บทที่ 98 ไม่คู่ควร
ในเวลาต่อมา ลู่จิ่งเซินทำงานต่อ จิ่งหนิงก็นั่งรออยู่ที่โซฟา ศึกษาโทรศัพท์ที่เพิ่งได้มาใหม่
เธอส่งข้อความถึงหัวเหยาก่อน จากนั้นจึงเปิดweibo
ในฐานะผู้ชนะเลิศเหรียญทอง จำเป็นอย่างยิ่ง ที่ต้องเข้าใจการเคลื่อนไหวของแวดวงการบันเทิงอยู่ตลอดเวลา
นอกจากบางรายที่ให้ข้อมูลเป็นการส่วนตัว โดยส่วนใหญ่แล้ว ถ้าต้องการทราบข่าวสารล่าสุดของศิลปินคนอื่นๆ ยังคงต้องพึ่งพาอินเตอร์เน็ต
ในรายการค้นหายอดนิยมของ weibo มีการแจ้งประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับ
จิ่งหนิงคลิกเข้าไปดู เพราะว่ารายการดังกล่าวได้รับความนิยมในโลกออนไลน์ตลอดสองปีที่ผ่านมา บรรดาชาวเน็ตต่างรู้สึกตื่นเต้นกันมาก เมื่อได้รู้ว่าการถ่ายทำกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว
การประชาสัมพันธ์ในวันนี้ เป็นเพียงภาพโปสเตอร์ธรรมดา บนภาพโปสเตอร์ที่เรียบง่ายและสวยงามของ โปสเตอร์ใหญ่นั้น มีเขียนชื่อภาพยนตร์และนักแสดงนำเอาไว้
อีกราวสองวัน เมื่อตกแต่งภาพถ่ายเสร็จ ก็คงจะเผยแพร่โปสเตอร์เต็มรูปแบบ
ที่โด่งดังที่สุดในละครก็คือนางเอกที่มีชื่อว่าจิ่งเสี่ยวหย่าและพระเอกชื่อ อิงโม่หาน
ด้วยเหตุนี้ ในส่วนข้อคิดเห็นมีคนพูดถึงพวกเขามากที่สุด
รองลงมาคือนักแสดงรองหญิงที่ชื่อ เซ่เวินหวั่น
ในทางตรงกันข้าม นักแสดงหญิงลำดับที่สามที่ชื่อถังลั่วเหยา แสดงให้เห็นว่ามีความโปร่งใสอย่างมาก ไม่มีชื่อของเธอปรากฏในส่วนของข้อคิดเห็นเลย
แต่ว่ามันก็ไม่น่าแปลกอะไร ความจริง ถังลั่วเหยาถึงแม้ไม่ใช่นักแสดงหน้าใหม่ แต่เธอก็ไม่ได้มีชื่อเสียงมากมายนัก
ก่อนอื่นเธอใช้รหัสในการทำงานส่งต่อกลุ่มละครใน weibo เหล่านั้น** แล้วใส่@ถังลั่วเหยา ข้างหลังแทคประโยคหนึ่งว่า : ก้าวข้ามภูเขาแม่น้ำหมื่นลี้,ออกไปแตะขอบฟ้า
หลังจากออกจาก weibo แล้ว หัวเหยาส่งข้อความตอบกลับมา
ละครเรื่องใหม่ของเธอกำลังจะถ่ายเสร็จในไม่กี่วันข้างหน้านี้ ท้ายที่สุดมีหลายฉากที่ต้องถ่ายใหม่ ดังนั้นจึงยุ่งมาก
จิ่งหนิงเกิดเรื่องขึ้น เธอยังรู้จากปากคนอื่นเลย
เมืองจิ้นที่กว้างใหญ่ขนาดนี้ ตระกูลมู่จู่ๆตกเป็นเป้าหมาย ทำการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่เช่นนี้ หัวซื่อในฐานะเจ้าถิ่นไม่รู้คงเป็นไปไม่ได้
โชคดีที่สุดท้ายไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น หัวเหยาก็โล่งใจได้ เพียงแต่โทรศัพท์ของจิ่งหนิงเสีย ติดต่อเขาไม่ได้เลย เวลานี้ได้รับข้อความของเขากะทันหัน จึงรีบตอบกลับโดยเร็วด้วยความเป็นห่วง
จิ่งหนิงส่งรูปยิ้มให้ แจ้งว่าเธอสบายดี
หัวเหยายังคงโกรธมาก ในข้อความด่ามู่หงเซียวไอ้ทุเรศนั่นว่าชาติหมา
ถ้าไม่ใช่เพราะความคิดริเริ่มของตระกูลมู่ ที่จะส่งคนออกนอกประเทศ มีหวังต้องลงมือสั่งสอนเองถึงจะหายโมโห
ทั้งสองพูดคุยกันสองสามประโยค หัวเหยายังมีธุระต้องทำอีก จึงไม่ได้คุยต่อ
อาจเป็นเพราะว่าเธออยู่ ลู่จิ่งเซินจึงไม่ได้ทำงานนานนัก หลังจากผ่านไปราวครึ่งชั่วโมงกว่า จึงสะสางงานจนเสร็จ
ระหว่างทางกลับบ้าน จู่ๆจิ่งหนิงก็ได้รับโทรศัพท์หนึ่งสาย
คือคุณนายยู่โทรมา
เธอแปลกใจเล็กน้อย
นับตั้งแต่งานเลี้ยงวันเกิดของจิ่งเสี่ยวหย่า เพราะเรื่องของเธอกับมู่ยั่นเจ๋อ คุณนายยู่ไม่มองหน้าเธอเลย และหลังจากนั้นก็ไม่เคยติดต่อมาอีก
เธอไม่รู้ว่าภายหลังคุณนายยู่ทราบความจริงของเรื่องที่เกิดขึ้นหรือไม่ แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว เธอจะแกล้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่ได้
ถ้าจะบอกว่าเพราะความเกี่ยวข้องกับแม่ เธอก็ยังรู้สึกชื่นชมคุณนายยู่อยู่บ้าง
หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น ความรู้สึกอ่อนแอที่เคยมีอยู่บ้าง ก็ค่อยๆจางหายไป
เธอกลายเป็นคนเย็นชา และเต็มใจให้คนเพียงไม่กี่คนเชื่อมั่นและห่วงใยเธอ ส่วนคนอื่นๆ…..
ไม่ต้องฝืนใจ
จิ่งหนิงรับสาย
เสียงใจดีของหญิงชราที่ปลายสายดังขึ้น
“หนิงหนิงจ้ะ หนูยุ่งอยู่หรือเปล่า?”
จิ่งหนิงเผยริมฝีปากช้าๆ “ไม่คะ คุณป้ามีธุระอะไรหรือคะ?”
น้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตรของเธอ ทำให้ฝ่ายตรงข้ามเงียบไปครู่หนึ่ง
คุณนายยู่ถอนหายใจ
“เรื่องคราวก่อน ฉันเข้าใจเธอผิดไป เธอยังโกรธฉันอยู่หรือเปล่าจ้ะ?”
“เปล่าคะ”
ไม่ว่าจะพูดอย่างไร คุณนายยู่ก็มีบุญคุณกับแม่ของเธอ และดูแลเธอเป็นอย่างดี เมื่อสมัยเธอเป็นเด็ก
จะไปว่าอะไรได้ เพียงแต่คนที่เคยคิดว่าเชื่อใจได้ กลับไม่หลงเหลือไว้ซึ่งความไว้วางใจแล้ว มันเป็นความรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
คุณนายยู่กล่าวว่า : “ที่ผ่านมาฉันไม่กล้าโทรหาเธอเลย ก็เพราะเรื่องในคืนนั้น กล่าวหาเธอต่อหน้าผู้คนมากมาย มันเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นเลย
คืนก่อน ฉันได้ยินคุณลุงใหญ่ของเธอพูดถึงเรื่องการแข่งขันของเธอกับจิ่งเสี่ยวหย่า ถึงได้รู้ว่าเมื่อห้าปีก่อนเธอถูกเอารัดเอาเปรียบแสนสาหัส ลูกเอ๋ย นานขนาดนั้น เธอได้รับความไม่เป็นธรรมเลย”
จิ่งหนิงนิ่งเงียบ
ความอดสูที่มีอยู่ในใจค่อยๆแผ่ซ่านออกมา
เธอเม้มปากอย่างไม่ตั้งใจ พูดเบาๆว่า : “ขอบคุณค่ะที่เป็นห่วง เรื่องมันผ่านไปแล้ว ฉันไม่ได้ติดค้างในใจเลยสักนิด”
“เธอปล่อยวางได้ก็ดีแล้วล่ะ เธอเป็นเด็กที่ดี ต่อไปในอนาคตต้องมีชีวิตที่ราบรื่นแน่”
“ขอบคุณค่ะ”
“จิ่งหนิงไม่พูดอะไรต่อ ในโทรศัพท์ก็มีแต่ความเงียบ
บรรยากาศที่แข็งกร้าวห้อมล้อมระหว่างคนทั้งสอง
ไม่ได้ตั้งใจ เพียงแต่จิ่งหนิงไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ
เธอไม่ได้ตำหนิคุณนายยู่ แต่เธอก็ทำใจไม่ได้ ที่จะให้พูดคุยกัน เหมือนเมื่อก่อน
ผ่านไปครู่หนึ่ง คุณนายยู่จึงพูดขึ้น
“ได้ยินว่า เธออยู่กับลู่จิ่งเซินแล้วหรือ?”
ในใจของจิ่งหนิง “ผ่าง” ขึ้น
เธอเหลือบมองผู้ชายที่กำลังขับรถอยู่ข้างๆด้วยหางตา รู้สึกผิดเล็กน้อย
แต่ว่าในเมื่ออีกฝ่ายรู้แล้ว เธอจึงไม่จำเป็นต้องปิดบังอีก
“คะ”
คุณนายยู่ถอนหายใจ
“เขาไม่คู่ควรกับเธอหรอก”
จิ่งหนิงขมวดคิ้วเล็กน้อย
จิตใต้สำนึกของเธอค่อนข้างต่อต้านประโยคนี้
แต่ว่าเธอไม่ได้ตอบโต้อะไร เรื่องบางเรื่องตัวเองเข้าใจคนเดียวก็พอ ไม่จำเป็นต้องอธิบายให้ใครรู้
“คุณมีธุระอะไรอีกหรือเปล่าคะ?”
คุณนายยู่เห็นเธอไม่อยากคุยถึงเรื่องนี้ จึงถอนหายใจอีก และไม่พูดอะไรต่อ
ทั้งสองพูดคุยกันอีกสองสามประโยค แล้วจึงวางสายไป
ลู่จิ่งเซินถามขึ้น : “คุณนายยู่โทรมาหรือครับ?”
จิ่งหนิงตกใจ หันไปมองหน้าเขา
“คุณทราบได้อย่างไรคะ?”
ลู่จิ่งเซินยิ้ม ไม่ได้ตอบอะไร
จิ่งหนิงมองที่โทรศัพท์ของตัวเองด้วยความสงสัย “คุณไม่ได้ติดเครื่องดักฟังที่เครื่องใช่ไหมคะ?”
ลู่จิ่งเซิน : “……”
“คุณนายลู่ครับ ถึงแม้เสียงที่คุณรับสายไม่ได้ดัง แต่ว่าห้องโดยสารภายในรถนั้นแคบ อีกอย่างผมก็ยังหนุ่มอยู่ หูยังไม่ตึงสักหน่อย ดังนั้นได้ยินเสียงในโทรศัพท์ของคุณก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกนี่ครับ?”
จิ่งหนิง : “อ้อ”
หลังจากนั้นไม่นาน เธอจึงกล่าวว่า : “คุณนายยู่บอกว่า คุณไม่คู่ควรกับฉันคะ”
ลู่จิ่งเซิน : “……”
หางตาของเขาเปลี่ยนไป สีหน้าเคร่งขรึม
จิ่งหนิงมองดูเขา หรี่ตาลงครึ่งหนึ่งและพูดขำๆว่า “หรือว่าคุณคิดว่าฉันจ้องจะจับคุณ หรือว่าคุณมีความลับอะไรที่ปิดบังฉันไว้ แล้วพวกเขาต่างรู้กันหมด เพราะเหตุนี้จึงได้เอ่ยเตือนฉันกลายๆ”
มือที่จับพวงมาลัยของชายคนนั้นแน่นโดยไม่รู้ตัว
เขาทำสีหน้าเฉยเมย พูดอย่างเย็นชาว่า : “ไร้สาระ! ต่อไปห้ามคบคนพวกนี้อีก! ถ้าพวกเขากล้าพูดเรื่องไร้สาระให้คุณฟังอีกละก็ ผมจะไม่เกรงใจให้พวกเขาย้ายไปอยู่ที่อื่น”
จิ่งหนิงเห็นท่าทางเขาพูดอย่างจริงจัง อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงหัวเราะออกมา
“ล้อเล่นน่า ทำไมต้องจริงจังขนาดนั้นด้วยคะ?”