จิ่งหนิงถามกลับประโยคหนึ่ง “ร่างกายไม่แข็งแรงเหรอ”
เธอมองลงไปข้างล่าง ดูโม่ไฉ่เวยที่หลบอยู่หลังเชวซู่
เห็นแต่เธอจับเสื้อตรงไหล่ของเชวซู่ไว้แรงๆ ทั้งคนขดอยู่ด้านหลังของเขา เหมือนกับแมวน้อยที่ไม่ได้ทำอะไรผิดหลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ มองเธออย่างหวาดกลัวและกระสับกระส่าย
อยู่ๆ จิ่งหนิงก็หัวเราะขึ้นมา
เธอหัวเราะอย่างเสียดสีและโศกเศร้า
“เธอ…กลัวฉันเหรอ”
โม่ไฉ่เวยไม่ได้พูดอะไร แค่จ้องตาคู่นั้นของเธอไว้ ยิ่งรู้สึกหวั่นเกรงกว่าเดิม
สีหน้าของเชวซู่ดูไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ ปกป้องโม่ไฉ่เวยไว้แน่นๆ เหมือนกลัวเธอจะอยู่ๆ ทำอะไรออกมา ทำให้โม่ไฉ่เวยถูกทำร้ายเช่นนั้น
ลู่หลันจือเห็นแล้ว เดินเข้ามาอย่างพะอืดพะอม พยายามจะดึงจิ่งหนิงกลับไป
“หนิงหนิง อย่ามาวุ่นวายเลย พวกเรากำลังคุยเรื่องสำคัญอยู่…”
“หุบปาก!”
จู่ๆ จิ่งหนิงก็ตะโกนออกมาอย่างโมโห
ลู่หลันจือตะลึงพรึงเพริด
หลายปีแล้ว ถึงแม้เธอกับจิ่งหนิงก็เคยเกิดความขัดแย้งไม่น้อย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ถูกเธอตะโกนใส่ต่อหน้าคนนอก
ทันใดนั้นอารมณ์ขึ้นทันที
“จิ่งหนิง! นี่แกกำลังทำอะไร ออกมาเป็นแขกคุยเรื่องงานให้มีระเบียบหน่อยได้ไหม กลับไปนั่งให้ดีเลย!”
เธออยากแสดงท่าทีของผู้อาวุโสออกมาแน่นอนอยู่แล้ว แต่จิ่งหนิงในเวลานี้ ในหัวเต็มไปด้วยความคิดอย่างหนึ่งตั้งนานแล้ว จะไปฟังเข้าสักที่ไหน
เธอสะบัดลู่หลันจือออก สายตาจ้องมองโม่ไฉ่เวยที่หลบอยู่หลังเชวซู่ไม่หยุด
“เธอตายแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมยังไม่ตายอีก ทำไมเธอถึงอยู่ตรงนี้ ในเมื่อเธอยังมีชีวิตอยู่ทำไมไม่บอกฉัน ทำไมไม่มาหาฉัน ในเมื่อเธอเลี้ยงฉันแล้วทำไมยังแอบจากไปตัวคนเดียว ทิ้งฉันไว้ในบ้านที่มืดมนมองไม่เห็นแสงสว่างนั้นเป็นสิบกว่าปี ทำไม”
เธอพูดไปพูดมา น้ำตาก็ไหลลงมาดั่งลูกปัดที่ด้ายขาด
พอคำพูดนี้ออกมา ทันใดนั้นทุกคนต่างตกใจกันอย่างยิ่ง
เจ้านายหยูรู้สึกไม่น่าเชื่อ ลู่หลันจือก็อึ้งจนอ้าปากค้างเช่นกัน
มีแต่เชวซู่คนเดียวที่เปลี่ยนสีหน้า เหมือนเข้าใจอะไรบางอย่างได้แล้ว สายตาที่มองไปทางจิ่งหนิงอีกครั้งก็ได้เพิ่มความยุ่งเหยิงเข้าไปอีกอย่าง
แต่โม่ไฉ่เวยยังคงเป็นสีหน้ามึนงงนั้นเหมือนเดิม
“คุณ…คุณพูดอะไรอยู่อ่า ทำไมฉันไม่เข้าใจเลย”
เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย ถึงแม่กลัวมาก แต่ยังคงเป็นหน้าตาอันมีมารยาทนั้นอยู่ มองเธออย่างสงสัย
จิ่งหนิงส่ายหัวอย่างเสียดสี
“เธอฟังไม่รู้เรื่องเหรอ หรือว่าไม่อยากรู้เรื่อง โม่ไฉ่เวย! ฉันคือลูกสาวของเธอ ลูกสาวที่ถูกเธอทิ้งไว้ในตระกูลจิ่งสิบกว่าปี ทีนี้เธอรู้เรื่องยัง”
เจ้านายหยูกับลู่หลันจือต่างจ้องตาโตขึ้นมาอย่างตกอกตกใจ
ลู่หลันจือรู้สึกไม่น่าเชื่อ แม้แต่พูดยังติดอ่างเลย
“จิ่งหนิง ไม่ใช่…เธอบอกว่าหล่อน…หล่อนคือ…”
สายตาของจิ่งหนิงเย็นเยือก “ใช่! เธอก็คือแม่บุญธรรมของฉัน คุณหนูของตระกูลโม่แห่งเมืองจิ้นโม่ไฉ่เวย โม่ไฉ่เวยที่ควรเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถชนเมื่อสิบเอ็ดปีก่อนแล้ว! ตอนนี้พวกคุณเข้าใจหรือยัง”
สีหน้าของลู่หลันจือตกใจมาก
เธอรู้ประวัติของจิ่งหนิงอยู่แล้ว
สำหรับเรื่องที่เธอเป็นลูกสาวแท้ๆ ที่หายตัวไปของจี้หวั่นจุดนี้ก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึงแล้ว ตอนที่อยู่ในเมืองจิ้นก่อนหน้านี้ ลู่หลันจือก็เคยรู้เรื่องเกี่ยวกับแม่บุญธรรมของเธอมาบ้าง
แต่เนื่องจากว่าตอนนั้นเธอมีอคติกับจิ่งหนิงอยู่ตลอด จึงขี้เกียจไปทำความเข้าใจอย่างละเอียด
ดังนั้น ยิ่งกว่านั้นคือไม่ได้ติดตามชื่อแม่บุญธรรมของเธออะไรมาก เนื่องจากเวลาผ่านไปนานเกินไปแล้ว แม้แต่นามสกุลยังจำไม่ได้แล้ว
ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ถึงขั้นเคยเจอโม่ไฉ่เวยก่อนหน้านี้ เคยฟังเธอแนะนำตัวเอง แต่กลับไม่มีความทรงจำแม้แต่น้อยนิดเลย
ลู่หลันจือหันหน้ากลับไปดูโม่ไฉ่เวยอย่างตกตะลึง
ส่วนขณะนี้ สีหน้าของโม่ไฉ่เวยก็ขาวซีดทั้งหน้าเช่นกัน โบกมืออย่างตะลีตะลาน “ไม่…ฉันไม่ใช่…ฉันไม่ใช่…”
จิ่งหนิงค่อยๆ เดินเข้าใกล้ทีละก้าวๆ
เธอก้าวออกหนึ่งก้าว โม่ไฉ่เวยกับเชวซู่ก็ถอยหลังหนึ่งก้าว จนกระทั่งถูกบีบให้เข้ามุมผนัง
จิ่งหนิงยืนนิ่งๆ และถามอย่างเย็นชาว่า: “ทำไมไม่บอกฉันว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ ทำไมไม่กลับมา”
สีหน้าของโม่ไฉ่เวยตะลีตะลาน
ในที่สุดเชวซู่ก็อดอธิบายไม่ได้ “จิ่งหนิง คุณอย่ากดดันเธออีกเลย เธอจำอะไรไม่ได้แล้ว!”
จิ่งหนิงตะลึงหนักมาก เงยหน้าขึ้นมามองเธออย่างไม่น่าเชื่อ
คิ้วของเชวซู่ขมวดไว้แน่นๆ เหมือนตัดสินใจลงไปอย่างเด็ดขาดแล้วเช่นนั้น หายใจเข้าลึกๆ
“ถ้าคุณอยากรู้ว่าตกลงตอนนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น ก็ลองนั่งลงมาเถอะ ผมสามารถเล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นในหลายปีนี้ให้คุณฟังอย่างละเอียด”
หลังจากห้านาทีผ่านไป
ทุกคนนั่งลงมาแล้ว จิ่งหนิงทำหน้าเคร่งเคลิ้ม จ้องโม่ไฉ่เวยที่อยู่ฝั่งตรงข้ามอยู่ตลอดเวลา
ส่วนโม่ไฉ่เวยกลับนั่งอยู่ข้างเชวซู่อย่างตะลีตะลานและกระวนกระวายใจ ราวกับดึงฟางข้าวที่ช่วยชีวิตไว้ได้อย่างนั้น จับมือของเธอไว้แน่นๆ
เชวซู่ปลอบโยนเธอด้วยเสียงเบาอย่างอ่อนโยนและละเอียดรอยครอบกี่ประโยค จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมา มองจิ่งหนิงที่อยู่อีกฝั่งตรงๆ
“ความจริงแล้วเรื่องนี้จะโทษคุณแม่ของคุณไม่ได้ ต้องโทษคุณพ่อที่ไร้จิตสำนึก ไร้มโนธรรมของคุณคนนั้น!”
เชวซู่พูดไปพูดมาก็ได้พูดเรื่องของตอนนั้นออกมาอย่างละเอียดแล้ว
จริงๆ แล้ว เมื่อจิ่งหนิงอายุมีแค่สิบเจ็ดปีในตอนนั้น โม่ไฉ่เวยได้เจอการมีชีวิตอยู่ของหยูซิ่วเหลียนกับจิ่งเสี่ยวหย่าโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ
เธอกับจิ่งเซี่ยวเต๋อเป็นสามีภรรยากันเกือบยี่สิบปีแล้ว ก็นึกว่ารักกันดีมากมาตลอด สองคนช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ให้เกียรติซึ่งกันและกัน เธอก็เชื่อใจจิ่งเซี่ยวเต๋อมากมาตลอดเวลา ยิ่งกว่านั้นคือเอาธุรกิจทุกอย่างในบ้านส่งมอบให้เขาหมดเลย
แต่กลับคิดไม่ถึงเลย เขาหักหลังตัวเองมาตั้งนานแล้ว ยังไม่พูดถึงเรื่องแอบนอกใจ ยิ่งกว่านั้นคือขนาดลูกยังโตเช่นนี้แล้วด้วย
โม่ไฉ่เวยรับแรงกระทบอันใหญ่หลวงนี้ไม่ไว้ ช่วงเวลานั้นใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวล่อยๆ ใช้แอลกอฮอล์ผ่านเวลาไปวันๆ
แต่ถึงแม้จะถูกโจมตีแรงแค่ไหน ด้วยนิสัยของเธอแล้วก็ไม่มีทางไปฆ่าตัวตายแน่นอน
ดังนั้น หลังจากเสื่อมโทรมได้ระยะเวลาหนึ่งแล้ว โม่ไฉ่เวยตัดสินใจทอดทิ้งการสมรสอันไร้ค่านี้ ขอหย่าร้างและให้จิ่งเซี่ยวเต๋อไปโดยไม่นำทรัพย์สินใดๆ ติดตัวออกไปในเวลาเดียวกัน
แต่คิดไม่ถึงเลย เมื่อเธอขอหย่าร้างกับจิ่งเซี่ยวเต๋อ จิ่งเซี่ยวเต๋อกลับไม่เห็นด้วย
และเขายังบอกเรื่องที่แอบโอนย้ายทรัพย์สินทั้งหมดของบริษัทในหลายปีนี้ออกมาด้วย
ถ้าโม่ไฉ่เวยต้องหย่าร้างในเวลาแบบนี้ แล้วสิ่งที่โม่ไฉ่เวยจะได้ก็จะเป็นแค่เปลือกเปล่าอันหนึ่ง เธอจะไม่ได้ทรัพย์สินของบริษัทสักบาทเดียว ถึงตอนนั้นจิ่งเซี่ยวเต๋อยังสามารถพาหยูซิ่วเหลียนกับจิ่งเสี่ยวหย่ามาสร้างครอบครัวใหม่ ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขต่อไป
ส่วนเธอไม่เพียงแค่ไม่สามารถเอาทรัพย์สินก้อนที่เป็นของเธอกลับมาได้ และยังมีความเป็นไปได้ที่จะต้องแบกรับหนี้สินจำนวนเงินมหาศาล
เมื่อโม่ไฉ่เวยได้ฟังเรื่องเหล่านี้แล้วโมโหมาก
แต่บริษัทคืออุตสาหกรรมที่คุณพ่อเหลือไว้ให้เธอ เพราะเชื่อใจจิ่งเซี่ยวเต๋อจึงมอบให้เขาจัดการแทน แต่คิดไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายกลับเป็นคนเนรคุณ กลืนทรัพย์สินของเธอไปแล้วไม่พอ ยังคิดจะให้เธอแบกรับหนี้สินห่วยแตกนั่นอีก
หลังจากโม่ไฉ่เวยผ่านความเจ็บปวดแล้วก็ได้ใจเย็นลง
เธอรู้สึกว่าจะให้เป็นแบบนี้อีกต่อไปไม่ได้แล้ว ตัวเองเป็นฝ่ายถูกกระทำมาตลอด เธอต้องเป็นฝ่ายรุกโจมตีก่อน หาหลักฐานที่จิ่งเซี่ยวเต๋อมีชู้และโอนย้ายทรัพย์สินให้ได้ ยื่นคำขออายัด จากนั้นเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของเธอกลับคืนมาทั้งหมด
ดังนั้น ช่วงนั้นเธอได้เตรียมตัวไว้เยอะมาก จ้างคนสะกดรอยตาม และหาคนสืบสวนบัญชีส่วนตัวของจิ่งเซี่ยวเต๋อในหลายปีนี้