เมื่อก่อนเธอไม่รู้โม่ไฉ่เวยอยู่ในเมืองหลวงยังไม่ค่อยเท่าไหร่ ตอนนี้รู้แล้ว เป็นไปได้ยังไงที่จะให้คุณแม่ของตัวเองเป็นแขกอาศัยอยู่ที่พื้นที่ของคนอื่น
ดังนั้น เธอดึงโม่ไฉ่เวยไว้และพูดเบาๆ ว่า: “แม่ ถ้าท่านไม่รังเกียจ สอง สามวันนี้ไปอยู่ที่บ้านเราดีกว่าไหม”
โม่ไฉ่เวยตะลึง รู้สึกงงเล็กน้อย “ฉันไปอยู่บ้านเธอทำไมเหรอ”
จิ่งหนิงยิ้มว่า: “ท่านลองดูสิ นี่ท่านสับสนแล้วเหรอ หนูเป็นลูกสาวท่านนะ แม่มาถึงเมืองที่ลูกสาวอยู่ ไม่มาอยู่บ้านลูกสาวแล้วจะไปอยู่ที่ไหนล่ะ”
โม่ไฉ่เวยรู้สึกมึนงงเล็กน้อย เหมือนจะเข้าใจคำพูดของเธอแล้ว แต่ก็รู้สึกลังเลอยู่
เชวซู่ขมวดคิ้ว
เขาพูดเสียงต่ำว่า: “ไม่ต้องแล้ว ผมรู้ว่าคุณสองคนคิดดี แต่ตอนนี้จิตใจของไฉ่เวยยังไม่ได้หายดีทั้งหมด เธออาศัยอยู่ที่นี่จนชินแล้ว จะให้เปลี่ยนสิ่งแวดล้อมปล่อยๆ ก็ไม่ค่อยดี อย่างนั้นจะมีผลกระทบต่ออารมณ์ของเธอง่ายกว่าเดิม”
จิ่งหนิงอึ้งเล็กน้อย ไม่ค่อยเข้าใจความหมายของเชวซู่
“แต่ว่าที่นี่น่าจะเป็นคฤหาสน์ของเจ้านายหยูหรือเปล่า หรือว่าอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ของเจ้านายหยูก็จะไม่มีผลกระทบต่ออารมณ์ของเธอเหรอ”
เชวซู่ขมวดคิ้วเข้มกว่าเดิม แต่อาจจะเป็นเพราะนึกถึงความสัมพันธ์ของเธอกับโม่ไฉ่เวย อธิบายอย่างมีความอดทนว่า: “ถึงแม้ที่นี่จะเป็นคฤหาสน์ของเจ้านายหยู แต่เขาได้แบ่งลานเล็กๆ ให้เราเป็นส่วนตัว ปกติเราจะอยู่ตรงนั้น เขาจะไม่มารบกวน แต่ฐานะร่ำรวย จิตใจคนสับสนอย่างพวกคุณตระกูลลู่ ผมกลัวไฉ่เวยไปแล้วจะไม่ชิน เพราะฉะนั้นไม่เป็นไรแล้ว”
สีหน้าของจิ่งหนิงดูไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่
“คุณเชว ฉันว่าคุณเข้าใจผิดแล้ว ถึงแม้ตระกูลลู่จะฐานะร่ำรวย แต่ก็ไม่มีอะไรที่ว่าจิตใจคนสับสน และ…”
เธอชะงัก ดูโม่ไฉ่เวยและพูดต่อ: “แม่ ความจริงฉันมีลูกสองคนแล้ว ตอนนี้ในท้องก็ทีคนที่สามแล้วด้วย ท่านไม่อยากเจอหลานของท่านบ้างเลยเหรอ”
โม่ไฉ่เวยตะลึง ครั้งนี้กลับรู้สึกตัวได้ว่านี่เป็นเรื่องที่ดีแล้ว
เธอเผยรอยยิ้มออกมา สายตาตกอยู่ที่ท้องของจิ่งหนิง
“เธอมีลูกแล้วเหรอ ยินดีด้วยจริงๆ เลย นี่เป็นเรื่องที่ดี แต่ว่าฉัน…”
เธอยิ้มอย่างจำใจ ในที่สุดก็ปฏิเสธอยู่ดี “ฉันไม่อยากไป หนิงหนิง หรือว่า…ช่างเหอะ สำหรับหลานๆ ฉันค่อยไปเจอพวกเขาวันหลังจะได้ไหม”
จิ่งหนิงขมวดคิ้วอย่างมิอาจสังเกตเห็นได้
เธอรู้สึกได้ถึงการปฏิเสธของโม่ไฉ่เวย แต่ไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมเธอถึงปฏิเสธ
เธอเม้มปากและถอนหายใจว่า: “ก็ได้ ถ้าท่านยืนหยัด หนูก็ไม่บังคับแล้ว”
เธอพูดจบก็ยื่นกระเป๋าถือคืนให้โม่ไฉ่เวย
“งั้นพวกหนูก็ส่งท่านถึงที่นี่แล้ว พรุ่งนี้เช้าหนูค่อยมารับท่านนะ”
โม่ไฉ่เวยพยักหน้า และได้เตือนเธอว่าให้ขับรถช้าๆ หน่อย จากนั้นจึงหันหลังและเข้าไปข้างในกับเชวซู่ด้วยกัน
จิ่งหนิงกับลู่จิ่งเซินยืนอยู่ตรงนั้น รอส่งพวกเขาจนถึงหายไปในคฤหาสน์แล้วจึงหันหลังจากไป
ระหว่างกลับบ้าน จิ่งหนิงนั่งอยู่บนรถ เงียบตลอด ไม่พูดไม่จาอะไรเลย
ลู่จิ่งเซินยื่นมือมาจับมือเธอไว้ ถามว่า: “คิดอะไรอยู่”
จิ่งหนิงพูดเสียงเรียบว่า: “ฉันกำลังคิดว่า อาการของแม่ฉันในตอนนี้ ต้องทำยังไงถึงจะหายดีขึ้นมา”
ลู่จิ่งเซินยกคิ้ว
“หมายถึงอะไร ไหนคุณบอกว่าไม่ไปกดดันให้เธอจำเรื่องอดีตขึ้นมาอีกแล้วไม่ใช่เหรอ”
จิ่งหนิงถอนหายใจคำหนึ่ง
“ฉันไม่ได้หมายถึงอยากให้เธอจำได้เรื่องของอดีต ฉันเห็นแล้วว่าตอนนี้เธอมีความสุขมาก แต่คุณไม่รู้สึกเลยเหรอ ความสุขของเธอเป็นแค่ภายนอก ความเป็นจริงสภาพจิตใจเธอแย่มาก”
เธอพูดจบ ลองย้อนกลับไปคิดดูรายละเอียดต่างๆ ที่ได้อยู่กับโม่ไฉ่เวยวันนี้ทั้งวัน พูดอย่างใคร่ครวญ: “ตอนที่เธอคุยกับพวกเรามักจะหลบสายตาตลอด แสดงว่าเธอกังวลและกลัวมาก และเธอไม่ชอบอยู่กับคนแปลกหน้า เมื่อมีคนแปลกหน้าเข้าใกล้ทีไร เธอก็จะถอยหลังโดยสัญชาตญาณ และตัวจะสั่นเพราะหวาดกลัว”
“ฉันรู้ เหล่านี้อาจจะเป็นผลข้างเคียงที่มาจากอุบัติเหตุรถยนต์เมื่อสิบปีก่อน แต่คุณคิดว่าใช้ชีวิตด้วยจิตใจหวาดกลัวกังวลใจแบบนี้ต่อไปมันมีความสุขจริงๆ เหรอ”
ลู่จิ่งเซินเงียบแล้ว
จิ่งหนิงส่ายหัวและถอนหายใจว่า: “ฉันรู้ตลอดเลยว่า ความสุขของเธอตอนนี้ก็เหมือนกับสกายลอฟท์ที่เห็นได้แต่ไม่สามารถจับต้องได้ อ่อนแอจนสามารถทรุดได้ทุกเมื่อ ส่วนวันนั้นที่มาถึงจริงๆ ก็จะเป็นวันที่ทำลายล้างเธออย่างสมบูรณ์”
เธอพูดจบ ทันใดนั้น หลังมือรู้สึกอบอุ่น
เห็นแต่ลู่จิ่งเซินยื่นมือมาจับมือเธอไว้
ลู่จิ่งเซินพูดด้วยเสียงต่ำว่า: “ผมอยู่ข้างคุณ เรามาช่วยท่านเดินออกมาจากความหวาดกลัวนี้”
จิ่งหนิงอึ้ง เอียงหัวมองเขา จากนั้นอยู่ๆ ก็ยิ้มออกมา
“ได้ เราทำด้วย”
สองคนมองตากันและยิ้มให้กัน ต่อไปรถก็ขับไปทางลู่ซื่อกรุ๊ปอย่างรวดเร็ว
สองคนต่างกลับมาถึงบริษัท หลังจากยุ่งงานทั้งบ่ายแล้ว กลับไปถึงวิลล่าเฟิงเฉียวก็ตอนค่ำแล้ว
เพราะเรื่องของโม่ไฉ่เวย วันนี้จิ่งหนิงอารมณ์ดีตลอดทั้งวัน
หลังจากกลับถึงบ้าน เล่นกับลูกสองคนสักพักก่อน จากนั้นก็ได้รับสายของลู่หลันจือ
ในสายนั้น เสียงของลู่หลันจือตื่นเต้นมาก
“จิ่งหนิง ฉันได้ข่าวมาว่าเธอตกลงกับเจ้านายหยู จัดสินใจจะร่มวมือกับเขาแล้วเหรอ”
จิ่งหนิงยิ้มอ่อนๆ “ฉันเคยบอกเรื่องนี้ให้ท่านก่อนหน้านี้แล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมท่าทางท่านยังตกใจอยู่เลย”
เสียงของลู่หลันจือดีใจมาก “ตกลงปากเปล่าก็คือตกลงปากล่า ใครจะรู้ว่าเธอจะเปลี่ยนใจหรือไม่ ในเมื่อตอนนี้เธอพูดกับเจ้านายหยูแบบนี้แล้ว งั้นก็แสดงว่าเป็นความจริงที่ตอกตะปูไว้บนกระดานแล้ว ไม่อย่างนั้นถ้าถูกเล่าลือออกไปจะว่าเธอซึ่งเป็นประธานอานหนิงกั๋วจี้ไม่รักษาคำพูด อย่างนั้นก็ให้คนอื่นขำจนฟันร่วงไม่ใช่หรือ”
จิ่งหนิงฟังน้ำเสียงอันเบิกบานของเธอ ยิ้มอย่างอิดออด
ลู่หลันจือจู่ๆ ก็เปลี่ยนอีกเรื่องหนึ่ง พูดถึงว่า: “ใช่แล้ว หนิงหนิง คือ…เธอกับคุณโม่คนนั้น ก็คือแม่เลี้ยงของเธอ เป็นยังไงบ้างแล้ว”
จิ่งหนิงชะงัก ถามอย่างระมัดระวัง: “ท่านถามเรื่องนี้ทำไม”
ลู่หลันจือยิ้มแห้งๆ “ก็ฉันเป็นห่วงเธอไง อย่างน้อยเธอก็เป็นหลานสะใภ้ของฉัน เป็นคนของตระกูลลู่เรานิ เรื่องยืนยันความสัมพันธ์กับคนในครอบครัวอีกครั้งแบบนี้ ฉันก็ต้องถามเธอดูสิ”
จิ่งหนิงเม้มปาก พูดอย่างเฉยชาว่า: “ตอนนี้เธอไม่ต่อต้านฉันแล้ว แต่ยังจำฉันไม่ได้อยู่ดี คุณป้า ช่วยปิดบังเรื่องนี้ให้หนูหน่อยนะ อย่าเปิดเผยเล่าลือออกไป และอย่าให้คนอื่นรู้เด็ดขาด”
ลู่หลันจือฝั่งนั้นเงียบไปแล้วสองวินาที
ต่อมา ก็ได้ยินเสียงพะอืดพะอมของเธอ “ได้ ฉันรู้แล้ว เธอไว้ใจได้เลย ฉันก็ไม่ใช่คนปากมากอย่างนั้นอยู่แล้ว”
จิ่งหนิงกระตุกมุมปากอย่างไร้เสียง ความคิดในใจกลับคือ ถ้าเธอไม่ปากมาก อย่างนั้นก็ไม่มีใครปากมากอีกแล้ว
แต่ลู่หลันจือก็รู้เรื่องนี้แล้ว เธออยากปิดบังก็ปิดบังไม่ได้แล้ว
ดังนั้นได้แต่พยายามกำชับ จะทำได้หรือไม่ได้ ก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอสามารถควบคุมได้แล้วจริงๆ
จิ่งหนิงพูดจบ ก็บอกเวลาคร่าวๆ ที่จะออกเดินทางไปเมืองTให้เธอ และสิ่งที่ลู่หลันจือต้องเตรียมในช่วงนี้ จากนั้นก็วางสายลงแล้ว