จิ่งหนิงไม่ได้บอกความคิดของตัวเองออกมา
ถึงอย่างไรเธอกับเจ้านายหยูคนนี้ก็ไม่คุ้นเคยกันเท่าไหร่ ไม่รู้เหมือนกันว่าอีกฝ่ายเป็นคนยังไงด้วย
ลู่หลันจือไว้ใจไม่ได้ ขนาดคนที่เธอรู้จักดีหรือชั่วเธอเองยังบอกไม่ได้เลย ไม่สามารถได้ข้อมูลที่มีค่าเท่าไหร่จากเธอได้เลย
พอคิดแบบนี้แล้ว จิ่งหนิงพูดเสียงต่ำว่า: “ในเมื่อหยกแขวนตัวนี้เป็นของเธอ ก็ขอเจ้านายหยูช่วยเชิญเพื่อนคนนี้ออกมาเจอหน่อยเถอะ ฉันจะได้เอาของคืนให้เธอต่อหน้า”
เจ้านายหยูพยักหน้า
ถึงแม้รู้สึกว่าท่าทีของจิ่งหนิงดูแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก
ไม่นานเขาก็โทรหาโม่ไฉ่เวยและอธิบายเรื่องนี้ให้ฟังแล้ว
โม่ไฉ่เวยเพิ่งกลับไปได้ไม่นาน ไม่คิดว่าต่อมาก็ได้รับสายจากเจ้านายหยูแล้ว
หลังจากที่รู้ว่าหาหยกแขวนตัวนั้นเจอแล้วก็ได้ดีใจอย่างยิ่ง
“จริงเหรอ หาเจอเร็วขนาดนี้เลยเหรอ”
“ก็ใช่นะสิ ตอนนี้คนเขากำลังอยู่ที่ห้องรับแขกในงานนี้อยู่ รอส่งของคืนให้คุณต่อหน้าอยู่เลยนะ พวกคุณรีบมาเถอะ”
โม่ไฉ่เวยตื่นเต้นจนพยักหน้าไม่หยุด “ได้ ฉันจะรีบมา”
หลังจากวางสายลง เชวซู่รู้สึกมีอะไรบางอย่างแปลกๆ
“ไฉ่เวย ทำไมหาเจอเร็วขนาดนี้ หรือว่าคุณลู่คนนั้นสามารถโทรจิตกับพวกเราได้ วินาทีที่แล้วรู้ว่าเราจับเธอได้บนกล้องวงจรปิดแล้ว วินาทีต่อมาก็รีบเอาของมาส่งคืนเราแล้ว?”
โม่ไฉ่เวยมองบนให้กับเขา
“อะซู่ คุณอย่าเอาใจคนต่ำต้อยวัดท้องสุภาพบุรุษสิ ไม่แน่อาจจะเป็นหลังจากที่คุณลู่คนนั้นเก็บของได้แล้วก็อยากจะเอาของมาคืนให้เรามาตลอด แต่เนื่องจากว่าตอนนั้นมีเรื่องด่วนต้องรีบไป แต่ไม่ไว้ใจเอาให้เจ้านาย วันนี้มีเวลาว่างแล้วจึงตั้งใจเอาก็ได้? เราเป็นคนก็ต้องมีจิตใจที่ดี อย่าเอะอะก็เดาว่าคนอื่นเป็นคนร้ายสิ”
ที่เชวซู่หมดหนทางที่สุดก็คือจุดนี้ของเธอ
ใจดีและมองโลกในแง่ดีเกินไปแล้ว
ไม่ว่าเคยผ่านเรื่องไม่มีความเป็นธรรมมามากแค่ไหนแล้ว ใจดวงนั้นก็เป็นแบบนั้นมาตลอด ครั้งแรกมักจะคิดว่าอีกฝ่ายเป็นคนดีตลอด ไม่เคยไปสงสัยคนอื่นในแง่ลบเลย
แบบนี้ถ้าพูดให้น่าฟังแล้วเรียกว่าใสซื่อ ถ้าพูดไม่น่าฟังหน่อยก็คือโง่
เฮ้อ แล้วทำอะไรได้อีกล่ะ
ข้อเสียของเธอคือจุดนี้ แต่ที่ตัวเองรักเธอ ก็เพราะรักจุดนี้ของเธอไม่ใช่เหรอ
นิสัยของเขาเรียบง่ายมาก หลายปีนี้ตั้งใจศึกษาวิจัยทางการแพทย์มาตลอด ไม่ชอบหลักครองตนในสังคมที่ยุ่งยากเกินไป หวังแค่สามารถใช้ชีวิตอยู่กับคนข้างกายอย่างเรียบง่ายตลอดไป
ส่วนโม่ไฉ่เวย ก็คือคนที่มีจิตใจอันเรียบง่ายที่สุดบนโลกใบนี้เท่าที่เคยเจอมา
เชวซู่ได้แต่จำใจพาเธอออกบ้าน
ไม่นานสองคนก็มาถึงงานแล้ว
อยู่ข้างนอกห้องรับแขกก็ได้ยินเสียงหัวเราะดั่งกระดิ่งของผู้หญิงดังออกมาจากข้างในแล้ว
“อุ้ย เจ้านายหยู อดพูดไม่ได้เลยว่าพวกเราคือใจตรงกันเลยจริงๆ คิดถึงเรื่องเดียวกันเลย ฉันจะบอกคุณนะ คุณอยากทำการค้าขายในประเทศจีน ถ้าไม่มีตระกูลลู่เราสนับสนุน มันจะลำบากในหลายๆ ด้านเลยนะ แต่ถ้ามีพวกเราตระกูลลู่ มันก็จะเหมือนเสือติดปีก ประสบความสำเร็จได้อย่างพรวดพราดแล้ว”
โม่ไฉ่เวยยิ้มอย่างจำใจ เงยหัวขึ้นมาพูดกับเชวซู่ว่า: “เป็นคุณลู่จริงๆ”
เชวซู่พยักหน้า ผลักประตูออกมา สองคนเดินเข้าไปด้วยกัน
จิ่งหนิงกำลังนั่งอยู่ตรงนั้น ดื่มชาไปด้วย ฟังลู่หลันจือขี้โม้ไปด้วย
ลู่หลันจือคนนี้นะ ความจริงแล้วก็ไม่เชิงว่าเลว จริงๆ แล้วใจของเธอก็เรียบง่ายมาก
ก็แค่มีความโลภเล็กน้อย ชอบคุยโม้โอ้อวดความดีความเก่งกล้าของตนเล็กน้อย บวกกับเห็นแก่ตัวเล็กน้อย
ส่วนอย่างอื่นก็ไม่ค่อยมีปัญหาอะไรมาก ถ้าจะให้เธอไปทำเรื่องใส่ร้ายคนอื่นด้วยตัวเองจริงๆ เธอไม่มีความกล้านั้นแน่นอนอยู่แล้ว
แต่ถ้าสมมติว่ามีคนใส่ร้ายคนที่เธอไม่ชอบอยู่ และเธอก็มีโอกาสไปเพิ่มเพลิงอีก
งั้นเธอต้องเป็นเพลิงที่ลุกวูบวาบที่สุดแน่นอน เผาคนอื่นให้ตายเลยดีที่สุด
เพราะฉะนั้นไม่สามารถใช้ดีหรือชั่วอย่างเดียวมาบรรยายเธอคนนี้ ไปมาหาสู่กันมาหลายปีนี้ เธอก็ถือว่าเข้าใจได้ดีแล้ว รู้ว่าจริงๆ แล้วเธอคนนี้ก็แค่นั่นแหละ
ภายนอกยิ่งแยกเขี้ยวยิงฟันแค่ไหน ความเป็นจริงข้างในยิ่งว่างเปล่าและหวาดกลัว
จิ่งหนิงกำลังดื่มชาอยู่ หางตาจู่ๆ เหลือบไปมองเห็นมีคนหนึ่งเข้ามาตรงประตู
เธอรีบเม้มปากทีหนึ่งและวางแก้วลงมา
แต่พอเลยหัวขึ้นมาก็ตะลึงอย่างหนัก
ลู่หลันจือลุกขึ้นมา
“คุณโม่กับคุณหมอเชวมาแล้ว รีบมานั่งสิ ฉันกำลังคุยกับเจ้านายหยูอย่างสนุกอยู่เลยนะ!”
โม่ไฉ่เวยกับเชวซู่เดินไป นั่งลงบนโซฟาตรงข้ามพวกเธอ
โม่ไฉ่เวยหัวเราะเบาๆ ว่า: “เจอกันอีกแล้ว คุณลู่ ได้ข่าวว่าคุณเก็บหยกแขวนที่หายไปของฉันได้ใช่ไหม”
ลู่หลันจือยิ้มพยักหน้า “ใช่ๆๆ พูดถึงเรื่องนี้แล้ว ทำไมคุณไม่ระมัดระวังอย่างนี้เนี่ย ยังดีที่ฉันเป็นคนเก็บได้ ถ้าเป็นคนอื่นที่เก็บไปได้ คุณลองดูสิว่าเขายังจะคืนให้คุณอีกไหม”
โม่ไฉ่เวยยิ้มพยักหน้า “คุณลู่พูดถูก ขอบพระคุณมากๆ เลย”
ลู่หลันจือถูกเธอประจบสอพลออย่างพอใจอย่างยิ่ง หันหน้ากลับไปดูที่จิ่งหนิง
“หนิงหนิง เอาของออกมาเลย”
แต่จิ่งหนิงกลับไม่ดิ้นเลย
เธอก็เหมือนกับกลายเป็นหินแล้วอย่างนั้น จ้องตาโตดูผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้า ทั้งคนราวกับรูปปั้น
ลู่หลันจือตะลึงและขมวดคิ้ว
“หนิงหนิง?”
เธอยื่นมือออกไปผลักจิ่งหนิง “เธอดูอะไรอยู่เนี่ย รีบเอาหยกแขวนออกมาคืนให้เขาสิ!”
จิ่งหนิงเกิดหวนนึกขึ้นมาได้
สีหน้าของเธอขาวซีดเล็กน้อย ถ้าสังเกตดีๆ ยังสามารถเห็นแสงจากน้ำตาอันแพรวพราวที่อยู่ในดวงตาดั่งน้ำใสในฤดูใบไม้ร่วงนั้นได้อีกด้วย
“ป้า” เธอเรียกออกเสียงเบาๆ เสียงมีความแหบเล็กน้อย
ลู่หลันจือตกใจกับท่าทางอกสั่นขวัญหายอย่างนี้ของเธอมาก รีบลุกขึ้นมาเดินไปข้างเธอทันที พูดอย่างตื่นเต้นว่า: “หนิงหนิง นี่เธอเป็นอะไรเหรอ เธออย่าทำให้ฉันกลัวสิ!”
จิ่งหนิงทำตัวให้ตึง หันหน้าอย่างเครื่องจักร ดูโม่ไฉ่เวยที่อยู่อีกฝั่ง
โม่ไฉ่เวยถูกเธอมองจนรู้สึกงงมาก จึงหันหน้าไปใช้สายตาสงสัยมองเชวซู่ เห็นสีหน้าของเชวซู่ก็มึนงงเช่นกัน ทีนี้ถึงกับขมวดคิ้วขึ้นมา
“คุณ…เป็นอะไรหรือเปล่า”
เธอหยั่งเชิงถามอย่างเป็นห่วง
จิ่งหนิงตัวสั่นอย่างแรง
จู่ๆ เธอลุกขึ้นมา เดินไปทางโม่ไฉ่เวยทีละก้าวๆ
การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างตกใจกัน แม้แต่เจ้านายหยูก็ลุกขึ้นมายืนแล้ว
โม่ไฉ่เวยกับเชวซู่ก็ลุกขึ้นอัตโนมัติแล้วด้วย
อาจเป็นเพราะสัมผัสลมหายใจเศร้าโศกอันใหญ่หลวงที่ออกจากตัวเธอได้ สีหน้าของโม่ไฉ่เวยมีการเปลี่ยนแปลง และแอบมีความขาวซีดเล็กน้อยด้วย
เธอจับมือของเชวซู่ไว้ ไม่รู้ทำไม เมื่อมองตาของจิ่งหนิง ในใจเธอมีความรู้สึกเจ็บปวดแบบอึดอัดอย่างหนึ่งที่มิอาจอธิบายออกมาได้
เหมือนมีคนเอาหินก้อนใหญ่มาทับไว้ตรงหน้าอกของเธออย่างนั้น กดเธอจนไม่สามารถหายใจออกได้
“อะซู่” เธอเรียกเบาๆ
เชวซู่กอดเธอเข้ามาในอ้อมแขนอย่างระวังตัว มองจิ่งหนิงที่อยู่ตรงข้ามและปลอบโยนว่า: “ไม่ต้องกลัว ผมอยู่ตรงนี้”
เขาเม้มปาก เมื่อจิ่งหนิงเดินมาใกล้ถึงข้างหน้าโม่ไฉ่เวย จู่ๆ ก็ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ขวางไว้ข้างหน้าโม่ไฉ่เวย
“คุณอยู่ตรงนี้ก็พอแล้ว”
จิ่งหนิงเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างตะลึง
สีหน้าของเชวซู่มืดเย็น แต่ในตากลับเปล่งความสงสัยออกมา
“คุณครับ ภรรยาผมร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ไม่ชอบอยู่กับคนแปลกหน้าใกล้เกินไป ถ้ามีเรื่องอะไรก็เชิญคุยตรงนี้ก็พอแล้ว”