นอย่างไร ปัจจุบันนี้เธอก็ไม่ได้สนใจสิ่งนี้เท่าไรนัก สิ่งที่เธอสนใจมากกว่าก็คือ หินล็อตนี้ของพวกเขามันส่งมาจากที่ไหน
ช่วงนี้เธอชอบเหมืองแร่ แต่อยู่ระหว่างการสำรวจ วันนี้ที่เธอมาก็คืออยากสอบถามดูว่าทางด้านนั้นมันเป็นอย่างไร
ทั้งสองเข้าสถานที่มา ด้านในเสียงคนดังวุ่นวายมาก
ลู่หลันจือหาตำแหน่งตัวเองแล้วนั่งลง พูดกับชายหนุ่มที่อยู่ข้างกายว่า “เห้อหยวน เดี๋ยวสักพักนายช่วยฉันดูหน่อย ดูว่าพวกเขานำหินมาจากไหน?”
เห้อหยวนขมวดคิ้ว “แล้วผมจะมองออกได้ไง?”
ลู่หลันจือจ้องมองเขา “ถ้าตามองไม่ออก ก็ใช้หูฟังไม่ได้เหรอ คนเยอะขนาดนี้ ต้องมีคนหลุดพูดออกมา สนใจหน่อยก็พอแล้ว”
เห้อหยวนถึงพูด “อ่อ” อย่างอุดอู้
อย่างไรแล้วที่นี่ก็คือสมาคมพนันหิน เพราะหินในวันนี้ว่ากันว่าน่าประทับใจ เกณฑ์การเข้าร่วมก็เพิ่มขึ้นอย่างสอดคล้องกัน
ทุกคนกว่าจะได้บัตรเข้าชมงาน จะนั่งข้างๆ อยู่เฉยๆ ให้เสียเวลาได้อย่างไร?
ด้วยเหตุนี้ ทั้งสองคนจึงนั่งพื้นที่พักผ่อนนานมาก แต่ไม่มีใครมา
เห้อหยวนเห็นบริเวณพนันหินที่อยู่ไม่ไกล ดึงแขนเสื้อขึ้น “พี่หลันจือ พี่ดูทางนั้นคนเยอะมาก ถ้าพี่จะไปถามข้อมูล เราไม่ควรนั่งตรงนี้หรือเปล่า ควรไปเดินเล่นตรงนั้นหน่อยไหม?”
ลู่หลันจือเงยมอง แล้วชำเลืองมองเห้อหยวนอีกครั้ง
มุมปากเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “นี่นายจะช่วยฉันสอบถามข้อมูล หรืออยากไปเล่นพนันเอง?”
แผนการเล็กๆ ในก้นบึ้งจิตใจถูกแฉ เห้อหยวนก็เบ้ปากแสร้งทำเป็นโกรธ “พี่หลันจือ ผมเปล่า……”
“เอาเถอะ” ลู่หลันจือขัดคำพูดเขาแล้วลุกขึ้น “ในเมื่อนายอยากไปดู งั้นฉันก็จะไปดูเป็นเพื่อนนายหน่อยแล้วกัน แต่ตกลงกันแล้วนะ วันนี้ซื้อได้แค่หนึ่งชิ้น ช่วงนี้เงินฉันช็อต มีเงินไม่มากพอที่จะให้นายไปใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย”
รอยยิ้มสุขใจปรากฏบนใบหน้าเห้อหยวนทันที ลุกขึ้นจับมือเธอไว้ “ผมรู้แล้ว ขอบคุณครับพี่หลันจือ