ความเสียใจแบบนั้นราวกับมีคนเอาสิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สุดต่อในใจของเธอไปแล้วอย่างนั้น เจ็บปวดและไม่สบายอย่างบอกไม่ถูก
เชวซู่สังเกตเห็นสีหน้าของเธอแปลกๆ เป็นห่วงว่า: “ไฉ่เวย คุณเป็นอะไรไหม”
โม่ไฉ่เวยส่ายหัว เสียอย่างอ่อนโยน “อะซู่ ฉันเหนื่อยแล้วเหมือนกัน คุณก็ช่วยพยุงฉันกลับไปพักผ่อนเถอะ”
เชวซู่พยักหน้า
พอเจ้านายหยูเห็นเหตุการณ์แล้วก็รีบหยิบหยกแขวนตัวนั้นขึ้นมาเอาให้เธอและยิ้มว่า: “อย่างนั้นพวกคุณก็กลับไปคฤหาสน์พักผ่อนเถอะ ส่วนเรื่องอื่นค่อยคุยกันทีหลัง”
เชวซู่พยักหน้า จากนั้นจึงพยุงโม่ไฉ่เวยจากไป
…
วันนี้ลู่จิ่งเซินทําโอทีที่บริษัท ประชุมแล้วทั้งวัน เมื่อกลับมาถึงบ้านก็สามทุ่มแล้ว
พรุ่งนี้ลูกๆ ต้องไปโรงเรียน เวลานี้หลับแล้วแน่นอน
เขาเข้าไปบ้าน หลังจากเปลี่ยนรองเท้าเสร็จ กลับไม่เห็นจิ่งหนิงอยู่ในห้องนั่งเล่นอย่างคิดไม่ถึง มีแค่ป้าหลิวที่เก็บกวาดอะไรสักอย่างอยู่ตรงนั้นคนเดียว
อดรู้สึกคาดคิดไม่ถึงนิดหน่อย
เมื่อก่อนถ้าเขาทำโอทีทีไร จิ่งหนิงถึงอย่างไรก็จะอยู่ในห้องนั่งเล่นรอจนถึงเขากลับมา แล้วค่อยกลับห้องนอนพักผ่อนด้วยกัน
วันนี้คือไปไหนแล้วเหรอ
เขาเดินเข้าไปด้วยความสงสัย ดึงเนกไทตรงคอไปด้วย ถามป้าหลิวไปด้วย “คุณนายอยู่ไหนเหรอ”
ป้าหลิวยืนตัวตรงและตอบว่า: “อยู่บนห้องนะ”
พูดจบก็นิ่งงันสักพัก พูดอย่างลังเลว่า: “วันนี้คุณผู้หญิงเหมือนอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ตั้งแต่กลับมาตอนบ่ายก็ขังตัวเองอยู่ในห้องตลอด ไม่เคยออกมาแม้แต่หน้าประตูเลย ข้าวเย็นก็ไม่ได้ทาน คุณผู้ชาย คุณรีบขึ้นไปดูหน่อยเถอะ”
ลู่จิ่งเซินขมวดคิ้ว “ข้าวเย็นก็ไม่ได้ทานเหรอ”
“ใช่สิ พวกเราไม่กล้าไปรบกวน แม้แต่คุณหนูอานอานกับคุณชายเล็กเธอยังไม่เจอเลย ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นแล้ว”
ลู่จิ่งเซินพยักหน้า “ผมรู้แล้ว”
เขาก้าวเท้าเดินไปชั้นบน เดินไปหน้าประตูห้องนอน ก็เห็นประตูปิดไว้จริงๆ
เขาผลักประตูดู เห็นว่าประตูถูกไว้ล็อกจากข้างใน จำใจได้แต่เคาะประตู
“หนิงหนิง เปิดประตู คือผมเอง”
แต่ข้างในกลับไม่มีเสียงแม้แต่นิดเดียวเลย
ลู่จิ่งเซินขมวดคิ้วเข้มกว่าเดิม เคาะอีกสองครั้ง ยังคงไม่มีวี่แวว สีหน้าเข้มลงอย่างไม่สามารถทำอะไรได้ หันหลังเรียกป้าหลิวเอากุญแจของประตูห้องนอนมาตรงทางเดิน
ไม่นานป้าหลิวก็หากุญแจเจอแล้ว เดินมาเอาให้เขา
ลู่จิ่งเซินโบกมือให้เธอไปได้แล้ว จากนั้นใช้กุญแจเปิดประตูออกมา
ภายในห้องนอนมืดไปหมด
ในห้องเงียบอย่างกับแม้แต่เข็มเล่มเดียวตกลงไปบนพื้นก็ยังได้ยินเสียง ไม่เปิดไฟและไม่เห็นคนด้วย
ลู่จิ่งเซินขมวดคิ้ว ยกมือเปิดโคมไฟระย้าดวงหนึ่ง แสงไฟเหลืองนวลดัง “เปาะ” เสียงหนึ่งและสว่างขึ้นมา ทีนี้เขาจึงเห็นคนที่นั่งอยู่บนโซฟาได้ชัดเจนขึ้นมา
“นี่คุณกำลังทำอะไรอยู่”
ลู่จิ่งเซินหันหลังปิดประตู เดินขึ้นไปอย่างรวดเร็ว
จิ่งหนิงนั่งยองอยู่ตรงบนโซฟา สองมือกอดเข่าไว้ เอาหัวซุกอยู่ในอ้อมแขน
เมื่อได้ยินเสียงของเขา เธอเงยหัวขึ้นมาตรงๆ ลู่จิ่งเซินถึงสังเกตเห็นหน้าของเธอซีดขาวอย่างมาก บนหน้ายังมีรอยน้ำตาที่ยังไม่แห้งหลงเหลืออยู่ ตาก็แดงด้วย ดูก็รู้ว่าร้องไห้แล้วนานมาก
หัวใจของเขาบีบแรงขึ้นมา รีบนั่งลงทันที กอดเธอเข้ามาในอ้อมแขน
“เกิดอะไรขึ้นแล้ว ทำไมร้องไห้เป็นสภาพนี้ ไฟก็ไม่เปิด เมื่อกี้ผมยังนึกว่าคุณเกิดเรื่องอะไรแล้ว”
จิ่งหนิงรู้สึกได้แค่ตัวไม่มีแรงสักนิดเลย เธอร้องไห้มาหลายชั่วโมงแล้ว และร้องไห้จนเหนื่อยแล้ว ขณะนี้พิงอยู่ในอ้อมแขนอันกว้างใหญ่แข็งแรงของเขา ดมกลิ่นที่ทำให้คนรู้สึกสบายใจอันคุ้นเคยนั้น ทีนี้จิตใจอันเหน็บหนาวและกระสับกระส่ายตั้งแต่ตอนบ่ายวันนี้ถึงรู้สึกค่อยๆ สงบลงมา
เธอเอาหัวมุดไปมา หาท่าที่รู้สึกสบายพิงอยู่ในอ้อมกอดของเขา พูดเบาๆ ว่า: “ฉันไม่เป็นไร ฉันก็แค่รู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย”
ลู่จิ่งเซินขมวดคิ้ว ยกมือจับหน้าผากของเธอ เห็นว่าไม่ร้อน ไม่เหมือนเป็นหวัด
“คุณเป็นอะไร” เขาถามเสียงเบา
จิ่งหนิงไม่ได้ตอบ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงพูดว่า: “วันนี้ฉันเจอคนหนึ่ง”
“คนอะไรเหรอ” ลู่จิ่งเซินมีความอดทนมาก
“คนที่ควรตายแล้วตอนแรก แต่กลับอยู่ๆ ก็โผล่ออกมาหน้าฉัน”
ลู่จิ่งเซินตะลึง
จิ่งหนิงเงยหน้าขึ้นมองเขา สายตามัวหมองเล็กน้อย “จิ่งเซิน คุณว่าฉันเลวมากเลยใช่ไหม ความเป็นจริงเธอไม่ได้ติดอะไรฉันเลย แต่ฉันกลับอยากจะได้อะไรสักอย่างจากตัวเธออย่างดื้อรั้น ไปโทษเธอว่าไม่บอกข่าวที่ตัวเองยังมีชีวิตอยู่ให้ฉันได้รู้ คุณว่าฉันแบบนี้เห็นแก่ตัวมากเลยใช่ไหม”
ลู่จิ่งเซินมองเธอด้วยคิ้วตาอันลึกซึ้ง “คุณเจอใครเหรอ”
ริมฝีปากของจิ่งหนิงดิ้นเล็กน้อย ผ่านไปแล้วหลายวินาทีจึงพูดว่า “โม่ไฉ่เวย”
ลู่จิ่งเซินสะดุ้งอย่างแรง
จิ่งหนิงยิ้มเยาะเย้ยตัวเอง “ฉันนึกมาตลอดว่าเธอตายแล้ว เมื่อฉันอายุสิบเจ็ด เธอเสียชีวิตในอุบัติเหตุทางรถยนต์ เพราะเรื่องนี้ ในใจฉันเต็มไปด้วยความแค้นและความเกลียดมาตลอด ฉันเเทบอยากจะฆ่าทุกคนที่ทำให้เธอตาย แต่ตอนนี้ฉันเพิ่งมารู้ว่าเธอยังไม่ตาย”
“หลายปีที่ผ่านมานี้เธอใช้ชีวิตอยู่อย่างดี อาศัยอยู่ในทะเลทรายกับผู้ชายอีกคน จริงๆ แล้วเธอบอกฉันได้ แต่เธอเลือกที่จะไม่จำ ไม่บอก เธอฝังทุกสิ่งทุกอย่างของเมื่อก่อนลงไปอย่างกับฝุ่นฟุ้ง ไม่เหลือแม้แต่ร่องรอย แล้วฉันล่ะ”
“ฉันกลับคิดถึงวันเวลาที่อยู่กับเธอมาตลอด วันเช็งเม้งของทุกปีฉันมักจะกลับไปเมืองจิ้นจุดธูป ไว้ดอกไม้ให้กับสุสานของเธอ อธิษฐานด้วยความจริงใจ ขอให้เธอสามารถไปเกิดในครอบครัวดีๆ ไม่ต้องทนทุกข์และถูกหลอกอีกแล้ว สามารถราบรื่นปลอดภัย ยินดีมีสุขไปทั้งชีวิต จิ่งเซิน ฉันโง่มากเลยใช่ไหม คนอื่นเขาไม่อยากคิดถึงฉันเลย แต่ฉันกลับไม่เคยปล่อยวางได้เลย”
ลู่จิ่งเซินฟังเธอบรรยายอย่างจู้จี้ เงียบอยู่ตลอด
จนกระทั่งเธอพูดจบ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงปลอบโยนว่า: “ผมเข้าใจแล้ว เธอไม่ได้เสียชีวิต คุณไปเจอเธอโดยบังเอิญ คุณรู้สึกว่าเธอโกหกคุณ และยิ่งกว่านั้นคือทรยศคุณใช่ไหม”
จิ่งหนิงส่ายหัว “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ฉันก็แค่รู้สึกเสียใจมาก แต่ฉันไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงเสียใจ”
ลู่จิ่งเซินถอนหายใจเบาๆ คำหนึ่ง
เขาก้มหน้าจูบรอยน้ำตาบนหน้าของเธอเบาๆ พูดเสียงต่ำว่า: “ยัยบ๊อง เพราะในใจของคุณ เธอเป็นคนที่สำคัญที่สุดมาตลอด เมื่อก่อนคุณก็เคยนึกว่าในใจเธอนั้น คุณก็เป็นคนที่สำคัญที่สุดของเธอเหมือนกัน แต่ครั้งนี้เธอรอดออกมาจากความตาย กลับเลือกที่จะปกปิดตัวตนไว้ไม่ติดต่อกับคุณ เลือกที่จะเด็ดบัวไม่ไว้ใยกับอดีต”
“การตัดสินใจนี้ทำให้คุณเข้าใจแล้ว ความเป็นจริงเธอไม่จำเป็นต้องมีคุณอยู่ในชีวิตของเธอ เพราะฉะนั้นคุณจึงมีความรู้สึกเสียใจและถูกคนหักหลังแบบนี้”
จิ่งหนิงเงยหัวขึ้นมามองเขาอย่างงงงัน “เป็นอย่างนี้เนี่ยเหรอ”
ลู่จิ่งเซินพยักหน้า “น่าจะเป็นแบบนี้”
จิ่งหนิงคิดดู “ออ” คำหนึ่ง “แบบนี้นี่เอง แต่ฉันทำแบบนี้มันผิดหรือเปล่า พอฉันทำแบบนี้แล้วรู้สึกว่าฉันเห็นแก่ตัวและไร้เหตุผลมากเลยนะเนี่ย”
ลู่จิ่งเซินยิ้มพูดว่า: “เรื่องความรู้สึกนี้ไม่มีเหตุผลอยู่แล้ว เอาตามหัวใจล้วนๆ”
เขาหยุดสักพัก จากนั้นถอนหายใจคำหนึ่ง