“คุณโกรธได้ แต่นอกจากโกรธแล้ว ก็ดีใจกับเธอด้วยใช่ไหม ถึงอย่างไรตอนนี้เธอก็ถือว่าได้ใช้ชีวิตที่คุณอธิษฐานให้โดยอีกแบบหนึ่งแล้ว สงบสุข ธรรมดา ปลอดภัย ราบรื่น ใช่หรือไม่”
จิ่งหนิงมองเขาอย่างนิ่งงัน
สักพัก อยู่ๆ ก็ทำลายน้ำตาให้กลายเป็นเสียงหัวเราะ “เหมือนก็ใช่อยู่เนาะ”
ลู่จิ่งเซินลูกหัวของเธออย่างรักใคร่ “เพราะฉะนั้นตอนนี้บอกผมมาได้หรือยัง ตกลงทุกอย่างนี้คืออะไร”
จิ่งหนิงคิดดู จากนั้นก็เล่าเรื่องของวันนี้ให้เขาฟัง
ลู่จิ่งเซินฟังจบแล้วก็รู้สึกไม่น่าเชื่อเหมือนกัน
เขาเงียบสักพัก “แล้วตอนนี้คุณคิดจะเอายังไง”
จิ่งหนิงส่ายหัว “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ตอนนี้เธอจำอะไรไม่ได้แล้ว และไม่รู้จักฉันด้วย ฉันไม่รู้เลยว่าควรบอกกับเธอยังไง”
“อย่าใจร้อน” ลู่จิ่งเซินปลอบใจเธอ “เรื่องของตอนนั้นมีผลกระทบต่อเธอมากเกินไป เธอไม่ยอมกลับไปคิดก็ปกติมาก ดีที่ตอนนี้คนยังไม่ตาย และยังถูกคุณหาเจอแล้วด้วย ท่ามกลางความมืดมนนั้นก็ถือว่าเป็นพรหมลิขิตอย่างหนึ่ง ไม่ว่าสุดท้ายผลจะเป็นอย่างไร ที่เธอยังมีชีวิตอยู่ก็ถือว่าเป็นความเมตตาของพระเจ้าอย่างหนึ่งแล้ว เราอย่าดึงดันขอมากเกินไปแล้ว หึม?”
จิ่งหนิงพยักหน้า
ความจริงเธอเองก็รู้ดี ผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว โม่ไฉ่เวยยังสามารถมีชีวิตอยู่ต่อ ถือเป็นว่าเสียอะไรไปก็ได้อย่างนั้นกลับมาสำหรับเธออย่างหนึ่งแล้ว
เธอไม่ควรโลภขออะไรมากกว่านี้แล้ว การแสดงกิริยาที่ไม่ดีก่อนหน้านี้ ความจริงก็เป็นแค่ความรู้สึกส่วนตัวเล็กน้อยของตัวเอง ที่ไม่อยากให้เธอลืมก็เท่านั้น
ขณะนี้มีการปลอบโยนและคำแนะนำของลู่จิ่งเซิน เธอคิดได้แล้ว
จิ่งหนิงถอนหายใจออกคำหนึ่ง
“จริงๆ แล้วเหมือนตอนนี้ก็ดี เธอจำเรื่องในอดีตไม่ได้ ก็จะคิดไม่ถึงความเจ็บปวดที่จิ่งเซี่ยวเต๋อนำมาให้เธอเหล่านั้นแล้ว ก็อย่างที่เธอพูดเอง นี่คือโอกาสที่พระเจ้าให้เธอมีชีวิตใหม่อีกครั้งหนึ่ง ในเมื่อเธอสามารถจับไว้แน่นๆ นั่นก็ดีกว่าสิ่งไหนๆ อีกแล้ว”
ลู่จิ่งเซินกอดเธอเข้ามาในอ้อมแขน เก็บแขนไว้แน่นๆ
“ใช่แล้ว แค่คิดแบบนี้ ในใจของคุณก็จะรู้สึกดีขึ้นบ้างแล้ว”
จิ่งหนิงคลอเคลียอยู่ในอ้อมกอดของเขา เสียงแหบเล็กน้อย “แต่ฉันยังอยากเจอเธออยู่ อยากอยู่กับเธอมากกว่านี้ อยากจะถามเธอว่าหลายปีนี้ใช้ชีวิตได้ดีไหม จิ่งเซิน ฉันไม่ได้อยากจะโทษเธอจากใจจริง ฉันแค่ไม่รู้ว่าควรแสดงความรู้สึกประเดประดังที่เข้ามาในใจพร้อมกันหมดยังไง”
ลู่จิ่งเซินพยักหน้า “ผมเข้าใจ”
นิ่งงันสักพัก ก้มหน้าดูเธอแวบหนึ่ง “ไม่ต้องห่วง รอคุณปรับได้เมื่อไหร่แล้ว ผมจะไปเจอเธอกับคุณอีกครั้ง เธออยู่ในเมืองหลวงอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ คุณยังมีเวลาและโอกาสอีกเยอะมาก สามารถบอกความในใจที่อยากพูดจริงๆ ให้กับเธอฟัง”
จิ่งหนิงพยักหน้า หลับตาลง
ลู่จิ่งเซินกอดเธอแล้วสักพัก รู้สึกได้ว่าลมหายใจของผู้หญิงที่อยู่ในอ้อมกอดค่อยๆ มั่นคงขึ้นมา สุดท้ายกลับนอนหลับแล้วด้วย ทีนี้จึงยิ้มอย่างจำใจ
อุ้มเธอขึ้นมาด้วยท่าเจ้าหญิง เดินไปที่เตียงใหญ่
การหลับครั้งนี้จิ่งหนิงหลับลึกมาก
เธอมีความฝันอันยาวนานและลึกซึ้งมากอยู่ในระหว่างนี้
ในฝันนั้น เธอเหมือนกลับไปตอนเด็กอีกครั้ง อาศัยอยู่ในวิลล่าของตระกูลโม่ เธอเปียผมสองข้างโล้ชิงช้าอยู่ในลานบ้าน คุณตานั่งอยู่ในเก้าอี้โยกใกล้ๆ ยิ้มให้เธอ โม่ไฉ่เวยยกผลไม้กับขนมจานหนึ่งออกมา ยิ้มเรียกเธอว่า “หนิงหนิง มากินผลไม้ได้แล้ว”
เธอกระโดดลงมาจากชิงช้า พุ่งเข้าอย่างมีความสุข เนื่องจากดีใจเกินไปแล้ว ชนโดนผลไม้กับขนมที่อยู่บนมือของโม่ไฉ่เวยจนหก
ของหล่นลงมาเต็มพื้น เธอตกใจแย่แล้ว “โฮ” เสียงหนึ่งร้องไห้ออกมา
โม่ไฉ่เวยปลอบใจอย่างตื่นตระหนกตกใจจนทำอะไรไม่ถูก เช็ดน้ำตาให้เธอไปด้วยและบอกกับเธอว่า: “ไม่เป็นไรนะ หนิงหนิงคนดี หนิงหนิงของเราไม่ได้ตั้งใจ ไม่ร้องแล้วนะ”
น้ำตาของจิ่งหนิงไหลลงมาอย่างไร้เสียง
อาจเป็นเพราะรู้ดีว่าผู้หญิงที่อยู่ในฝันคนนั้น ไม่มีวันปลอบใจเธออย่างอ่อนโยนใส่ใจแบบนี้อีกแล้ว
ไม่มีวันให้อ้อมกอดที่อบอุ่นที่สุดกับเธอ รักเธอและปกป้องเธอไม่ว่าเมื่อไหร่อีกแล้ว
ดังนั้น จิ่งหนิงจึงรู้สึกเสียใจจนควบคุมตัวเองไม่อยู่
โม่ไฉ่เวยยังมีชีวิตอยู่ก็ใช่ แต่คุณแม่ของเธอกลับเสียชีวิตแล้ว
เธอเติบโตในตระกูลโม่ตั้งแต่เด็ก ความทรงจำที่มีต่อแม่ผู้ให้กำเนิดเท่ากับศูนย์ ความรู้สึกทั้งหมดตั้งแต่เล็กจนโตเพิ่งพาแต่แม่บุญธรรมของตัวเองเพียงผู้เดียวเท่านั้น
แต่ตอนนี้ แม้แต่ที่พึ่งของความรู้สึกหนึ่งเดียวก็ไม่มีแล้ว
จิ่งหนิงร้องไห้ไปร้องไห้มาก็ตื่นขึ้นมาแล้ว
ลู่จิ่งเซินที่อยู่ข้างกายสังเกตเห็นความผิดปกติของเธอได้ ยื่นมือมากอดเธอเข้ามาในอ้อมแขน ปลอบเธอด้วยเสียงอ่อนโยน
“เมียคนดี อย่าร้องไห้แล้ว คุณร้องไห้จนใจผมก็แทบจะขาดแล้ว”
จิ่งหนิงกอดเอวของเขาไว้แน่นๆ เอาหน้าซุกเข้าไปในอ้อมกอดของเขา
เสียงแบบอึดอัด “ลู่จิ่งเซิน ฉันฝันถึงแม่ของฉันแล้ว”
หัวใจขอวลู่จิ่งเซินเจ็บปวด
จิ่งหนิงพูดอย่างอึดอัดว่า: “ฉันอยากเจอเธอ”
“ได้ รอฟ้าสว่างแล้ว เวลาสายๆ หน่อย ผมก็ไปเจอเธอกับคุณ”
ลู่จิ่งเซินก้มหน้า จูบน้ำตาบนหน้าของเธอออก พูดเสียงต่ำทุ้มว่า: “นอนต่ออีกหน่อย นอนอิ่มแล้วถึงจะมีแรงไปเจอเธอ ใช่ไหม”
จิ่งหนิงพยักหน้า
จากนั้นเอาหน้าซุกเข้าไปในอ้อมกอดของเขาอีกครั้ง ทีนี้จึงหลับลงไปได้ลึกๆ
วันถัดมา
จิ่งหนิงมาถึงงานพนันหยกอีกครั้ง โดยที่มีลู่จิ่งเซินมาเป็นคู่ด้วย
หลังจากผ่านเรื่องเมื่อวานมาแล้ว เจ้านายหยูรู้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับโม่ไฉ่เวยแล้ว ถึงแม้ในใจตกใจไม่หยุด แต่ก็รู้สึกดีใจอย่างยิ่งใหญ่
ถึงอย่างไร ยังไม่พูดถึงสุดท้ายจิ่งหนิงกับโม่ไฉ่เวยจะยืนยันความสัมพันธ์หรือไม่
เขารู้สถานการณ์หลายปีที่ผ่านมานี้ของโม่ไฉ่เวยอย่างดี รู้ว่าสภาพของเธอไม่ค่อยดีเท่าไหร่มาตลอด ถ้าสามารถหาญาติเจอได้จริงๆ ไม่แน่อาจจะเป็นเรื่องที่ดีอย่างหนึ่งก็ได้
อีกอย่าง เขาเป็นนักธุรกิจ นักธุรกิจเห็นแก่ประโยชน์ รู้ดีที่สุดแล้วว่าเมื่อไหร่เป็นโอกาส สิ่งของแบบไหนจะส่งผลอันยิ่งใหญ่ต่ออนาคตของตัวเอง
ถึงแม้เจ้านายหยูไม่ได้ตั้งใจอยากใช้ประโยชน์โม่ไฉ่เวยเพื่อได้อะไร แต่ถ้ามีตาข่ายความสัมพันธ์สำเร็จรูป ไม่ใช้ก็เสียดายนิ
พอคิดแบบนี้แล้ว ในใจของเขามีความรู้สึกดีใจอันเร้นลับอย่างหนึ่งลอยขึ้นมา
แม้แต่ฝีเท้าที่ต้อนรับจิ่งหนิงกับลู่จิ่งเซินก็ยิ่งเคารพและพินอบพิเทาขึ้นมา
“คุณลู่ คุณหญิงลู่ เชิญนั่งข้างในเลย”
เขายิ้มนำพวกเขาเข้าไปห้องรับแขก หลังจากนั่งก็ให้คนไปชงชามาอีก
ลู่จิ่งเซินยกมือห้ามเขาไว้
“น้ำชาก็ไม่จำเป็นแล้ว วัตถุประสงค์ที่เรามาในวันนี้ เชื่อว่าคุณน่าจะรู้ดีมากแล้วใช่ไหม”
เจ้านายหยูชะงัก สีหน้ามีความพะอืดพะอมลอยผ่าน
เขาโบกมือให้เลขานุการออกไป จากนั้นผิดประตูไว้ ทีนี้จึงหันหลังมองพวกเขาอย่างลำบากใจ
“ผมรู้ว่าคุณสองคนมาเพื่ออะไร แต่เรื่องนี้ผมเป็นคนนอก พูดอะไรมากไม่ได้ แต่ถ้าคือคุณอยากเจอคุณโม่ ผมสามารถติดต่อให้กับคุณได้ แต่ส่วนเธออยากเจอคุณหรือไม่ ผมก็ตัดสินใจไม่ได้แล้ว”
ลู่จิ่งเซินหน้านิ่ง จิ่งหนิงพูดเสียงต่ำว่า: “ฉันยังไม่เจอเธอ แต่มีเรื่องอยากจะถามคุณ หวังว่าเจ้านายหยูสามารถบอกฉันมาอย่างซื่อสัตย์”
เจ้านายหยูอึ้ง รีบพยักหน้าไม่หยุด
“ได้ คุณถามเลย เพียงแต่ที่ผมรู้ ก็จะบอกทุกอย่างเท่าที่รู้”
จิ่งหนิงพยักหน้าถามว่า: “คุณรู้จักคุณแม่ของฉันได้ยังไง”
เจ้านายหยูจึงเล่ากระบวนการที่ตอนนั้นตัวเองไปท่องเที่ยวที่ทะเลทรายยังไง และพลัดพรากกับคณะทัวร์ยังไง หลงทางยังไงและถูกพวกเขาช่วยขึ้นมาโดยบังเอิญยังไงบอกให้กับจิ่งหนิง